หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 718
บทที่ 718
ดึกสงัดมากขึ้นทุกที กระทั่งดวงเดือนกลางเวหายังหลบเร้นอยู่ในผืนเมฆ จุดที่ไร้แสงไฟมืดสนิทราวกับน้ำหมึก ยื่นมือไปมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า
หลงอิ่งเอามือหนึ่งเกาะกำแพงวังหลวงเย็นเฉียบทรงตัวไว้พลางหอบหายใจแฮกๆ เขาหยุดพักครู่หนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
คงเพราะสวรรค์เมตตา เขาถึงพาองค์หญิงออกมาได้อย่างราบรื่น
“องค์หญิง ต้องทรงอดทนไว้ให้ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” หลงอิ่งรำพึงในใจคำหนึ่งก่อนจะแบกองค์หญิงเจินเจินออกวิ่งทะยานเต็มเหยียด
บนถนนว่างเปล่าไร้ผู้คน ต้นไม้สองข้างทางในความมืดมิดละม้ายภูตผีปีศาจแลดูน่าสะพรึงกลัว
หลงอิ่งไม่กล้าหยุดแม้แต่อึดใจเดียว ควบฝีเท้าตรงดิ่งไปที่ตรอกซิ่งจื่อตรงถนนสายตะวันตก
ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องพบคุณหนูสามสกุลหลีให้ได้
ในเมื่อนางมอบยาถอนพิษให้องค์หญิงก็ต้องมีวิธีช่วยชีวิตองค์หญิงแน่!
หลงอิ่งวิ่งสุดฝีเท้าอยู่นานเท่าไรก็สุดรู้ องค์หญิงเจินเจินที่เกาะอยู่บนหลังเขาพลันอาเจียนออกมาดังแหวะ
กลิ่นเหม็นบูดลอยมาปะทะปลายจมูกในชั่วพริบตา หลงอิ่งกลับไม่รังเกียจสักนิด อีกทั้งไม่เสียเวลาเช็ดออก ยังวิ่งตะบึงไปเรื่อยๆ ไม่หยุด
เมื่อเห็นตรอกซิ่งจื่อได้รำไรในที่สุด กลับมีเสียงแหวกอากาศดังลอยมากะทันหัน
หลงอิ่งหลบหลีกอย่างฉับไว พลางร้องตวาดถามเสียงแตกพร่า “ใคร!”
“เจ้าไม่ต้องสนใจว่าข้าเป็นใคร หากฉลาดล่ะก็จงไปจากที่นี่ซะ อย่าเข้าใกล้ตรอกซิ่งจื่อ”
หลงอิ่งแบกองค์หญิงเจินเจินที่อาการร่อแร่อยู่บนหลัง ย่อมไม่อาจต่อสู้พัวพันกับอีกฝ่ายในเวลานี้ได้ เขาจำต้องบังคับตนเองให้สงบสติอารมณ์และเอ่ยถามเสียงต่ำ “ไม่ทราบว่าท่านเป็นคนของกวนจวินโหวใช่หรือไม่”
ในเมื่อเป็นคนที่สามารถอยู่เฝ้าในบริเวณใกล้ๆ ตรอกแห่งนี้ เขาคาดเดาไปในทางนี้ได้ทางเดียว
“นี่หาใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม ขืนไม่ไปอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
“ข้าเป็นองครักษ์ขององค์หญิงเก้า มีเรื่องด่วนต้องพบกับคุณหนูสาม มิอาจรอช้าได้ รบกวนช่วยไปรายงานให้ข้าด้วยเถอะ”
เสียงแค่นหัวเราะดังจากความมืด “เจ้าพูดล้อเล่นอยู่กระมัง ค่ำมืดดึกดื่นคิดจะพบกับคุณหนูสาม?”
หลงอิ่งทำใจแข็งบอกออกไป “ตอนนี้องค์หญิงเก้าอยู่บนหลังข้า นางใกล้จะไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านช่วยไปรายงานคุณหนูสามสักคำ ส่วนว่าคุณหนูสามจะพบพวกข้าหรือไม่ สุดแท้แต่การตัดสินใจของนางแล้ว”
“บนหลังเจ้าคือองค์หญิงเก้าหรือ”
หลังตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง คนในความมืดก็เอ่ยขึ้น “รอที่นี่”
ปิงลวี่ซึ่งนอนเฝ้าเวรผลัดดึกอยู่ในโถงด้านนอกของห้องได้ยินเสียงเคาะหน้าต่างก็ตื่นขึ้นมา นางฉวยไม้เขี่ยไฟป้องกันตัวติดมือ เดินไปเอ่ยถามเสียงเบาๆ “ใคร”
สาวใช้ก็เป็นงานที่เหนื่อยยากลำบากเช่นกัน ห้องของคุณหนูมีคนปีนหน้าต่างแทบไม่เว้นแต่ละวัน นางทั้งต้องเลือกคนที่จะปล่อยให้เข้ามาอย่างทันท่วงทีดังเช่นท่านแม่ทัพ ทั้งต้องคอยระวังป้องกันพวกมากตัณหาที่คิดจับปลาในน้ำขุ่น
“ข้าเอง เฉินกวง”
หน้าต่างเปิดออกทันที ปิงลวี่นิ่วหน้ามองเฉินกวงอย่างไม่พึงใจมาก “ข้าว่านะเฉินกวง เจ้าชักจะเป็นแมวเฝ้าปลาย่างแล้วกระมัง ท่านแม่ทัพให้เจ้าคุ้มครองคุณหนูของข้า แต่เจ้าขยันปีนหน้าต่างบานนี้เสียยิ่งกว่าท่านแม่ทัพอีก”
เฉินกวงยิ้มฝืดๆ “พี่ปิงลวี่คนดีขอรับ อย่าได้พูดจาส่งเดช คุณหนูสามเข้านอนแล้วหรือยัง”
“กี่โมงกี่ยามแล้วจะยังไม่เข้านอนได้หรือ เจ้ามีอะไรกันแน่”
“เจ้ารีบไปบอกกับคุณหนูสามว่าองครักษ์ขององค์หญิงเก้าพานางมาที่นี่ ขณะนี้อยู่ที่ด้านนอกตรอกซิ่งจื่อ คุณหนูสามจะให้พบหรือไม่ก็บอกมาโดยไว”
“เอ๊ะ?” ปิงลวี่ฟังแล้วงงงันไป
มันเรื่องอะไรกันอีกล่ะนี่ ขนาดสาวใช้อาวุโสผู้มีสติปัญญาเฉกข้ายังพินิจพิเคราะห์สถานการณ์ไม่ออกแล้ว
“อย่ามัวยืนทื่ออยู่ เจ้ารีบไปถามสิ”
“อ้อ” ปิงลวี่หมุนกายวิ่งเข้าไปด้านใน
ช่างเถิด ถึงอย่างไรคุณหนูฉลาดกว่าข้า มอบให้เป็นหน้าที่คุณหนูดีแล้ว
“ปิงลวี่ มีเรื่องใดหรือ” หลายวันนี้เฉียวเจานอนหลับไม่สนิทตลอด ได้ยินเสียงดังเล็กน้อยก็จะตื่นขึ้น
ปิงลวี่นำคำพูดของเฉินกวงบอกต่อนางโดยไม่รอช้า
เฉียวเจาลุกขึ้นนั่งทันที นางนิ่งคิดครู่เดียวก็เอาเสื้อมาคลุมกายเดินออกไป
“คุณหนูสาม” เฉินกวงที่นอกหน้าต่างกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ
เฉียวเจาก้าวฉับๆ ไปตรงข้างหน้าต่าง “เฉินกวง เจ้าไปพาพวกเขาเข้ามา”
เขาละล้าละลังเล็กน้อย “พาองครักษ์ขององค์หญิงเก้าเข้ามาด้วยหรือขอรับ”
เฉียวเจาพยักหน้าโดยไม่ลังเลสักนิด “พาเข้ามาด้วยกัน เห็นทีว่าองค์หญิงเก้าคงอาการไม่ดีแล้ว ข้าต้องซักถามเรื่องราวจากองครักษ์นามหลงอิ่งของนางด้วย”
เฉินกวงพยักหน้า เขาหายลับไปจากริมหน้าต่างอย่างว่องไว เหลือเพียงใบกล้วยสีเขียวสดแกว่งไกวไปมาเบาๆ
เฉียวเจายืนนิ่งเงียบอยู่ข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอก
ปิงลวี่จุดเทียนไขแล้ว ภายในห้องสว่างขึ้น แต่นอกหน้าต่างกลับยิ่งมืดลง
“คุณหนู เพราะอะไรท่านถึงพูดว่าองค์หญิงคงอาการไม่ดีแล้วล่ะเจ้าคะ ตอนองค์หญิงเก้าเสด็จมาเยี่ยมท่านวันนั้นยังแข็งแรงกระฉับกระเฉงอยู่เลยมิใช่หรือ” ปิงลวี่เดินไปที่ข้างกายนางแล้วเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้
“คลื่นลมปรวนแปรในวังหลวงน่ะสิ เจ้าอย่าถามมากนักเลย” เฉียวเจาดึงสายตากลับมาส่งยิ้มให้นาง “ไปหยิบหีบยามา แล้วก็ปลุกอาจูให้ตื่นขึ้นมาเตรียมน้ำร้อน คืนนี้ดูทีว่าพวกเราต้องอดนอนกันแล้ว”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ไม่ถามอะไรอีก กุลีกุจอไปปลุกอาจูที่นอนพักอยู่ในห้องด้านข้าง
ด้านเฉียวเจาฉวยจังหวะที่คนยังมาไม่ถึงเดินไปล้างมือที่หลังฉากกั้น นางล้างมืออย่างพิถีพิถันพลางครุ่นคิดอยู่ในใจ
นับแต่ไหว้วานเจียงหย่วนเฉานำยาถอนพิษไปมอบให้องค์หญิงเก้า นางก็วิตกกังวลใจเรื่อยมา และดูจากเหตุการณ์ในวันนี้ องค์หญิงเจินเจินต้องไม่ได้กินยาอย่างแน่นอน
กระนั้นหลงอิ่งพาองค์หญิงเจินเจินมาหานางในเวลานี้ก็เหนือความคาดหมายของนางจริงๆ
ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมา
“คุณหนูสาม พวกเขามาแล้วเจ้าค่ะ”
หลงอิ่งพาองค์หญิงเจินเจินเข้ามาในห้อง เขาเห็นเฉียวเจาก็คุกเข่าลงดังตุ้บทันใด “องค์หญิงใกล้จะไม่ไหวแล้ว คุณหนูสามโปรดช่วยองค์หญิงด้วยขอรับ”
“เจ้าอุ้มนางไปวางบนเตียงด้านในก่อนค่อยว่ากัน”
พอวางตัวองค์หญิงเจินเจินลง เฉียวเจาตรวจอาการอย่างฉับไวแล้วพูดเสียงพึมพำ “ได้รับพิษมาประมาณสามวัน ดูจากลักษณะที่พิษกำเริบ องค์หญิงเพิ่งได้เสวยยาถอนพิษ?”
หลงอิ่งตั้งท่าจะกล่าวตอบ แต่เฉียวเจายกมือห้ามไว้ “เรื่องอื่นไว้ค่อยพูดกันอีกที ข้าฝังเข็มขับพิษให้องค์หญิงก่อน พวกเจ้าออกไปรอข้างนอกให้หมด อาจู ปิงลวี่อยู่ในนี้คอยช่วยข้า”
หลงอิ่งกับเฉินกวงถอยออกไปอย่างว่องไว เฉียวเจาก็เริ่มลงมือรักษาอย่างขะมักเขม้นโดยมีสาวใช้สองนางเป็นผู้ช่วย
ครึ่งชั่วยามให้หลัง ปิงลวี่เดินออกมาบอกกับหลงอิ่ง “รอสักครู่ คุณหนูของข้าเหงื่อออกโซมกายเพราะช่วยรักษาองค์หญิง หลังชำระกายผลัดอาภรณ์แล้วจะมาพบเจ้า”
“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้าง” หลงอิ่งไต่ถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
ปิงลวี่เชิดหน้าขึ้น “คุณหนูของข้าออกโรงทั้งที แม้แต่คนตายยังชุบชีวิตให้ฟื้นได้แน่นอน”
พอเห็นหลงอิ่งก้าวขาจะเข้าไป ปิงลวี่กางสองแขนออกขวางไว้ “หยุดนะ เจ้ามีมารยาทหรือไม่ ทะเล่อทะล่าเข้าไปได้อย่างไรเล่า”
“ข้าอยากพบองค์หญิง” หลงอิ่งกล่าวด้วยหน้าตาเฉยเมย
มือข้างหนึ่งวางทาบบนหัวไหล่เขา “ข้าจะบอกให้นะสหาย เจ้ารอคุณหนูสามออกมาจะดีกว่า อย่าสร้างความไม่พึงใจให้คุณหนูสามของพวกเรา”
หลงอิ่งมองเฉินกวงปราดหนึ่งแล้วขมวดคิ้วมุ่นชักเท้ากลับ
ไม่นานนักเฉียวเจาซึ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่แล้วก็สาวเท้าออกมา นางผงกศีรษะนิดหนึ่งกับหลงอิ่ง “ตามข้าไปที่ห้องหนังสือ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า”