หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 729
บทที่ 729
จวนสกุลโค่วให้การต้อนรับเฉียวโม่กับน้องสาวอย่างเอิกเกริก นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าเซวียจะมีสีหน้าแย้มยิ้มตลอดเวลาผิดจากในกาลก่อนที่วางท่าเคร่งขรึมเป็นนิจ โค่วสิงเจ๋อท่านตาของสองพี่น้องกับท่านลุงสองคนยังตั้งใจลาราชการเพื่อร่วมฉลองแสดงความยินดีกับเขา
เฉียวหว่านกระตุกแขนเสื้อพี่ชายอย่างอึดอัด
เฉียวโม่ลอบตบหลังมือนางเบาๆ เป็นเชิงปลุกปลอบใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียกล่าวยิ้มๆ “พริบตาเดียวหว่านวานก็โตเป็นสาวแล้วนะ นานทีปีหนจะมีเรื่องน่าดีใจอย่างในวันนี้ ชิ่งมามา เจ้าไปเชิญพวกคุณหนูกับคุณชายมาที่นี่ ทุกคนจะได้สนุกครึกครื้นด้วยกัน”
โค่วจื่อโม่กับโค่วชิงหลันนั่งอยู่ในศาลากลางสวนดอกไม้ แม้นพูดว่าจะชมดอกไม้ หากความสนใจของพวกนางกลับอยู่ที่เรื่องการมาเยือนของเฉียวโม่กับน้องสาว
“พี่จื่อโม่ ในที่สุดท่านก็อดทนจนมาถึงวันที่เมฆหมอกจางหายได้เห็นแสงจันทร์งามกระจ่างล่ะนะทีนี้ ใบหน้าของญาติผู้พี่หายดีดังเดิมแล้วยังได้เป็นฮุ่ยหยวน ท่านปู่ท่านย่าต้องยินดีส่งเสริมให้ท่านได้สมหวังเป็นแน่” โค่วชิงหลันดีใจกับพี่สาวอย่างมาก ใบหน้านางแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มผ่อนคลาย
ฝ่ายโค่วจื่อโม่หาได้เบิกบานใจเช่นน้องสาวไม่ คิ้วโก่งงามของนางขมวดน้อยๆ มุมปากมีรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
“พี่จื่อโม่ ไฉนข้าดูท่าทางท่านไม่ดีใจเลยเล่าเจ้าคะ”
โค่วจื่อโม่สะบัดผ้าเช็ดหน้าเบาๆ “เหตุใดจะไม่ดีใจล่ะ ญาติผู้พี่หมดทุกข์พบสุขแล้วเป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่เลยนะ”
“คุณหนูทั้งสอง ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญพวกท่านไปพบเจ้าค่ะ” สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา
โค่วชิงหลันลุกขึ้นยืนทันที ครั้นเห็นพี่สาวไม่ขยับตัวก็ยื่นมือไปฉุดนาง “พี่จื่อโม่ ไปสิเจ้าคะ”
โค่วจื่อโม่กุมท้องพลางส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่ค่อยสบายอยากกลับห้องไปนอนพัก คงไม่ออกไปพบแขกแล้ว น้องชิงหลันช่วยบอกกับท่านย่าให้ข้าด้วย”
“พี่จื่อโม่?” โค่วชิงหลันคาดไม่ถึงอย่างมาก นางมองพี่สาวด้วยสีหน้าแปลกใจ
ไม่มีใครแจ่มแจ้งดีไปกว่านางถึงความรู้สึกที่พี่จื่อโม่มีต่อญาติผู้พี่ นับแต่ญาติผู้พี่เสียโฉม พี่จื่อโม่ก็นอนหลับไม่สนิทแม้สักราตรีเดียว ครั้งนี้ญาติผู้พี่ฟื้นฟูรูปโฉมแล้วกลับมาเมืองหลวง พี่สาวผู้สุขุมหนักแน่นเป็นนิจยังชวนนางร่ำสุราจนเมามาย และพอญาติผู้พี่เข้าร่วมการสอบขุนนาง พี่จื่อโม่ก็อธิษฐานขอพรให้ญาติผู้พี่สอบผ่านทุกวัน
ทว่าตอนนี้พี่จื่อโม่เป็นอะไรไป
“ชิงหลัน ข้าไม่สบายจริงๆ เจ้าบอกกับท่านย่าไปตามนี้เท่านั้นเป็นพอ”
“พี่จื่อโม่ ถ้าอย่างนั้นข้ากลับห้องเป็นเพื่อนท่านดีกว่า”
“ไม่ต้อง ให้สาวใช้ไปกับข้าก็ได้ เจ้ารีบไปเถอะ”
โค่วจื่อโม่พูดเกลี้ยกล่อมน้องสาวได้แล้วก็กลับห้องไปตามลำพัง นางเข้าห้องแล้วบอกให้สาวใช้ออกไป จากนั้นยืนพิงประตูหลับตาลงอย่างทรมานใจ
เมื่อก่อนตอนญาติผู้พี่อยู่ในจวน พวกผู้อาวุโสคอยกีดกันมิให้นางกับญาติผู้พี่ใกล้ชิดกันราวกับระวังป้องกันโจร บัดนี้กลับเรียกนางไปพบกับเขา
คนฉลาดหลักแหลมเฉกญาติผู้นี้มีหรือจะไม่เข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ แล้วนางจะมีหน้าออกไปได้อย่างไร
ชาตินี้นางกับญาติผู้พี่ไร้วาสนาต่อกันเป็นแน่แท้
โค่วจื่อโม่ทรุดกายลงช้าๆ ยกสองมือปิดหน้าร่ำไห้อย่างไร้สุ้มเสียง
“อะไรนะ จื่อโม่ไม่สบายหรือ” ในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเซวียมีแววประหลาดใจจุดวาบขึ้น
โค่วชิงหลันเหลือบมองเฉียวโม่ทางหางตาปราดหนึ่งอย่างฉับไวก่อนพยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าค่ะ น่าจะเป็นเพราะตากลม พี่จื่อโม่ก็เลยปวดท้อง* บอกว่าไม่ออกมาพบแขกแล้ว”
หญิงชราได้ยินแล้วมุ่นคิ้วทันใด “เจ้าหลานผู้นี้พูดอะไรกัน โม่เอ๋อร์จะเป็นแขกได้อย่างไรกัน พวกเจ้าเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน นอกจากพี่น้องในเรือนตนก็ไม่มีใครที่สนิทสนมมากไปกว่าพวกเจ้าแล้ว”
เฉียวหว่านซึ่งนั่งอยู่ข้างกายเฉียวโม่ได้ยินแล้วอดเม้มปากไม่ได้
นางเป็นบุตรสาวของอนุ ถ้าจะพูดกันจริงๆ แล้วหาได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ กับคนที่อยู่ที่นี่เหล่านี้ มิน่าตอนอยู่ในจวนสกุลโค่วฮูหยินผู้เฒ่าถึงไม่เคยยิ้มกับนางเลย
ดรุณีน้อยคล้ายนั่งอยู่บนพรมเข็ม กระนั้นความทะนงในศักดิ์ศรีของชาวสกุลเฉียวผลักดันให้นางไม่ยอมก้มหัวลง เฉียวหว่านเหยียดแผ่นหลังตรงแหน็ว วางสีหน้าเคร่งขรึม
เฉียวโม่มองเห็นก็ทั้งสงสารทั้งขบขัน เขากล่าวตอบท่านยาย “ในเมื่อญาติผู้น้องไม่สบายก็ให้นางพักผ่อนให้มากๆ เถอะขอรับ ตอนบ่ายท่านโหวนัดหมายข้าออกไปพบปะสหาย ข้ากับหว่านวานก็รั้งอยู่ที่นี่นานนักไม่ได้”
เมื่อได้ยินเฉียวโม่บอกเช่นนี้ พวกเสนาบดีโค่วจะดึงดันรั้งตัวเขาไว้ก็ไม่เหมาะ หลังกินอาหารแล้วก็ส่งสองพี่น้องกลับไป
ขณะที่ดื่มน้ำชากันเอง ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียทำหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย “จื่อโม่เจ้าหลานผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ ไม่รู้กาลเทศะสักนิด!”
โค่วสิงเจ๋อเป่าใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำเบาๆ “ร้อนใจด้วยเหตุใดกัน ยามนี้เฉียวโม่ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ คนเป็นท่านตาท่านยายอย่างพวกเราจะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องแต่งงานของเขาก่อนได้ล่ะหรือ เช่นนั้นเอาบุตรสาวเราไปวางไว้ที่ใด”
‘บุตรสาว’ ที่โค่วสิงเจ๋อกล่าวถึงคือมารดาของเฉียวโม่ซึ่งเป็นบุตรสาวคนโตของเขากับภรรยานั่นเอง ด้วยเหตุนี้ในเวลานี้ไม่ว่าใครล้วนเอ่ยเรื่องแต่งงานของเฉียวโม่ได้ แต่พวกเขากลับพูดไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ
“ก็เพราะว่าไม่เหมาะไม่ควรถึงได้อยากให้เขากับนางได้พบหน้ากันบ่อยๆ รอเมื่อเฉียวโม่ออกทุกข์แล้วทุกอย่างจะได้ลงเอยไปตามทางที่พึงเป็นแล้ว”
โค่วสิงเจ๋อถอนใจเฮือกหนึ่ง “เฉียวโม่ต้องล่วงรู้ถึงจิตใจของหลานจื่อโม่อย่างแน่นอน แต่ข้ากลับอ่านความคิดของเจ้าเด็กผู้นั้นไม่ออก เจ้าอย่ายื่นมือยุ่งจะดีกว่า รอเขาออกทุกข์แล้วค่อยว่ากันอีกที”
เฉียวหว่านนั่งอยู่บนรถม้ากลับจวน นางระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง “ได้กลับจวนสักที ตอนบ่ายข้ายังต้องไปขี่ม้า ลูกม้าที่พี่เขยมอบให้ข้าตัวสูงขึ้นแล้วนะเจ้าคะ”
“กินอิ่มหรือเปล่า”
ดรุณีน้อยหน้าแดง นางสั่นศีรษะเอ่ย “กินไม่อิ่มเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงรู้สึกอึดอัดก็เลยกินไม่ลงแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเราอย่าเพิ่งกลับจวนเลย พี่ใหญ่พาเจ้าไปซื้อของกินที่หอเต๋อเซิ่ง”
เฉียวหว่านตาเป็นประกาย “ดีเจ้าค่ะ ข้าอยากกินเป็ดย่าง”
หอเต๋อเซิ่งในเพลานี้กำลังคึกคักพลุกพล่าน เฉียวโม่สั่งให้เด็กรับใช้ไปซื้อเป็ดย่างกลับไปกินที่จวน ส่วนสองพี่น้องนั่งรออยู่บนรถม้า
เฉียวหว่านนึกเบื่อหน่าย นางเลิกม่านหน้าต่างขึ้นมองออกไปข้างนอก
ห่างจากหอเต๋อเซิ่งไปไม่ไกลเป็นร้านหนังสือแห่งหนึ่ง สตรีสองนางเดินเคียงคู่กันออกมา คนหนึ่งสวมกระโปรงสีชมพู คนหนึ่งสวมเสื้อสีน้ำเงิน ต่างคนต่างมีสาวใช้นางหนึ่งหอบหนังสือตำราไว้ในอ้อมแขนตามอยู่ข้างหลัง
“พี่ใหญ่ ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าพวกนางเป็นใคร” เฉียวหว่านเบี่ยงกายออกเล็กน้อยแล้วดึงพี่ชายมาดู
เขาเหลือบมองนิดเดียวก็ดึงสายตาคืนแล้วปล่อยม่านลง กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ใหญ่จะรู้จักได้อย่างไรกัน”
สตรีสองนางนั้น คนที่สวมกระโปรงสีชมพูคือคุณหนูจูแห่งจวนไท่หนิงโหว คนที่สวมเสื้อสีน้ำเงินคือคุณหนูสวี่แห่งจวนรองสมุหราชเลขาธิการ เฉียวโม่มีความจำดี มองปราดแรกก็จำหน้าพวกนางได้แล้ว
“พวกนางสองคนเป็นรองหัวหน้าชุมนุมฟู่ซานเจ้าค่ะ มิน่าถึงมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นสตรีมีความสามารถ ข้ามาซื้อเป็ดย่าง ส่วนพวกนางซื้อหนังสือมากมายอย่างนั้น พี่ใหญ่ วันหลังข้าไม่เอาแต่เล่นสนุกแล้ว อีกสองสามปีข้าต้องเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานให้ได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”
“ดี หว่านวานพยายามเข้านะ”
“จริงสิ พี่ใหญ่ สองสามเดือนก่อนพี่หลีสร้างชื่อโด่งดังในงานเลี้ยงงานหนึ่ง นางประชันฝีมือกับชาวซีเจียงตั้งหลายอย่างก็เอาชนะได้หมดเลย คุณหนูสวี่ผู้นั้นยังยกพิณโบราณของรักของหวงให้พี่หลีด้วยเจ้าค่ะ”
เฉียวโม่กระดกหางคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง ใบหน้าฉายแววจริงจังมากขึ้น “อย่างนั้นหรือ นี่แสดงว่าคุณหนูสวี่กับพี่หลีมีไมตรีต่อกันไม่เลวสินะ”
สองฝ่ายมีจุดยืนร่วมกัน อีกทั้งเป็นมิตรกับน้องสาวคนโต เห็นได้ว่าคุณหนูสวี่ท่านนั้นมีความประพฤติที่ดีเลิศ
บางที…
เฉียวโม่คิดคำนึงถึงตรงนี้แล้วเริ่มกระดากอายอยู่บ้าง เขากระแอมไอเบาๆ ไม่กล่าววาจาอีก
วันเวลาผันผ่านไปอย่างว่องไว พริบตาเดียวการสอบหน้าพระที่นั่งก็มาถึง
ฮ่องเต้หมิงคังถือพู่กันจุ่มหมึกในมือมองกระดาษข้อสอบสิบฉบับที่วางอยู่ตรงหน้า
มีสามฉบับตั้งอยู่ในจุดที่สะดุดตาที่สุด เป็นของผู้สอบผ่านระดับฮุ่ยซื่อในสามอันดับแรก
ฮ่องเต้หมิงคังอ่านผ่านๆ ไปทีละฉบับก่อนจะหยุดสายตาที่กระดาษข้อสอบซึ่งเขียนชื่อว่า ‘เฉียวโม่’
กระดาษข้อสอบสิบฉบับนี้คัดเลือกมาจากทั้งหมดสามร้อยฉบับโดยขุนนางชั้นผู้ใหญ่ซึ่งทำหน้าที่ตรวจข้อสอบแล้วนำขึ้นถวายให้ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร กระนั้นในความคิดของเขาจะตัดสินให้คนไหนเป็นบัณฑิตเอกล้วนไม่ต่างกัน แต่เพื่อให้เกิดปัญหายุ่งยากน้อยลง ผลการสอบระดับฮุ่ยซื่อเป็นเกณฑ์ชี้วัดสำคัญที่สุด
เฉียวโม่…