หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 723
บทที่ 723
เซ่าหมิงยวนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังอาชา เพ่งมองเงาร่างอรชรบนร้านน้ำชานั้นโดยไม่ขยับกายสักที
ชาวบ้านบนถนนพากันงุนงงมากขึ้น พวกเขาเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่อย่างรวดเร็ว
มีเด็กสาวตาไวมองเห็นเด็กสาวที่ยืนริมหน้าต่างชั้นบนของร้านน้ำชา นางดึงสหายข้างกายเต็มแรงอย่างห้ามไม่อยู่ “ดูเร็วเข้า กวนจวินโหวมองสตรีบนร้านน้ำชานางนั้นอยู่!”
“เจ้าเบาหน่อยสิ” สหายข้างกายโดนดึงเจ็บก็ลอบขุ่นใจอยู่บ้าง นางเงยหน้ามองแวบหนึ่งก่อนเบะปากกล่าว “มิใช่สักหน่อย วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เฉกกวนจวินโหวจะจ้องมองสตรีนางหนึ่งได้อย่างไรกัน อีกอย่างสตรีนางนั้นแสนธรรมดาสามัญชัดๆ”
“ข้ามองสตรีนางนั้นอยู่จริงๆ” สุ้มเสียงเรียบเฉยแฝงความอ่อนล้าไว้หลายส่วนของบุรุษดังขึ้น ทว่ารอยอ่อนล้านี้กลับทำให้เสียงพูดของเขาทุ้มนุ่มลึกประหนึ่งเมรัยเลิศรส ฟังแล้วชวนให้หน้าแดงใจเต้น
เด็กสาวสองนางต่างมองแม่ทัพหนุ่มในเกราะเงินบนหลังม้าขาวอย่างเคลิ้มลอยคล้ายต้องมนตร์สะกด ลืมเลือนกระทั่งกะพริบตา
“นางเป็นคู่หมั้นของข้า” เซ่าหมิงยวนกล่าวจบแล้วพลิกกายลงจากม้า สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปทางร้านน้ำชาทันที
จวบจนแผ่นหลังของบุรุษร่างสูงใหญ่หายลับไปตรงหน้าประตูร้านน้ำชา เด็กสาวนางหนึ่งถึงรู้สึกตัว นางดึงแขนเด็กสาวด้านข้างพลางพูดเสียงระริกระรี้ “กวนจวินโหวพูดกับข้าแล้ว เขาพูดกับข้าแล้ว!”
“ตื่นเต้นอะไร เขาบอกพวกเราว่าเขามีคู่หมั้นนะ!” เด็กสาวด้านข้างดูมีสติมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นมือที่สั่นเทาน้อยๆ ของนางยังคงฟ้องว่านางตื่นเต้นอยู่
“กวนจวินโหวมีคู่หมั้นแล้วแน่นอน แต่นั่นจะมีอันใด ต่อให้เขาไม่มีคู่หมั้น ก็ไม่มีทางตบแต่งพวกเราเป็นภรรยาหรอก”
เด็กสาวด้านข้างขบคิดครู่หนึ่งก็พยักหน้า “จริงของเจ้า”
“ดังนั้นจุดสำคัญคือกวนจวินโหวพูดกับพวกเรา ประเดี๋ยวนะพวกนางต้องอิจฉาพวกเราแทบตายเลย”
“อ๊าย…เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง” เด็กสาวด้านข้างคิดได้แล้วก็ร้องวี้ดว้ายกระตู้วู้ไปด้วย
คนที่ตั้งใจจับจองที่นั่งในร้านน้ำชารอดูกวนจวินโหวเข้าเมืองก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน พอเขาเดินเข้ามา ภายในร้านก็บังเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมเมื่อทุกคนกรูกันเข้าไปห้อมล้อมเขา
เซ่าหมิงยวนยืนอยู่กลางโถงร้านเห็นเฉียวเจาโดนขวางไว้ตรงเชิงบันไดชั้นสอง เขาประสานมือคำนับต่อทุกคน “ทุกท่านโปรดเปิดทางด้วย ขอให้ข้าได้พูดคุยกับคู่หมั้นสักสองสามคำ”
ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ทุกคนต่างแยกออกไปทางด้านข้างเงียบๆ พลางมองตามชายหนุ่มที่เดินขึ้นไปชั้นบนด้วยฝีเท้าเป็นจังหวะกันตาเขม็ง
ขณะมองดูบุรุษที่เดินมาใกล้ เฉียวเจาซึ่งประสบผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมายถึงกับรู้สึกประหม่าๆ ชอบกล เมื่อเขามาถึงตรงหน้า นางก็ลืมเลือนไปแล้วว่าควรพูดอะไรดี
“ข้ากลับมาแล้ว” เซ่าหมิงยวนมองคู่หมั้นที่นิ่งงันอยู่ ในดวงตาของเขาฉายแววอ่อนโยนเต็มเปี่ยม
เฉียวเจาดึงสติคืนมาทันควัน นางเหลือบเห็นสายตาที่จับจ้องอยู่นับไม่ถ้วนในร้านน้ำชาทางหางตาก็เอ่ยขึ้นอย่างเก้อเขิน “ท่านขึ้นมาทำอะไรกัน”
นี่นับได้ว่าตกเป็นเป้าสายตาของชาวบ้านชาวเมืองอย่างแท้จริง
“อยากฟังเสียงเจ้า อยู่ข้างล่างไม่ได้ยิน”
เฉียวเจาหน้าร้อนซู่ นางพูดเร่งเขา “เอาล่ะๆ ท่านรีบไปเถอะ คนทั้งเมืองล้วนมองดูอยู่นะ พวกเขาล้วนมาต้อนรับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่าน ให้พวกเขาเห็นท่านสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้คงจะผิดหวังกันแล้ว”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “เจาเจา ข้าหาใช่วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ยี่หระต่อสายตาใครๆ ข้าไม่กลัวคนอื่นผิดหวังหรอก หากเกียรติยศเหล่านี้เป็นของข้า เช่นนั้นมันก็สมควรเป็นของเจ้าด้วย”
ความดีความชอบและชื่อเสียงที่เขาได้มาจะขาดสตรีที่เฝ้ารอเขาอยู่เงียบๆ นางนี้เสียมิได้ ไม่ว่ายามตกอับหรือรุ่งเรือง เขากับนางสมควรร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสมอ
เซ่าหมิงยวนถอดหมวกเกราะออก ถือด้วยสองมือส่งให้นาง “เก็บไว้ให้ข้าด้วย รอหลังจากข้าไปรายงานตัวแล้วจะมารับคืนอีกที”
หมวกเกราะเงินที่วางลงในมือเย็นเฉียบ พู่แดงบนนั้นสีซีดจางไปบ้างเห็นชัดว่าผ่านการซักอย่างสะอาดสะอ้าน มันเป็นชิ้นที่นางถักกับมือนั่นเอง
เฉียวเจามองตามบุรุษร่างสูงขายาวหมุนกายเดินลงบันไดไป นางกอดหมวกเกราะไว้แน่นพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
นี่เขากำลังบอกหญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงว่ากวนจวินโหวถูกคุณหนูสามสกุลหลีจับจองไว้แล้วใช่หรือไม่
เมื่อเซ่าหมิงยวนกลับขึ้นม้าพากององครักษ์จากไปไกลขึ้นเรื่อยๆ ปิงลวี่ยกมือปิดหน้าพูดเสียงแหลมเล็ก “คุณหนู ข้าหลงเสน่ห์ท่านเขยแล้วทำฉันใดดีเจ้าคะ”
เฉียวเจาปรายตามองสาวใช้น้อยปราดหนึ่ง กล่าวเสียงเอื่อยๆ ว่า “ปัญหานี้เจ้าถามเฉินกวงดูได้”
ปิงลวี่หันไปมองเขาทันทีทันใด
เฉินกวงทำหน้าบึ้งแค่นหัวเราะทีหนึ่ง “อย่ามาถามข้า ข้าก็หลงเสน่ห์คุณหนูสามแล้ว ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเหมือนกัน”
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริก ไม่สนใจพวกสติไม่เต็มเต็งสองคนนี้อีก
ตอนเซ่าหมิงยวนไปเข้าเฝ้าที่วังหลวง เว่ยอู๋เสียอดเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ท่านโหวคุ้มครองคู่หมั้นได้อย่างแน่นหนาไร้ช่องโหว่ จริงๆ นะ”
เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เว่ยอู๋เสียเปรยถ้อยคำนี้ขึ้นมาลอยๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก เพียงผายมือบอกว่า “เชิญท่านโหว ฝ่าบาททรงรออยู่”
ฮ่องเต้หมิงคังรอคอยเซ่าหมิงยวนอยู่ ร่างผอมเพรียวบางของเขาสวมเสื้อคลุมนักพรตแขนเสื้อหลวมกว้าง แลดูมีลักษณะของผู้สำเร็จตบะกลายเป็นเซียนอยู่หลายส่วน
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มคุกเข่าลงข้างหนึ่งแสดงคารวะต่อเจ้าแผ่นดิน
“ท่านแม่ทัพลุกขึ้นเถอะ” ฮ่องเต้หมิงคังเห็นรูปลักษณ์สง่างามโดดเด่นของชายหนุ่มแล้วลอบไม่สบอารมณ์ แต่จะแสดงออกทางสีหน้าก็ไม่เหมาะ
เขาเพิ่งได้รับข่าวว่ากวนจวินโหวหยุดแวะสนทนากับคู่หมั้นระหว่างทาง เห็นได้ถึงความสำคัญของคุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้ในใจแม่ทัพหนุ่ม
พอเป็นอย่างนี้ เขาจะยกองค์หญิงแปดให้แต่งงานกับกวนจวินโหวก็ไม่เหมาะแล้ว
ในเมื่อเป็นราชบุตรเขยของตนไม่ได้ ฮ่องเต้หมิงคังเห็นเซ่าหมิงยวนแล้วขัดนัยน์ตามากขึ้น แต่เผอิญว่าเรื่องการรบทัพจับศึกก็ขาดคนตรงหน้านี้ไม่ได้เสียด้วย
ฮ่องเต้หมิงคังคิดถึงตรงนี้แล้วมีไฟโทสะสุมอก กลับได้แต่ฝืนสะกดเก็บไว้
เซ่าหมิงยวนหลุบตาต่ำ เหยียดมุมปากขึ้นนิดหนึ่ง
โอรสสวรรค์ของแผ่นดินชังน้ำหน้าเขาแล้วจะมีอันใด ตราบเท่าที่เขานำทัพออกศึกได้ ถึงรู้สึกขวางหูขวางตาเขาก็ต้องข่มใจไว้
สำหรับภายภาคหน้า…
นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกายแข็งกร้าววูบหนึ่ง
อย่าแตะต้องสิ่งที่เขาหวงแหนที่สุด เขาก็จะเป็นขุนนางผู้รักแผ่นดินและภักดีต่อกษัตริย์
ฮ่องเต้หมิงคังซักถามเรื่องการสู้รบระหว่างสองทัพหลายคำก่อนจะอนุญาตให้เขากลับไป
เซ่าหมิงยวนออกจากวังหลวงแล้วตรงดิ่งไปที่ตรอกซิ่งจื่อเคารพศพนายท่านรองของสกุลหลี
จวนสกุลหลีมิใช่ตระกูลสูงศักดิ์มั่งคั่ง อีกทั้งฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถือความมัธยัสถ์เรียบง่ายเป็นแนวทางชีวิต จึงตั้งศพของหลีกวงซูเพียงสิบสี่วันก็นำลงฝัง
เซ่าหมิงยวนให้บ่าวในจวนนำทางไปจุดธูปสามดอกที่ศาลบรรพชนเล็กซึ่งตั้งป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษสกุลหลีไว้ก็ถือว่าได้เคารพศพแล้ว
เฉียวเจารออยู่ด้านนอก นางเห็นเขาออกมาก็เอ่ยบอกยิ้มๆ “พวกผู้อาวุโสล้วนอยู่ที่เรือนชิงซงแล้ว ท่านย่าสั่งให้ข้ามาพาท่านไปที่นั่น”
เซ่าหมิงยวนสบช่องที่ไม่มีคนมองดูอยู่แอบจับมือนางแล้วปล่อยออกอย่างรวดเร็ว ค่อยเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านย่าเอ็นดูข้า”
นางมองค้อนเขาวงหนึ่ง แต่มีคนอื่นอยู่ด้วยจะพูดอะไรมากก็ไม่เหมาะ จึงออกเดินไปอย่างเร็วรี่
ชายหนุ่มสาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไล่ตามทัน “เดินช้าๆ หน่อย ระวังหกล้ม”
ทั้งคู่เดินเคียงคู่กันเข้าสู่เรือนชิงซง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำมือบอกให้สาวใช้อุ้มเฮ่าเกอเอ๋อร์ออกไป นางมองเซ่าหมิงยวนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตาปรานี “ท่านโหวเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย รีบนั่งลงเถอะ”
เซ่าหมิงยวนย่อมไม่นั่งลงทันที เขาแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งและหลีกวงเหวินกับภรรยาแล้วถึงได้นั่งลง
หลังไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันเรียบร้อย ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลานสาวแวบหนึ่ง “หลานเจา หมู่นี้เฮ่าเกอเอ๋อร์มักร้องไห้งอแงตอนกลางคืนบ่อยๆ เจ้ามิสู้ลองไปดูทีว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”
ตั้งแต่ปิงเหนียงจากไป ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งรับเฮ่าเกอเอ๋อร์มาเลี้ยงดูอยู่ข้างกายอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มาตรว่าเฮ่าเกอเอ๋อร์ยังเยาว์วัย แต่กลับเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่ายมากขึ้นราวกับรู้ว่ามารดาแท้ๆ ไม่อยู่แล้ว
เฉียวเจารู้ดีว่าท่านย่าต้องการให้นางปลีกตัวออกไปเพราะจะพูดคุยกับเซ่าหมิงยวน นางขบคิดชั่วอึดใจก็กระจ่างแจ้งว่าเป็นเรื่องใดจึงรีบขานรับแล้วถอยออกไป