หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 707
บทที่ 707
เมื่อหารือเรื่องการจัดพิธีศพเรียบร้อย เซ่าหมิงยวนออกจากจวนสกุลหลีเงียบๆ กลับมองเห็นเจียงหย่วนเฉายืนรออยู่หน้าประตูเรือนด้านข้าง
วันนี้อีกฝ่ายมิได้แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบขององครักษ์จินหลิน แต่สวมเสื้อคลุมยาวตัวหลวมสีน้ำเงินเข้ม ดูไปแล้วละม้ายบัณฑิตสุภาพนุ่มนวล
เจียงหย่วนเฉายกยิ้มเมื่อเห็นเขาเดินมา “ท่านโหวไม่เชิญข้าเข้าไปนั่งหรือ”
เซ่าหมิงยวนชายตามองเจียงหย่วนเฉาแวบหนึ่งก่อนกล่าวเสียงเรียบ “เชิญใต้เท้าเจียง”
ทั้งคู่ก้าวเข้าเรือนด้านข้างจวนสกุลหลีไปด้วยกัน
ในลานเรือนมีโต๊ะกับม้านั่งทำจากหินชุดหนึ่ง พวกเขานั่งลงตรงนั้นไม่ได้เข้าไปในเรือน
องครักษ์ยกน้ำชามาให้ เซ่าหมิงยวนทำมือบอกให้พวกเขาถอยออกไปแล้วมองหน้าอีกฝ่ายพลางกล่าว “ไม่ทราบว่าใต้เท้าเจียงมาที่นี่มีธุระใด”
เจียงหย่วนเฉามองเขานิ่งๆ อึดใจหนึ่งถึงแย้มปากยิ้ม “ท่านโหวเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ กลับไม่กังวลใจสักนิดเลยหรือ”
เซ่าหมิงยวนวางถ้วยน้ำชาลงด้วยสีหน้านิ่งเฉย “กังวลใจหรือไม่ ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว”
“ท่านโหวเป็นเช่นนี้ทำให้ข้าวางตัวลำบากมากนะ” เจียงหย่วนเฉาพูดด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า
เซ่าหมิงยวนยกมือนวดๆ ตรงขมับ เพราะว่าเพิ่งชนกรอบประตูมา เขายังรู้สึกเจ็บๆ ตรงนั้นจนถึงตอนนี้
“ใต้เท้าเจียงมีอันใดให้ต้องวางตัวลำบากรึ ท่านก็ปฏิบัติไปตามหน้าที่ของตน นำสิ่งที่ข้ากระทำไว้กราบทูลต่อฮ่องเต้ก็เป็นอันสิ้นเรื่อง”
เจียงหย่วนเฉามองเขาด้วยแววตาหลากใจอยู่สักหน่อย “นี่ท่านโหวมั่นใจว่าฮ่องเต้ไม่มีทางกริ้วหรือ”
“ใต้เท้าเจียงกล่าวล้อเล่นแล้ว ข้าจะกล้าอาจเอื้อมไปหยั่งพระทัยขององค์เหนือหัวล่ะหรือ”
เจียงหย่วนเฉาจ้องมองเซ่าหมิงยวนตาเขม็ง คล้ายไม่ยอมให้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทางสีหน้าของอีกฝ่ายเล็ดลอดสายตาไปแม้แต่น้อยนิด “ถ้าอย่างนั้นท่านโหวจะบอกเหตุผลที่กลับเมืองหลวงกะทันหันให้ข้าทราบได้หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนพลันยิ้มออกมา “นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของข้า ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องรายงานใต้เท้าเจียงนะ”
เจียงหย่วนเฉาหุบยิ้มเล็กน้อย เขาลุกขึ้นยืนเอ่ย “ข้าขอเตือนท่านโหวให้ออกจากเมืองหลวงโดยไวและปิดบังเรื่องนี้ให้มิดชิดจะดีกว่า หาไม่แล้วถึงข้าสามารถหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งได้ แต่เกรงว่าทางสมุหราชเลขาธิการหลันไม่มีทางยอมรับได้หรอกนะ” ว่าแล้วเขาก็เดินอาดๆ ออกไปทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่เดิมโดยเหลียวหลัง
เซ่าหมิงยวนนั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งถึงเรียกองครักษ์เข้ามา “เตรียมม้า”
ก่อนหน้านี้เซ่าหมิงยวนขี่ม้าเดินทางทั้งวันทั้งคืนเป็นพันลี้จนม้าศึกตายไปสองตัว ต้นขาด้านในเป็นแผลถลอกปอกเปิกจากการเสียดสี พอได้ยินว่าเขาจะขี่ม้าอีก องครักษ์ทนดูไม่ได้อยู่บ้าง “ท่านแม่ทัพ ท่านยังจะขี่ม้าอีกหรือขอรับ”
เซ่าหมิงยวนตวัดตามองเขาด้วยสายตาเรียบเฉย “พูดมาก”
องครักษ์ทำสีหน้าระวังตัวทันใด เขาไม่กล้าพูดทักท้วงอีก รีบเร่งไปจูงอาชาพ่วงพีมา
เซ่าหมิงยวนพลิกกายขึ้นม้าทว่ามิได้กลับจวนกวนจวินโหว ทั้งมิได้ไปที่จวนจิ้งอันโหว แต่มุ่งหน้าตรงไปยังวังหลวง
หมู่นี้ฮ่องเต้หมิงคังอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาวต๋าจื่อบุกมาถึงหน้าประตูเรือน บีบให้เขาไม่อาจไม่ปล่อยตัวเซ่าหมิงยวนไปรับศึก ส่วนพวกวอโค่วทางทิศใต้ก็ไม่หยุดหย่อน กระทั่งซีเจียงที่เป็นเช่นสุนัขหางตกก็เริ่มอยู่ไม่สุข ช่างน่ารำคาญใจจริงๆ
ฮ่องเต้หมิงคังกำลังหงุดหงิดงุ่นง่านก็บังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากจำศีลขึ้นมาฉับพลัน ถือคติว่าไม่เห็นไม่เป็นทุกข์ แต่เมื่อคิดถึงผลลัพธ์ของการจำศีลสองสามครั้งที่แล้ว เขาก็ดึงสติกลับมาได้ทันควัน
อดทนไว้!
เว่ยอู๋เสียก้มหน้าเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน “ฝ่าบาท กวนจวินโหวขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เราจะไปฝึกวิปัสสนาตอนนี้แล้ว ไม่พบ” ฮ่องเต้หมิงคังทำหน้ารำคาญ แต่เขาเพิ่งกล่าวจบก็หน้าเปลี่ยนสี “ประเดี๋ยวก่อน เมื่อครู่เจ้าบอกว่าใครขอเข้าเฝ้านะ”
“กวน…กวนจวินโหวพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียก้มหน้างุดกว่าเดิม
“เจ้าพูดให้ข้าฟังอีกทีสิ!” ฮ่องเต้หมิงคังกัดฟันกรอดๆ
เว่ยอู๋เสียอยากปาดเหงื่อออกกะทันหันแต่ข่มใจไว้ เขาเกร็งใบหน้าจนรู้สึกปวดแก้มแล้ว “กราบทูลฝ่าบาท ผู้ที่มาขอเข้าเฝ้าคือกวนจวินโหวพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทจะทรมานคนอื่นอย่างนี้ไม่ได้นะ อยากบันดาลโทสะก็รีบๆ เข้าหน่อยมิได้หรือ ต้องให้พูดซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจเล็กๆ ของข้าจะทานทนได้อย่างไรไหว!
ฮ่องเต้หมิงคังไม่ได้ยินเสียงค่อนแคะในใจเว่ยอู๋เสีย เขาเอ่ยด้วยสีหน้าขุ่นมัว “เรียกตัวกวนจวินโหวเข้ามา”
เว่ยอู๋เสียถอยออกไปพร้อมกับลอบพรูลมหายใจออกเฮือกหนึ่ง เขาเรียกเซ่าหมิงยวนเข้ามา
ชายหนุ่มคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นถวายคำนับต่อฮ่องเต้หมิงคัง
ฮ่องเต้หมิงคังก้มมองแม่ทัพหนุ่มซึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้นอย่างพินิจพิจารณา เขายิ่งมองยิ่งมีน้ำโห
เจ้าลูกเต่าผู้นี้ถึงกับปรากฏตัวในตำหนักทองของเราตอนนี้ นี่เป็นเรื่องอะไรกันแน่
ฮ่องเต้หมิงคังไม่ปริปาก เซ่าหมิงยวนย่อมคุกเข่าอย่างสงบเสงี่ยมเป็นธรรมดา
ยามจ้องมองเรือนกายองอาจผึ่งผายของชายหนุ่ม ฮ่องเต้หมิงคังแค่นหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
คุกเข่าได้สง่างามนักมิใช่หรือ อย่างนั้นก็คุกเข่าให้เราไปเรื่อยๆ แล้วกัน เวลานี้ลากตัวเจ้าออกไปบั่นศีรษะไม่ได้ แล้วจะให้เจ้าคุกเข่าจนหัวเข่าบวมไม่ได้หรือ
เซ่าหมิงยวนในชุดเกราะเงินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นอิฐทองเย็นเฉียบคิดอยู่ในใจว่า ปลอกเข่าที่เจาเจาทำให้ข้าคู่นี้ใช้ประโยชน์ได้ดียิ่ง
ผ่านไปสองเค่อ ฮ่องเต้หมิงคังเห็นว่าข่มขู่อีกฝ่ายได้พอสมควรแล้ว จึงกล่าวเสียงราบเรียบ “ลุกขึ้นเถอะ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน
“กวนจวินโหว เราจำได้ว่าเจ้ายกทัพไปออกรบกระมัง เหตุใดถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้”
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมยิงธนูสังหารองค์ชายถ่าเจินของเป่ยฉีได้แล้ว การศึกที่แดนเหนือได้รับชัยชนะครั้งใหญ่…”
“จริงหรือ” ชายหนุ่มยังกล่าวไม่จบ ฮ่องเต้หมิงคังก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์มังกร
“กระหม่อมมิบังอาจหมิ่นพระบรมเดชานุภาพพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี สังหารได้ดีๆ” ฮ่องเต้หมิงคังกลั้นยิ้มไม่อยู่ อารมณ์ขุ่นมัวตลอดหลายวันนี้ปลาสนาการไปสิ้น ยามมองดูชายหนุ่มรูปโฉมคมคายหมดจดเบื้องล่างก็รู้สึกถูกตาถูกใจขึ้นมาก
สมกับเป็นดาวขุนพลอันดับหนึ่งของต้าเหลียง มีเขาเป็นผู้บัญชาการทัพ มิต้องกลัดกลุ้มว่าข้าศึกไม่ราบคาบ
ทว่า…
หลังจากคลายจากความปีติยินดีในทีแรก ในใจฮ่องเต้หมิงคังเริ่มตึงเครียด ประกายอำมหิตจุดวาบขึ้นในดวงตา
เพราะชนะศึกก็เข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ กวนจวินโหวเอาเขาผู้เป็นฮ่องเต้วางไว้ที่ใด หรือเห็นว่าบัดนี้ต้าเหลียงไม่มีตนไม่ได้ก็เลยไม่เกรงฟ้ากลัวดินแล้ว
คราวนี้กวนจวินโหวเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ เช่นนั้นคราวหน้าก็สามารถพาองครักษ์ประจำตัวบุกเข้าเมืองหลวงได้ใช่หรือไม่
ฮ่องเต้หมิงคังยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ ยามมองดูเซ่าหมิงยวนอีกคราก็ไม่สบอารมณ์มากขึ้น
ไฉนในกาลก่อนเขาไม่สังเกตเลยว่าดวงตาของกวนจวินโหวกับเจิ้นหย่วนโหวคู่นั้นคล้ายคลึงกันจริงๆ เขาออกพระราชโองการประหารเจิ้นหย่วนโหวทั้งตระกูล ในฐานะบุตรชายกำพร้าที่เหลือรอดมาเพียงคนเดียว ในใจกวนจวินโหวจะไม่โกรธแค้นเลยได้อย่างไร
“กวนจวินโหวเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ เพราะตั้งใจจะนำข่าวดีอันยิ่งใหญ่นี้มารายงานให้เรารู้โดยเร็วที่สุดหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังเอ่ยถามเสียงเย็นๆ
เซ่าหมิงยวนค้อมศีรษะแสดงท่าทางเคารพอ่อนน้อม “กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมเร่งรีบเข้าเมืองหลวงหาใช่เหตุผลนี้ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“เอ๊ะ ถ้าอย่างนั้นเจ้าบอกเหตุผลที่เข้าเมืองหลวงมาทีสิ”
“หลังกระหม่อมยิงธนูสังหารองค์ชายถ่าเจินแล้วกลับไปนอนพักในค่ายทหาร จู่ๆ ก็ฝันว่าตามเสด็จฝ่าบาทออกประพาสตรวจราชการ ระหว่างทางภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งถล่มลงมาทับฝ่าบาทกะทันหัน กระหม่อมตกใจตื่นขึ้นแล้วไม่สบายใจถึงได้ขี่ม้ารุดกลับมาโดยไม่หยุดพักเพื่อถวายการอารักขา ถึงกระนั้นกระหม่อมเข้าเมืองหลวงโดยไม่มีพระราชโองการ เป็นความผิดมหันต์ ฝ่าบาททรงโปรดลงอาญาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าฝันอย่างนี้หรือนี่” ดวงตาของฮ่องเต้หมิงคังฉายแววประหลาดใจ
เมื่อเช้าหลังราชครูจางเสี่ยงทายแล้วก็บอกว่าระยะนี้ดาวไม้* เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เป็นอุปสรรคกับดาวจักรพรรดิ หากว่าหมู่ดาวจื่อเวย** อยู่ในแนวเดียวกับดาวขุนพล แผ่นดินก็สุขสงบปวงประชาร่มเย็น หรือว่าจะตรงกับคำทำนายในจุดนี้
ฮ่องเต้หมิงคังฝักใฝ่อยู่ในวิถีแห่งความเป็นอมตะมานานหลายปีจึงเชื่อเรื่องนี้อย่างสนิทใจ เขามองเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดครู่หนึ่งก่อนเผยรอยยิ้มจางๆ “ในเมื่อกลับมาแล้ว เช่นนั้นก็กลับไปอยู่ที่จวนอย่างสงบเถอะ หนนี้ความชอบกับความผิดหักล้างกันไป อย่าให้มีคราวหน้า”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะฮ่องเต้หมิงคังตั้งท่าจะไล่เขากลับไป เว่ยอู๋เสียซึ่งได้รับคำบอกจากขันทีน้อยเข้ามาทูลรายงาน “ฝ่าบาท สมุหราชเลขาธิการหลันซานขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“เขามาในเวลานี้ด้วยเหตุใดกัน” ฮ่องเต้หมิงคังมองดูเซ่าหมิงยวนแล้วใคร่ครวญครู่หนึ่งถึงชี้ไปที่ฉากกั้นมุมโถงเป็นเชิงบอกให้เขาไปหลบอยู่ที่นั่น จากนั้นพยักหน้าเบาๆ กับเว่ยอู๋เสีย