หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 702
บทที่ 702
เสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นดังขึ้นในตรอกซิ่งจื่อ เซ่าหมิงยวนพลิกกายลงม้า ถีบประตูของเรือนหลังติดกับจวนสกุลหลีเปิดออก
“ท่านแม่ทัพ…” เมื่อเห็นท่านแม่ทัพอย่างคาดไม่ถึง องครักษ์สองคนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
การขี่ม้าเดินทางโดยไม่หยุดพักทำให้เซ่าหมิงยวนแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ แต่เขาไม่มีแก่ใจจะหยุดพักหายใจ อ้าปากเอ่ยถามว่า “ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูสามกระมัง”
สององครักษ์สบตากันแวบหนึ่งก่อนที่หนึ่งในนั้นจะก้มหน้ากล่าวตอบ “ท่านแม่ทัพ คุณหนูสามหายตัวไปแล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนเพียงรู้สึกคล้ายโดนฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางกระหม่อมจนร่างกายแหลกเละไม่มีชิ้นดี จิตใจและวิญญาณล้วนดับสลาย
“ท่านแม่ทัพ…” พวกองครักษ์มองเขาอย่างห่วงใย
คนใต้หล้าอาจไม่ล่วงรู้ แต่พวกเขาแจ่มแจ้งมากที่สุดว่าคุณหนูหลีมีความสำคัญต่อท่านแม่ทัพปานใด
เซ่าหมิงยวนกลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใด “เฉินกวงอยู่ไหน ให้เขาไสหัวมาพบข้า!”
เฉินกวงรุดมาถึงแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าเขาดังตุบ
“ข้าไม่อยากเสียเวลาฟังเรื่องไม่สำคัญ บอกให้ข้ารู้ความคืบหน้าในตอนนี้”
“ข้าสืบเสาะไปถึงเรือนชาวบ้านหลังหนึ่ง ในนั้นมีศพหลายศพ อีกทั้งร่องรอยการต่อสู้…”
เฉินกวงยังพูดไม่จบ เซ่าหมิงยวนก็แย่งเอาม้าของเขามาแล้วขึ้นขี่ควบทะยานจากไปจนฝุ่นตลบ
เรือนอาศัยเรียงรายเต็มพรืดอยู่สองฝั่งถนนเป็นเงาตะคุ่มๆ ละม้ายภูตผีปีศาจพุ่งโฉบไปทางข้างหลังอย่างรวดเร็ว สายลมเย็นอ่อนๆ พัดตีข้างแก้มชายหนุ่มทำให้สติของเขาแจ่มใสสุดจะเปรียบ
มีร่องรอยการต่อสู้ก็แสดงว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งยื่นมือช่วยเจาเจาไป แล้วคนที่สามารถค้นหาที่นั่นพบและพาตัวเจาเจาไปได้ในเวลาสั้นๆ เท่านี้ เขาคิดออกเพียงคนเดียว…เจียงหย่วนเฉาผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน
เสียงล้อรถม้าที่ดังใกล้เข้ามาได้ยินชัดเจนเป็นพิเศษในผืนความมืดโล่งกว้างนี้
เซ่าหมิงยวนรั้งสายบังเหียนหยุดอาชาเบื้องหน้ารถม้า
“ใต้เท้า ข้างหน้ามีคนขอรับ” สารถีหันไปรายงานเจียงหย่วนเฉา
เขาเลิกม่านหน้าต่างขึ้น ใต้แสงดาวแลเห็นผู้มาเยือนในชุดเกราะศึกสีเงินได้รำไร กลิ่นคาวโลหิตจางๆ ลอยมาจากจุดที่คนผู้นั้นหยุดนิ่ง
“จอดรถม้า” เจียงหย่วนเฉาเอ่ยสั่งคำหนึ่ง
รถม้าหยุดจอดทันที
“ใต้เท้าเจียงอยู่ข้างในหรือไม่” สุ้มเสียงทุ้มพร่าของชายหนุ่มดังขึ้น
ในรถม้า เฉียวเจาลืมตากว้างทันใด มือของนางขยุ้มสาบเสื้อของเจียงหย่วนเฉาทีหนึ่งอย่างควบคุมไม่อยู่
เขาก้มหน้าลงมองนางแล้วถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ท่านอย่าร้อนใจ”
เขาวางตัวนางลงเบาๆ แหวกม่านประตูรถม้าเดินออกไป เผยรอยยิ้มบางๆ กลางม่านราตรี “คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้จะได้พบกับท่านโหวที่นี่”
“ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใดหรอก ข้าตั้งใจมาหาใต้เท้าเจียงเองต่างหาก” เซ่าหมิงยวนกล่าวคำนี้ห้วนๆ แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางรถม้าอย่างเร็วรี่
เจียงหย่วนเฉากางมือขวางหน้าเขา เหยียดมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง “ท่านโหวจะใจร้อนเกินไปหรือเปล่า ดีชั่วรถม้าคันนี้เป็นพาหนะส่วนตัวของข้านะ”
เซ่าหมิงยวนกำมือเป็นหมัดแน่น เขาผลักมืออีกฝ่ายออกเต็มแรง
ความใจเย็นมีสติยามเผชิญหน้ากับศัตรูล้วนไม่หลงเหลืออยู่อีก สำหรับเซ่าหมิงยวนในเวลานี้ จะว่าควบคุมตัวไม่อยู่ก็ดีหรือหุนหันพลันแล่นก็ช่าง เขาไม่แยแสทั้งนั้น เขาต้องการยืนยันแค่ว่านางปลอดภัยดี
เจียงหย่วนเฉาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะแสดงกิริยาเฉกนี้ เขาตัวเซวูบตามแรงผลักด้วยความคาดไม่ถึง
เซ่าหมิงยวนปัดม่านประตูรถม้าขึ้น
“ถิงเฉวียน ข้าไม่เป็นไร” เฉียวเจาส่งยิ้มน้อยๆ ให้เขา
ชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มถึงได้ยินเสียงหัวใจเต้นอีกครั้ง รู้สึกคล้ายฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่
“เจาเจา…”
“ท่านโหว ทางที่ดีอย่าขยับตัวนางจะดีกว่า”
เซ่าหมิงยวนหันไปมองเจียงหย่วนเฉา
“ตอนนี้นางมีบาดแผลทั่วร่าง เกรงว่าจะทนให้ท่านอุ้มขึ้นๆ ลงๆ ไม่ไหว” เจียงหย่วนเฉาเอ่ยเตือนเสียงเรียบๆ
ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าเฉียวเจาเป็นแผลทั้งตัว เซ่าหมิงยวนหน้าเปลี่ยนสี หันขวับไปมองนาง
“รอกลับเรือนแล้วค่อยคุยกันเถอะ” เฉียวเจายกมือขึ้นดึงมือของเขาอย่างยากเย็น
“ได้ พวกเรากลับเรือนกัน” เซ่าหมิงยวนอุ้มนางขึ้นอย่างเบามือ
“ท่านโหว ข้าให้ท่านยืมใช้รถม้าคันนี้” เจียงหย่วนเฉามองเฉียวเจาแวบหนึ่งถึงเบนหน้าไปเอ่ยสั่งสารถี “ส่งพวกเขาไปที่ตรอกซิ่งจื่อ”
เขากล่าวคำนี้จบแล้วประสานมือคำนับเซ่าหมิงยวน จากนั้นหมุนกายเดินปราดๆ จากไป
แผ่นหลังของร่างในอาภรณ์สีแดงเข้มค่อยๆ กลืนหายเข้าไปในความมืดราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
รถม้าวิ่งแล่นไปอย่างช้าๆ คนสองคนบนนั้นประสานสายตากัน
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปลูบหน้านาง มือเขาสั่นเทาไม่หยุด “เจาเจา ข้ามาช้าไป ข้าขอโทษ ขอโทษจริงๆ”
“เซ่าหมิงยวน ข้าเริ่มเจ็บแล้ว…” เฉียวเจาค่อยๆ ขยับตัวไปเอาแก้มแนบกับเสื้อเกราะเงินเย็นเฉียบของชายหนุ่ม น้ำตาไหลรินออกมาทางหางตาเงียบๆ
“ข้าขอดูหน่อย” เซ่าหมิงยวนจับมือนางขึ้นมา เห็นเล็บมือกลายเป็นสีม่วงอมเขียว เขาเบิ่งตาถลนด้วยความเดือดดาล น้ำตาเม็ดโป้งไหลหยดลงมาตกต้องใบหน้าของเฉียวเจา
อันว่าความภักดีกับความชอบธรรมยากผดุงไว้ทั้งสองทาง แผ่นดินกับครอบครัวยากรักษาไว้ทั้งสองอย่าง
ในเสี้ยวขณะนี้ เซ่าหมิงยวนคับแค้นใจตนเองอย่างลึกล้ำ
“เจ้าพวกบัดซบ” เซ่าหมิงยวนกล่าวแต่ละคำออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดเจียนตายราวกับโดนกรีดหัวใจเลือดไหลริน
เจาเจาของเขาต้องเจ็บถึงเพียงใดกัน เขายอมให้ความเจ็บปวดพวกนี้ตกอยู่แก่ตัวเขาเป็นพันๆ เท่ายังดีกว่าให้สตรีในดวงใจต้องทนรับไว้แม้แต่เศษเสี้ยว แต่เขากลับไม่อยู่ในเวลาที่นางทนทุกข์ทรมาน คนที่ปกป้องนางกลายเป็นบุรุษอื่น
“ข้าสมควรตาย!” ชายหนุ่มตบหน้าตนเองเต็มแรง
“อย่า” เฉียวเจาขยับปากขมุบขมิบ เปล่งเสียงพูดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน “นี่ท่านกลับมาได้อย่างไร”
เขาก้มหน้าลงจุมพิตตรงหางคิ้วนาง ไรหนวดที่ขึ้นตรงปลายคางเฉียดผ่านพวงแก้มนุ่มนิ่ม “รอเจ้าพักรักษาตัวจนหายดีแล้ว พวกเราค่อยๆ คุยกันอีกทีนะ”
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปเลิกแขนเสื้อหลวมกว้างของเฉียวเจาขึ้น นางส่ายหน้ากล่าว “อย่าดู”
เขาเม้มปากแน่น ดึงดันจับแขนเสื้อของนางเลิกขึ้น
บนท่อนแขนขาวผ่องของเด็กสาวมีรอยแส้เป็นลายพร้อย ทั้งยังบวมเป่งและมีเลือดซึมออกมา เขาเห็นแล้วแทบทนดูไม่ได้
เซ่าหมิงยวนหลับตาลง ชั่วอึดใจต่อมาเขาบังคับตนเองให้ลืมตาขึ้น ดึงแขนเสื้อของนางลงช้าๆ
“เพราะสร้อยลูกประคำเส้นนั้นหรือ”
เฉียวเจาผงกศีรษะเบาๆ
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนในเสี้ยวขณะนี้ละม้ายมีพายุอารมณ์ตั้งเค้า มันทอแววขุ่นเข้มแฝงความเหี้ยมเกรียม ไม่เหลือประกายสุกใสเจิดจรัสเช่นที่ผ่านมาให้เห็นอีก
“คนพวกนั้นต้องเสียใจทีหลังแน่” เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงกล่าวประโยคนี้ช้าๆ ทีละคำ ราวกับเค้นเรี่ยวแรงที่มีอยู่ในตัวออกมาจนหมดสิ้น
คนพวกนั้นจะเป็นอย่างไรล้วนไม่สำคัญ แต่เขาทั้งหวาดผวาทั้งเสียใจทีหลัง
เขาเกือบสูญเสียนางไปอีกคราหนึ่งแล้ว หากเป็นเช่นนั้นทุกสิ่งที่เขาทำจะมีความหมายใด
ในยามที่เขาทุ่มเทกายใจสังหารข้าศึก คู่หมั้นของเขากลับต้องโดนทรมานอย่างแสนสาหัส…
“ถิงเฉวียน ท่านอย่าตำหนิตนเอง” เฉียวเจาส่งยิ้มให้เขา “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน…”
เซ่าหมิงยวนสั่นศีรษะ “ไม่ ข้าเป็นบุรุษของเจ้า ข้าไม่ปกป้องเจ้าให้ดีๆ จะมิใช่ความผิดของข้าได้อย่างไร”
รสชาติหวานปนคาวแผ่ซ่านในลำคอเขาเป็นระลอก เซ่าหมิงยวนกลืนโลหิตอุ่นร้อนที่พลุ่งขึ้นมากลับลงไป “เจาเจา รอให้บาดแผลเจ้าหายสนิทแล้ว พวกเราก็แต่งงานกัน ข้าไม่มีวันฝากเจ้าไว้ให้ใครคนใดคุ้มครองอีกแล้ว”
ครั้นเห็นเฉียวเจาไม่เอ่ยตอบ ชายหนุ่มยิ้มเยาะตนเอง “เจาเจา เจ้าจะใคร่ครวญให้ดีๆ ก่อนก็ได้นะ คนอย่างข้าไม่นับว่าเป็นสามีที่ดีพร้อมจริงๆ เจ้าอยู่กับข้าต้องได้รับความลำบากมากมาย”
“คนโง่”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่าท่านเป็นคนโง่ สิ่งที่ท่านพูดเหล่านี้ข้าจะไม่รู้หรือไร ตอนข้าออกเรือนไปกับท่านครั้งนั้น ข้าก็รู้แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราแต่งงานกันทันทีเถอะ” ดวงตาของเซ่าหมิงยวนเปล่งประกายวาดหวัง
“เกรงว่าจะไม่ได้”
เขามองนางเงียบๆ ด้วยความฉงนใจระคนกระวนกระวาย
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง “ท่านอารองของข้าตายแล้ว จะจัดพิธีมงคลทันทีคงไม่ดีหรอก”
เซ่าหมิงยวนเร่งรุดเดินทางนับพันลี้ตลอดคืนจนกลับมาถึง ยังไม่ทันได้ซักถามที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้น พอได้ยินว่าหลีกวงซูสิ้นชีพแล้วอดตกใจไม่ได้ เขามองดูสภาพที่อิดโรยซีดเซียวของเฉียวเจาแล้วไม่อาจหักใจซักถามนางต่อ ได้แต่เก็บความกังขาทั้งหมดเอาไว้ชั่วคราว
รถม้าหยุดจอด เสียงสารถีดังลอยมา “ท่านโหว ถึงตรอกซิ่งจื่อแล้ว ข้าส่งถึงตรงนี้นะขอรับ”
เขาอุ้มเฉียวเจาลงจากรถม้าแล้วตรงดิ่งไปที่จวนสกุลหลีทันที