หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 715
บทที่ 715
หลังลี่ผินถูกไทเฮาเรียกไปพูดกระหนาบหลายคำก็รีบรุดไปที่ตำหนักบรรทมขององค์หญิงเจินเจิน
“เจินเจิน เจ้าไม่สบายหรือ”
“เปล่าเพคะ”
ลี่ผินมองสำรวจพระธิดาชั่วครู่แล้วถอนหายใจโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดี”
นางพูดจบแล้วขมวดคิ้วอีก “ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรมาก เสด็จย่าของเจ้าเรียกเจ้าไปพูดคุย ไฉนเจ้าไม่ไปเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำอย่างนี้จะทำให้ไทเฮาไม่สบพระทัย องค์หญิงแปดไปทูลว่ากล่าวตำหนิเจ้าให้ไทเฮาฟัง ทีแรกยังทรงไม่เชื่อเท่าไร แต่เจ้าดื้อรั้นหัวแข็งเยี่ยงนี้ พระนางต้องทรงเอนเอียงไปทางองค์หญิงแปดแล้ว…”
องค์หญิงเจินเจินพูดสั้นๆ ตัดบทพระมารดา “หม่อมฉันไม่อยากไปเพคะ”
ลี่ผินถึงกับสะอึกไป “เจินเจิน นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
“เสด็จแม่ทรงฟังคำพูดของหม่อมฉันไม่เข้าใจหรือเพคะ หม่อมฉันไม่อยากไป! ทั้งที่หม่อมฉันกำลังหงุดหงิดอยู่ เพราะอะไรยังต้องไปประจบเอาใจผู้อื่น ทั้งที่หม่อมฉันเห็นคนผู้หนึ่งขัดนัยน์ตา เพราะอะไรยังต้องยิ้มแย้มพูดคุยดีๆ กับนาง พอกันที หลังจากนี้หม่อมฉันไม่อยากทำแบบนี้แล้ว!”
“เจินเจิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าพูดอะไร”
“เสด็จแม่ หม่อมฉันไม่เคยรู้ว่าตนเองพูดอะไรทำอะไรอยู่ได้เหมือนอย่างในวันนี้มาก่อนเลยเพคะ”
สีหน้าของลี่ผินบึ้งตึงสุดจะเปรียบ “เจินเจิน เมื่อ…เมื่อก่อนเจ้ารู้ความมากมิใช่หรือ วันนี้เป็นอะไรไป หรือว่าโดนผีเข้า” ว่าแล้วนางก็เข้าไปจับหน้าผากองค์หญิงเจินเจิน แต่อีกฝ่ายหันหน้าหนี
“เสด็จแม่ หม่อมฉันสบายดี เสด็จกลับไปเถอะเพคะ หม่อมฉันอยากพักผ่อนแล้ว”
“เจินเจิน…”
องค์หญิงเจินเจินเหลืออดในที่สุด “เสด็จแม่ ต่อให้ทรงอยากเทศนาหม่อมฉัน จะรออีกสองสามวันได้หรือไม่ หม่อมฉันกำลังอารมณ์ไม่ดีเพคะ”
ถึงตอนนั้นเรื่องน่ารำคาญใจพวกนี้นางก็ไม่ต้องรับรู้แล้ว ทุกอย่างจบสิ้นลงใช่ว่าจะมีอะไรไม่ดี
“ก็ได้ เสด็จแม่จะกลับไปก่อน” ลี่ผินนึกถึงเรื่องที่บังคับให้พระธิดาไปทำแล้วเอ่ยถ้อยคำติเตียนที่อัดแน่นอยู่เต็มอกไม่ออกอีก นางถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนเดินออกไปเงียบๆ
การมาหาของพระมารดาทำให้องค์หญิงเจินเจินหงุดหงิดว้าวุ่นใจไปหมด นางดึงผ้าห่มแพรขึ้นคลุมโปง
วันถัดมาอากาศสดใสเช่นเคย
สายมากแล้วแต่องค์หญิงเจินเจินยังไม่ตื่นนอน นางกำนัลประจำตัวสองคนหารือกันแล้วเข้าไปปลุกอย่างทนไม่ไหวในที่สุด
หลายวันนี้องค์หญิงเฉื่อยแฉะเชือนแชไปบ้างจริงๆ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่ได้การ
“องค์หญิง ถึงเวลาตื่นบรรทมได้แล้วเพคะ”
แพขนตาของนางกระพือขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะลืมตาช้าๆ รู้สึกตัวตื่น นางกำนัลก็พยุงนางลุกขึ้นนั่ง
“ประคองข้าไปล้างหน้าบ้วนปาก” ตอนฝ่าเท้าแตะลงบนพื้น องค์หญิงเจินเจินรู้สึกอ่อนแรงไปทั้งสรรพางค์กาย จึงเอ่ยสั่งนางกำนัล ใครจะรู้ว่าพอปริปากพูดก็ไอออกมา นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก พอผละมือออกก็เห็นคราบสีแดงเข้มบนผ้าวงหนึ่ง
นางเอาผ้าเช็ดหน้าซุกเก็บไว้ไม่ให้นางกำนัลเห็น หลังล้างหน้าบ้วนปากกินอาหารแล้ว นางนั่งเหม่ออยู่ข้างหน้าต่างครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ลุกขึ้นออกไปข้างนอก
นางกำนัลสองคนมองหน้ากันไปมาแล้วรีบเร่งตามไป
องค์หญิงเจินเจินเข้าไปนั่งในศาลา จากนั้นสั่งให้นางกำนัลไปเรียกหลงอิ่งองครักษ์ของนางมาหา
ด้านนอกศาลารับลมมีต้นเสาเย่ากอหนึ่งกำลังออกดอกสะพรั่งเป็นสีแดงเพลิง ละม้ายหญิงงามล้ำหล้าในท่วงท่าเย้ายวนใจ องค์หญิงเจินเจินเอียงคอชมดอกไม้ ได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาคุ้นหูก็หันหน้าไป
ชายหนุ่มเรือนกายสูงใหญ่สาวเท้าเข้ามา แม้นใบหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใด หากสายตาที่มองดูนางกลับจดจ่อจริงจัง “ถวายคำนับองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินเผยรอยยิ้มออกมา “หลงอิ่ง เจ้ามานี่”
หลงอิ่งงุนงงอยู่บ้าง แต่ยังคงก้าวเข้าไป
“นั่งลง”
พอเห็นนิ้วขององค์หญิงเจินเจินชี้ที่ม้านั่งหิน เขาก็นิ่งงันไป
“บอกให้เจ้านั่งก็นั่งสิ ไฉนทำตัวเหมือนท่อนไม้อยู่ร่ำไป” นางชายตามองเขาแวบหนึ่ง
หลงอิ่งนั่งลงอย่างว่าง่าย เพราะเขาไม่เคยนั่งประจันหน้ากับนางเลยดูกระสับกระส่ายอยู่สักหน่อย
องค์หญิงเจินเจินแย้มยิ้มอ่อนหวาน “หลงอิ่ง เจ้ามีวรยุทธ์สูงส่งอย่างนั้น เหตุใดพอพบข้าก็มักทื่อมะลื่ออยู่เรื่อย”
หลงอิ่งก้มหน้า “พระองค์ทรงเป็นเจ้านายพ่ะย่ะค่ะ”
“หลงอิ่ง เจ้าติดตามข้ามาสิบปีแล้วกระมัง”
เขาพยักหน้า
นางแลมองดอกเสาเย่านอกศาลาพลางถอนใจเฮือก “เป็นองครักษ์ของข้าไม่เป็นอิสระอย่างองครักษ์ขององค์หญิงคนอื่นๆ หลายปีนี้ข้าออกนอกวังบ่อยๆ เจ้าคงรู้สึกรำคาญเป็นแน่กระมัง”
หลงอิ่งลอบประหลาดใจ เขาทำใจกล้ามองนางแวบหนึ่งแล้วรีบหลุบตาลง
องค์หญิงเจินเจินหัวเราะเบาๆ “เจ้ายังพูดไม่เก่งตามเคย ทว่าตลอดหลายปีนี้เจ้าช่วยข้าไว้ไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าเลยนะ”
“ได้ถวายการคุ้มครององค์หญิงเป็นบุญของกระหม่อม อีกทั้งเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หลงอิ่งก้มหน้าพูด
“วันหลัง…” นางอ้าปากออกแต่กลับกลืนถ้อยคำที่อยากพูดกลับลงไป เปลี่ยนเป็นกล่าวว่า “หลงอิ่ง ถ้าวันหลังเจ้ามีโอกาสได้พบคุณหนูสามสกุลหลี ขอบคุณนางแทนข้าด้วยนะ แล้วก็บอกว่า…ข้านับนางเป็นสหาย”
หลงอิ่งไม่ปริปาก
“หลงอิ่ง เจ้าเป็นใบ้หรือไร ไฉนไม่พูดไม่จา” ยามอยู่กับองครักษ์ที่สนิทสนมมากที่สุด องค์หญิงเจินเจินมิได้มีท่าทีเจนจัดมากชั้นเชิงที่คุ้นตาเฉกคนในวังหลวง แต่แสดงกิริยาเกเรเอาแต่ใจหากแฝงความผ่อนคลายไว้หลายส่วน
“เหตุอันใดองค์หญิงไม่ตรัสบอกคุณหนูสามด้วยพระองค์เอง ถ้าทรงอยากพบนาง กระหม่อมย่อมต้องติดตามพระองค์ไปพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของนางมีแววเศร้าหมองจุดวาบขึ้น “เจ้าโง่งมรึ ข้าใกล้จะมีพระสวามีแล้ว วันหลังออกไปนอกวังอีกก็ต้องโดนเทศนาน่ะสิ”
ได้ยินคำว่า ‘พระสวามี’ หลงอิ่งก้มหน้าต่ำยิ่งขึ้นแล้วไม่เอื้อนเอ่ยคำใดอีก
“ที่ข้าบอกไว้ เจ้าจำได้หรือยัง”
“จำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงเจินเจินถึงเผยรอยยิ้มสบายใจ “เช่นนั้นก็ดี เจ้าออกไปเถอะ”
“กระหม่อมทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นหลงอิ่งค้อมกายก้มหน้าถอยออกไป ในใจนางบังเกิดความอาลัยอาวรณ์หลายส่วนอย่างไร้สาเหตุ นางอดส่งเสียงเรียกไม่ได้ “หลงอิ่ง…”
เขาชะงักเท้าอยู่ในอิริยาบถค้อมกายก้มหน้านิ่งๆ
“ถึงแม้เจ้าโง่งมเช่นนี้ แต่ข้า…ยังคงพอใจเจ้าอยู่ดี เอาล่ะ เจ้าไปได้”
หลงอิ่งออกไปเงียบๆ แล้ว องค์หญิงเจินเจินดึงสายตากลับ นางยกมือขยี้หางตา
ต้องเพราะนางใกล้ตายแล้วเป็นแน่ถึงได้จิตใจอ่อนไหวเพียงนี้ ไฉนแม้แต่องครักษ์เล็กๆ ผู้หนึ่งยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์ อยากให้เขาอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนนานๆ เหลือเกิน
“กลับเถอะ” นางเอ่ยสั่งเสียงเอื่อยๆ ตอนเดินผ่านข้างกายนางกำนัล
วันต่อมา นางกำนัลสองคนก็พบว่าผู้เป็นนายผิดปกติไป
เช้าวันนี้องค์หญิงเจินเจินยังตื่นสายดุจเก่า นางกำนัลผู้หนึ่งรวบผ้าม่านคลุมเตียงขึ้นเพื่อปลุกให้ตื่นอย่างทนไม่ไหว ครั้นมองปราดไปเห็นสองตาของนางปรือปิด ใบหน้าเขียวซีดจนน่าตกใจ
“องค์หญิง” นางกำนัลใจหายวาบ ส่งเสียงเรียกซ้ำๆ ไม่เห็นองค์หญิงเจินเจินมีปฏิกิริยาใด จึงเขย่าแขนนางอย่างลุกลน
องค์หญิงเจินเจินฝืนลืมตาขึ้น เบือนศีรษะไปอีกทางแล้วเริ่มไออย่างรุนแรงจนกระอักโลหิตคำหนึ่งใส่หมอนปักลายดอกโบตั๋นด้วยไหมทอง
นางกำนัลทั้งสองคนตกใจจนขวัญหนีดีหาย รีบวิ่งไปรายงานตามตำหนักต่างๆ
ลี่ผินรุดมาถึงเป็นคนแรก นางกอดพระธิดาร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ “เจินเจิน เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าอย่าทำให้เสด็จแม่ตกใจนะ!”
ไม่นานนักหมอหลวงก็มาถึง เขาจับชีพจรให้องค์หญิงเจินเจินแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปทันควัน
เว่ยกงกงมาเอายาไปจากเขาขวดหนึ่ง แล้วอาการขององค์หญิงเก้าก็เป็นอาการหลังจากกินยาขวดนั้นเข้าไปชัดๆ
เมื่อพัวพันกับความลับในราชสำนัก หมอหลวงเพียงรู้สึกหนาวยะเยือกตรงกลางอกไม่หยุด ไหนเลยจะกล้าเปิดเผยความจริงออกมา เขาบอกกล่าวด้วยถ้อยคำที่ใช้เป็นประจำยามตรวจโรคให้เหล่าผู้สูงศักดิ์เป็นการกลบเกลื่อนเอาตัวรอดไป
และแล้วข่าวองค์หญิงเจินเจินล้มป่วยกะทันหันกำลังจะตายก็แพร่กระจายไปทั้งวังหลวงอย่างว่องไว