หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 714
บทที่ 714
ตอนองค์หญิงเจินเจินกลับถึงวัง ลี่ผินกำลังรอคอยนางอยู่
“เอาของไปให้คุณหนูหลีแล้วหรือ” หลังจากสั่งให้นางกำนัลออกไป ลี่ผินก็ถามขึ้นอย่างอดใจรอไม่ไหว
องค์หญิงเจินเจินพยักหน้า
“ใส่ในอาหารหรือ”
“หม่อมฉันทำขนมโก๋ลายกุหลาบเพคะ”
“ถ้านางไม่กิน…” ลี่ผินกังวลใจอยู่บ้าง
“เช่นนั้นหม่อมฉันจะมีปัญญาทำอะไรได้ จะให้เอาขนมยัดใส่ปากนางหรือเพคะ” องค์หญิงเจินเจินแค่นเสียงย้อนถาม
ลี่ผินอึ้งงันไป นางกล่าวเสียงอ้อมแอ้ม “เจินเจิน เจ้าพูดจากับเสด็จแม่เยี่ยงนี้ได้เช่นไร เจ้ากำลังกล่าวโทษข้าใช่หรือไม่”
องค์หญิงเจินเจินเบือนหน้าไปอีกทาง สะกดน้ำตาที่จะเอ่อไหลออกมาเอาไว้ “เปล่าเพคะ เสด็จแม่ หม่อมฉันอยากพักผ่อนแล้ว เสด็จกลับไปเถอะเพคะ”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าพักผ่อนเถอะ อย่าคิดมากเลย ล้วนผ่านไปหมดแล้ว” ลี่ผินตบไหล่องค์หญิงเจินเจินเบาๆ นางรู้ดีแก่ใจว่าขณะนี้พระธิดากำลังไม่สบายใจ นางจึงเดินออกไปเงียบๆ
องค์หญิงเจินเจินนอนหงายอยู่บนเตียง ล้วงมือเข้าอกเสื้อหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมาดึงจุกปิดขวดออก ข้างในว่างเปล่า
นางเอามือวางทาบอก น้ำตาหยดหนึ่งไหลหยาดลงมาทางหางตาช้าๆ
นางใกล้จะตายแล้วกระมัง ไม่รู้ว่าพอตายแล้วจะไปที่ไหน หรือว่าสลายเป็นเศษดินกองหนึ่งไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นอีก
นางไม่อยากตาย นางเพิ่งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น นางใช้ชีวิตอยู่ในตำหนักในอย่างระมัดระวังตัว อาศัยความโปรดปรานของเสด็จย่าถึงมีอย่างทุกวันนี้ได้ นางยังอยากออกเรือนมีพระสวามีที่รักนางผู้เดียว ครองคู่กันจนแก่เฒ่ามีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง
แต่ว่าไม่ตายแล้วจะทำประการใดได้เล่า
นางสามารถใช้ชั้นเชิงเอาตัวรอดได้เก่ง รู้จักประจบเอาใจผู้อาวุโส แต่นางทำเรื่องเนรคุณคนไม่ได้
นางเป็นองค์หญิงของต้าเหลียง หากต้องใช้อุบายสกปรกต่ำช้าพรรค์นี้เพื่อตนเอง นางขอยอมตายดีกว่า
นางตายแล้วดีที่สุด ทั้งไม่ต้องทำร้ายคุณหนูหลี ทั้งไม่ทำให้เสด็จแม่ต้องตกที่นั่งลำบาก ความกลัดกลุ้มทั้งหลายก็หมดสิ้นไปด้วย
วันรุ่งขึ้นแสงแดดสดใสงามตา องค์หญิงเจินเจินตื่นนอนแต่เช้าตรู่ นางเอ่ยถามนางกำนัลที่สางผมให้ตน “ข้าจำได้ว่าในพระราชอุทยานมีดอกติงเซียงพุ่มหนึ่ง ตอนนี้บานแล้วหรือยัง”
นางกำนัลกล่าวตอบอย่างยิ้มแย้ม “ปีนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิเร็ว เมื่อวานหม่อมฉันก็เห็นต้นติงเซียงต้นนั้นออกดอกแล้ว ดอกเล็กๆ สีม่วงอมขาวเป็นพวงๆ งามน่ารักยิ่งนักเพคะ”
องค์หญิงเจินเจินลุกขึ้น “ข้าจะไปชมดอกไม้”
นางกำนัลสองคนติดตามนางไปที่พระราชอุทยาน
ดอกติงเซียงพุ่มนั้นออกดอกแล้วจริงๆ ส่งกลิ่นหอมลอยมาแตะปลายจมูกแต่ไกล
องค์หญิงเจินเจินเดินไปถึงข้างพุ่มดอกติงเซียงแล้วหลับตาสูดดมกลิ่นเบาๆ ทว่าจู่ๆ นางก็เริ่มไอออกมา
“องค์หญิง…”
องค์หญิงเจินเจินโบกมือห้ามมิให้พวกนางไต่ถาม บอกเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตามติดข้าตลอดเวลา ข้าอยากอยู่คนเดียวสักครู่”
จากนั้นหลังนางกำนัลสองคนถอยไปยืนอยู่ไกลๆ องค์หญิงเจินเจินนั่งลงข้างพุ่มดอกติงเซียง
นางกำนัลหนึ่งในนั้นขยับริมฝีปากจะส่งเสียงทักท้วง แต่นางกำนัลอีกคนหนึ่งห้ามไว้
“ช่างเถอะ ข้าว่าองค์หญิงทรงอารมณ์ไม่ค่อยดีนะ พวกเราอย่าพูดมากจะดีกว่า”
“แต่องค์หญิงทรงทำกิริยานี้เป็นการเสียเกียรติ ถูกพวกไม่ประสงค์ดีเห็นเข้าคงเอาไปซุบซิบนินทากันอีกแล้ว”
พวกนางเป็นนางกำนัลขององค์หญิงเจินเจิน จึงแจ่มแจ้งดีว่าเป็นองค์หญิงมิใช่ง่ายดายปานนั้น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น แค่นั่งกับพื้นตามสบายดังเช่นตอนนี้แล้วมีเสียงลือออกไปก็ต้องโดนคนหัวเราะเยาะ ซ้ำร้ายนางข้าหลวงพวกนั้นยังจะทูลรายงานไทเฮาอีกด้วย
“ในเวลานี้ก็ไม่มีพวกเจ้านายมาชมสวนกันหรอก พวกเราคอยดูไว้ก็แล้วกัน”
องค์หญิงเจินเจินชายตามองไปทางนางกำนัลสองคนอย่างเฉยเมย ถึงจะได้ยินไม่ชัดก็รู้ว่าพวกนางเป็นห่วงอะไรอยู่ แต่ยามนี้ตัวนางไม่แยแสแล้ว
นางใกล้จะตายรอมร่อ ก็ขอสาปส่งพวกธรรมเนียมมารยาทไร้สาระพวกนั้นเถอะ
ตอนนี้คิดๆ ไป คุณหนูหลีซานมีชีวิตเป็นอิสระกว่านางมากมายนัก ไม่ว่าคนใต้หล้าจะวิพากษ์วิจารณ์หรือใส่ร้ายป้ายสีเช่นไร อีกฝ่ายยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญตามใจปรารถนา
เมื่อคิดคำนึงถึงตรงนี้ก็ดูเหมือนความตายมิใช่เรื่องน่ากลัวอันใดอีก
บางทีชาติหน้านางอาจไม่ใช่องค์หญิง แต่เป็นแค่เด็กสาวสามัญชนผู้หนึ่งคงมีความสุขมากกว่า
“องค์หญิง…” เสียงกระซิบแผ่วเบาดังลอยมาจากพุ่มดอกติงเซียง
สีหน้าขององค์หญิงเจินเจินเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางมองไปทางต้นเสียงก็เห็นขันทีร่างเล็กผอมผู้หนึ่งซ่อนอยู่ตรงพุ่มดอกไม้ กำลังขยิบตาบอกนางว่าอย่าส่งเสียงพูด
คงเป็นเพราะยอมรับความจริงว่าตนกำลังจะตายได้แล้ว องค์หญิงเจินเจินไม่เคยเยือกเย็นอย่างนี้มาก่อน ดวงตาสุกใสทั้งคู่ของนางจ้องมองเขาอย่างเฉยเมย
ขันทีน้อยเห็นนางไม่ร้องอุทานด้วยความตกใจแล้วดูโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งขวดกระเบื้องเล็กใบหนึ่งมาให้
องค์หญิงเจินเจินมิได้ยื่นมือรับ เพียงมองเขาเงียบๆ ไม่พูดไม่จา
“องค์หญิง นี่เป็นของที่คุณหนูที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนเมื่อวานผู้นั้นฝากคนอื่นนำมาให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของนางมีแววประหลาดใจผุดขึ้น นางไต่ถามเสียงเบา “มันคืออะไร”
“ยาถอนพิษพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา นางพูดเสียงหลงว่า “นาง…นางรู้ได้อย่างไร…”
ขันทีน้อยไม่ได้ตอบคำถามของนาง เขาลดสุ้มเสียงลงกล่าว “คุณหนูท่านนั้นบอกว่าตายเป็นเรื่องง่ายกว่ามีชีวิตอยู่ คนเป็นตายได้ แต่คนตายไม่อาจฟื้นชีวิตได้แล้ว นางจะรอพระองค์เสด็จไปคุยเล่นกับนางอีกพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…เจ้าเป็นคนของใคร”
“เรื่องนี้องค์หญิงทรงอย่าถามเลย กระหม่อมนำของมาให้พระองค์แล้วก็สมควรไปได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อยวางขวดกระเบื้องในมือนาง จากนั้นแอบมุดออกไปอีกฝั่งหนึ่งของพุ่มดอกติงเซียงหายไปไม่เห็นร่องรอยอย่างว่องไว
องค์หญิงเจินเจินเพ่งมองขวดกระเบื้องในมือ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับฝันไปก็ไม่ปาน
ที่แท้คุณหนูหลีซานเดาออกหมดแล้วว่าเสด็จพ่อกับเสด็จแม่คิดเอาชีวิตตนเพราะต้องการราชบุตรเขยดีๆ ผู้หนึ่ง ส่วนนางถูกบีบบังคับจนต้องกินยาพิษเองอย่างหมดหนทาง
“องค์หญิง มีคนมาแล้วเพคะ” นางกำนัลที่ยืนอยู่ไกลๆ สาวเท้าเร็วรี่เข้ามาบอกเตือน
นางลุกขึ้นยืนบอกด้วยสีหน้านิ่งสนิท “กลับเถอะ”
เสียงหัวร่อเบาๆ ดังลอยมา “ไฉนน้องเก้าเห็นข้าแล้วก็จะไป”
องค์หญิงเจินเจินมององค์หญิงแปดนิ่งๆ อึดใจหนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ “เพราะท่านอัปลักษณ์เกินไป”
“เจ้าว่าอะไรนะ” องค์หญิงแปดงงงันไป หูของนางต้องผิดปกติเป็นแน่กระมัง
องค์หญิงเจินเจินเดินสวนผ่านข้างกายนางพลางพูดเอื่อยๆ “เพราะท่านอัปลักษณ์เกินไป ทั้งยังหูตึง ดังนั้นข้าไม่อยากพูดจากับท่าน”
นางพูดจบแล้วก็จากไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งองค์หญิงแปดไว้ที่เดิม วงหน้างามแฉล้มแดงก่ำ
น้องเก้าสติฟั่นเฟือนไปแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับกล่าววาจาหยาบคายพรรค์นี้ออกมา!
ไม่ได้ ข้าต้องไปฟ้องเสด็จย่า
“องค์หญิง เมื่อครู่นี้พระองค์…” นางกำนัลสองคนที่ติดตามองค์หญิงเจินเจินมามีสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
องค์หญิงเจินเจินเหยียดปากยิ้มเยาะ “อยากพูดความจริงกับนางตั้งนานแล้ว น่าเสียดายที่เพิ่งมีโอกาสวันนี้”
พอองค์หญิงเจินเจินกลับถึงตำหนักบรรทมไม่ถึงครึ่งชั่วยาม มีนางกำนัลของตำหนักฉือหนิงมาเชิญนางไปที่นั่น
“บอกกับคนที่นำความมาบอกว่าข้าไม่สบาย ไม่อยากขยับตัว”
“คือว่า…” พวกนางกำนัลมองหน้ากันไปมา
“ไปสิ หรือต้องให้ข้าไปบอกเอง”
เมื่อไล่นางกำนัลออกไปได้ องค์หญิงเจินเจินนั่งริมหน้าต่างมองออกไปข้างนอกอย่างใจลอย
ไม่สำคัญว่าคุณหนูหลีซานขอให้ผู้ใดนำยามาส่งจนถึงมือนางได้ นางก็รับน้ำใจนี้ไว้แล้ว
แต่ว่า…
องค์หญิงเจินเจินล้วงขวดกระเบื้องออกมาเทยาเม็ดสีแดงอ่อนออกมาเม็ดหนึ่ง นางจ้องมองยาลูกกลอนในอุ้งมือโดยไม่กะพริบตา
นางสามารถกินยาถอนพิษเพื่อเอาชีวิตรอดได้ ทว่าเสด็จแม่ของนางเล่าจะทำฉันใด
นางมีชีวิตอยู่ เสด็จแม่ก็ต้องทนรับแรงโทสะเป็นฟืนเป็นไฟของเสด็จพ่อ และต่อให้จะเอาชีวิตของเสด็จแม่ เสด็จพ่อก็ตรัสคำเดียวเท่านั้น
องค์หญิงเจินเจินหัวเราะอย่างวังเวงใจ ก่อนจะยกมือขึ้นขว้างยาลูกกลอนออกไปทางหน้าต่างสุดแรง