หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 711
บทที่ 711
องค์หญิงเจินเจินสั่นศีรษะถี่รัว “เสด็จแม่ หม่อมฉันทำเช่นนี้ไม่ได้เพคะ คุณหนูหลีรักษาใบหน้าของหม่อมฉันจนหายดี นางมีบุญคุณต่อหม่อมฉัน!”
“มีบุญคุณแล้วเป็นอย่างไร เจินเจิน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ เสด็จพ่อของเจ้ามีรับสั่งเป็นนัยๆ ให้ข้าเป็นคนทำเรื่องนี้ หากไม่ทำ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะต้องพบกับอะไร”
องค์หญิงเจินเจินหน้าซีดเผือด นางกัดริมฝีปากล่างสุดแรง
ลี่ผินยื่นขวดกระเบื้องสีขาวไปให้พระธิดา กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ยาขวดนี้ถ้าไม่นำไปให้คุณหนูสามสกุลหลีก็เก็บไว้ให้ข้า เจินเจิน เจ้าตัดสินใจเอาเองเถิด”
องค์หญิงเจินเจินจ้องมองขวดกระเบื้องตรงหน้า แพขนตาของนางสั่นระริก นางผงะถอยกรูดๆ ละม้ายมองเห็นสัตว์ป่าดุร้าย
ลี่ผินมิได้เร่งเร้า นางรอคอยนิ่งๆ อยู่ในอิริยาบถถือขวดกระเบื้อง
องค์หญิงเจินเจินถอยหลังไปถึงข้างโต๊ะแล้วถอยต่ออีกไม่ได้ นางยกมือปิดปากร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง
ลี่ผินเบนสายตาออก หยิบผ้าเช็ดหน้าซับหางตา
หากว่าทำได้ นางจะหักใจบีบบังคับบุตรสาวเฉกนี้ได้อย่างไร แต่คนที่อยู่ในวังหลวง มีใครเป็นตัวของตนเองได้บ้างเล่า
ตำแหน่งฮองเฮาหรือกุ้ยเฟยอะไรก็ตาม นางไม่เคยคิดใฝ่สูงเกินศักดิ์ มีความปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวคือบุตรสาวได้คู่ครองที่ดี และตนได้ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสุขสงบ
นางจะให้ขวดกระเบื้องใบหนึ่งทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้!
ความขัดแย้งในใจและสงสารผุดขึ้นในดวงตาลี่ผินวูบหนึ่งแล้วเลือนหายไป แววตาของนางฉายรอยแน่วแน่ดังเดิม
ผ่านไปเป็นนาน องค์หญิงเจินเจินค่อยๆ ลุกขึ้นยืน นางเช็ดน้ำตาตรงหางตาออกจนแห้ง ยื่นมือที่สั่นเทาไปรับขวดกระเบื้องสีขาวไว้ “ขะ…ข้าไป…”
ลี่ผินคลายยิ้มอย่างปลาบปลื้มใจ “เจินเจิน ในที่สุดเจ้าก็รู้ความแล้ว”
องค์หญิงเจินเจินมองมารดา เผยรอยยิ้มเศร้าสร้อยยิ่งกว่ายามร่ำไห้
ลี่ผินโอบกอดพระธิดาไว้ “เจินเจิน เจ้าเห็นบรรดาผู้บุญหนักศักดิ์ใหญ่ในวังหลวงเหล่านี้แต่ละคนล้วนดูบริสุทธิ์สูงส่งทรงเกียรติ แท้จริงแล้วคนที่ยืนอยู่บนที่สูงได้มีใครบ้างมือไม่เปื้อนเลือด ยังดีที่เจ้าเป็นองค์หญิง ไม่จำเป็นต้องอยู่ในที่ที่ไม่ได้เห็นโลกภายนอกแห่งนี้ตลอดไป ขอเพียงเจ้าผ่านด่านนี้ไปและได้พระสวามีที่ดีคนหนึ่ง วันหน้าก็จะมีชีวิตที่ขาวสะอาด…”
“อย่าตรัสอีกเลย หม่อมฉันเข้าใจหมดแล้ว” องค์หญิงเจินเจินหัวเราะฝืดๆ นางกำขวดกระเบื้องไว้แน่น “เสด็จแม่ หม่อมฉันจะกลับตำหนักไปล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยแล้วส่งคนถือสารไปให้คุณหนูสามสกุลหลีก่อนนะเพคะ”
“ไปเถอะ คุณหนูหลีป่วยอยู่พอดี เจ้าไปเยี่ยมไข้ก็ชอบด้วยเหตุผล”
“ใช่เพคะ นางช่วยข้าไว้ครั้งใหญ่ ข้าไปเยี่ยมนางก็ชอบด้วยเหตุผลดี” องค์หญิงเจินเจินพูดพึมพำ
“เจินเจิน…”
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ” องค์หญิงเจินเจินหมุนกายออกไปโดยไม่เหลียวหลังเลย
ลี่ผินมองตามแผ่นหลังของพระธิดาจนลับตาไปตรงหน้าประตูแล้วถอนใจหนักๆ เฮือกหนึ่ง
หากว่าทำได้ ใครกันจะอยากบีบให้บุตรสาวของตนต้องสองมือเปื้อนเลือดเล่า
องค์หญิงเจินเจินกลับถึงตำหนักบรรทม นางสั่งให้ขันทีน้อยไปส่งสารที่จวนสกุลหลีด้วยสีหน้าเฉยชา จากนั้นค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าคันฉ่องสลักลายกิ่งกุหลาบเกี่ยวกระหวัดจากแดนตะวันตก ในนั้นปรากฏเงาสะท้อนของเด็กสาวโฉมงามสะคราญล้ำหล้า
นางยกมือขึ้นลูบแก้มเบาๆ ไล่จากหางคิ้วลงมาที่มุมปากทีละชุ่นๆ แล้วฟุบลงกับโต๊ะร่ำไห้สุดเสียงทันใด
นางกำนัลที่รอรับใช้อยู่มองหน้ากันไปมา หนึ่งในนั้นสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ส่งเสียงเรียกอย่างระมัดระวัง “องค์หญิง…”
“พวกเจ้าออกไปให้หมด”
พวกนางกำนัลไม่กล้าพูดให้มากความ พากันถอยออกไปเงียบๆ เหลือเพียงเสียงร้องไห้ขององค์หญิงเจินเจินดังสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในห้อง
เจียงหย่วนเฉาก้าวออกนอกประตูวังด้วยสีหน้าคล้ายปกคลุมด้วยเมฆดำขุ่นมัว เขาเรียกคนสนิทมาสั่งกำชับ “แอบจับตาดูที่นอกประตูวังไว้ ขอแค่มีขันทีออกมาก็ตามไปดูว่าเขาไปที่ใด แล้วต้องรีบไปรายงานข้าทันที”
เขาเพิ่งกลับถึงที่ว่าการกององครักษ์จินหลินไม่นาน คนสนิทก็มารายงาน “ใต้เท้า มีขันทีน้อยคนหนึ่งออกจากวังมุ่งหน้าไปจวนสกุลหลีที่ตรอกซิ่งจื่อขอรับ”
สายตาของชายหนุ่มเย็นเยียบดุจบึงน้ำหนาวเหน็บ เขาหยิบพู่กันมาเขียนสารฉบับหนึ่ง แต่คิดไปคิดมาก็ฉีกกระดาษสารเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นเรียกเจียงเฮ่อมาสั่งงาน
เจียงเฮ่อทำหน้าม่อย “ท่านให้ข้าไปหาเจ้าเฉินกวงผู้นั้นหรือขอรับ”
ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าหนุ่มผู้นั้นสักนิด ภายนอกยิ้มแย้มแจ่มใสประหนึ่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แท้จริงแล้วจิตใจคดเคี้ยวเลี้ยวลด!
“ทำไม ไม่อยากไปหรือ”
“ไปขอรับๆ ข้าไปประเดี๋ยวนี้เลย” เจียงเฮ่อรีบวิ่งออกไป
มารดามันเถอะ ใต้เท้าในวันนี้น่ากลัวเหลือเกิน ข้าไปหาเฉินกวงยังจะดีกว่า
หลังจากบรรจงปลอมตัวอย่างพิถีพิถัน เจียงเฮ่อซึ่งแต่งกายแบบขอทานก็ปรากฏตัวขึ้นละแวกใกล้ๆ จวนสกุลหลี
เขาโยนชามแตกบิ่นในมือเล่นพลางยิ้มอย่างพออกพอใจ
อืม ข้าปลอมเป็นขอทานได้ช่ำชองมากขึ้นทุกที ดีชั่วก็นับเป็นทักษะฝีมือเลี้ยงปากเลี้ยงท้องได้อย่างหนึ่ง
ทันใดนั้นกระแสพลังสายหนึ่งพุ่งมาโจมตีทางท้ายทอย เจียงเฮ่อรีบหลบไปด้านข้าง ก่อนจะหมุนกายไป “อย่าทำข้าๆ”
เฉินกวงถือก้อนอิฐไว้แค่นเสียงเยาะ “เจ้าหนุ่ม นึกว่าสวมชุดอย่างนี้แล้วข้าจะจำเจ้าไม่ได้หรือ”
เจ้าองครักษ์จินหลินสุนัขรับใช้พวกนี้ยังป้วนเปี้ยนอยู่แถวจวนสกุลหลีอีกหรือนี่ หากเกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูสามอีก ข้าคงต้องปาดคอตายให้รู้แล้วรู้รอดไปแล้ว
“ข้าไม่เหมือนขนาดนั้นเลยหรือ” เจียงเฮ่อชักเริ่มกังขากับชีวิตในบัดดล
คุณหนูหลีซานเห็นแวบเดียวก็จำหน้าเขาได้ยังพอทำเนา เพราะอะไรเจ้าหนุ่มที่ดูท่าทางเบาปัญญาแบบนี้ถึงจำเขาได้ในแวบเดียวเช่นกัน เขาไม่ยอม!
“ถึงเจ้ามอดไหม้กลายเป็นขี้เถ้า ข้าก็จำเจ้าได้! บอกมา…เจ้ามาป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้มีจุดประสงค์อะไร” เฉินกวงยกสองมือกอดอกพร้อมกับเอ่ยถาม
เจียงเฮ่อมองซ้ายมองขวาก่อนจะลดสุ้มเสียงลงกล่าว “ข้ามาส่งข่าว”
ดวงตาของเฉินกวงทอแววเคร่งเครียดในทันใด เขาเงื้อมือขึ้นโดยไม่รู้ตัว “ส่งข่าว? ส่งข่าวอะไร”
“ระวังก้อนอิฐในมือเจ้าด้วย เอาไปห่างๆ ข้าหน่อย!”
เฉินกวงยกมือปาก้อนอิฐทิ้งไปแล้วกล่าวเสียงเยาะๆ “ข้ายังไม่รังเกียจกลิ่นเหม็นสาบจากตัวเจ้า เจ้ายังจะจุกจิกจู้จี้อีกหรือ รีบบอกมาโดยไว ข้าไม่มีเวลาว่างพูดไร้สาระกับเจ้า!”
“ใต้เท้าของข้าจะฝากเจ้าไปบอกต่อคุณหนูหลีซานว่าให้ระวังคนที่มาจากวังหลวง”
เฉินกวงหรี่ตาลงทันควัน “หมายความว่าอะไร”
เจียงเฮ่อยิ้มอย่างลำพองใจ “เจ้าย่อมต้องไม่รู้เรื่องแน่ ขอแค่คุณหนูหลีเข้าใจก็พอแล้ว”
เฉินกวงเหล่ตามองเขาแล้วพลันหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ข้ารู้เรื่องหรือไม่ไม่สำคัญ แต่ใต้เท้าของเจ้าอยากพูดจากับคุณหนูหลียังต้องผ่านทางข้ามิใช่หรือ”
เจียงเฮ่อทำหน้าบึ้งตึงด้วยความโมโหเจียนคลั่งจริงๆ
นึกว่าตนเป็นใครกัน ท่านแม่ทัพของเจ้าเกี้ยวพานแม่นางน้อยได้เก่งกว่าใต้เท้าของข้าแล้ววิเศษนักหรือ ที่ทำอวดดีกับข้าได้ยังมิใช่อาศัยบารมีของท่านแม่ทัพของเจ้ารึ เจ้าพวกคางคกขึ้นวอ!
แต่จะว่าไปแล้ว…ใต้เท้าของข้าก็ไม่เอาไหนเลยจริงๆ
เจียงเฮ่อคิดเช่นนี้แล้วพลันทดท้อใจอยู่บ้าง
พอเขาเดินคอตกจากไปแล้ว รอยยิ้มลำพองใจบนใบหน้าเฉินกวงก็เลือนหายไป
ฮึ กล้ามาบอกว่าข้าไม่รู้เรื่องรึ ข้าพูดคำเดียวก็ทำให้เจ้านั่นสะเทือนใจตายได้แล้ว!
เฉินกวงไม่กล้าชักช้ารีรอ รีบไปบอกต่อเฉียวเจา
แม้นในใจเฉียวเจาจะเต็มไปด้วยความระแวงระวังต่อเจียงหย่วนเฉา แต่ก็เชื่อว่าเขาไม่มีทางพูดแบบนี้โดยไร้เหตุผล นางตรึกตรองเป็นนานก็คิดต้นสายปลายเหตุไม่ออก จวบจนขันทีน้อยจากวังหลวงนำความมาบอกว่าองค์หญิงเก้ากำลังจะมาเยี่ยมเยียนถึงกระจ่างแจ้งว่าเจียงหย่วนเฉาจะเอ่ยเตือนเรื่องนี้นั่นเอง
องค์หญิงเก้ามาเยี่ยมเยียนนาง ส่วนผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ทรงเกียรติส่งคนนำคำเตือนมาให้โดยเฉพาะ ความเกี่ยวข้องโยงใยระหว่างกันนี้ก็ชวนให้ขบคิดเสียแล้ว
เฉียวเจาค่อยๆ พลิกกายไปจับจ้องตะขอเงินด้านบนมุ้งคลุมเตียงด้วยท่าทางครุ่นคิด
นี่แสดงว่าองค์หญิงเก้ามาเยือนในครานี้ไม่ประสงค์ดีต่อนางหรือ แต่องค์หญิงเก้าทำเช่นนี้มีจุดประสงค์อะไรเล่า
ความวัวยังไม่ทันหายความควายก็เข้ามาแทรก ไม่เว้นจังหวะให้นางอยู่อย่างสงบบ้างเลย
เฉียวเจารู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก นางตะเบ็งเสียงเรียก “ปิงลวี่ เปิดหน้าต่างเถอะ!”
สาวใช้น้อยเปิดหน้าต่างออก ใบกล้วยสีเขียวสดเป็นมันด้านนอกโยกไหวไปมาเบาๆ ตามแรงลม เห็นแล้วชวนให้ปลอดโปร่งสดชื่นขึ้น
เฉียวเจานอนตะแคงมองไปทางนอกหน้าต่าง นางแย้มมุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นมรสุมอะไร นางรอดูไปก็แล้วกัน