หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 730
บทที่ 730
ฮ่องเต้หมิงคังวางพู่กันลงบนที่วางพู่กัน ยื่นนิ้วมือแตะๆ ตรงตัวอักษรคำว่า ‘เฉียวโม่’
เขาเคยกล่าวไว้ว่าถึงรูปโฉมของเฉียวโม่จะมีตำหนิ แต่อนุญาตให้เขาเข้าร่วมการสอบขุนนางได้เป็นพิเศษ ถือเป็นการชดเชยให้สกุลเฉียว
กระนั้นนั่นเป็นคำพูดตามมารยาทแท้ๆ ใครกันที่เสียโฉมแล้วยังวิ่งไปเข้าร่วมสอบขุนนางอีก ไม่กลัวทำให้คนอื่นตกใจหรือ
“เอ๊ะ ใบหน้าเฉียวโม่หายดีดังเดิมแล้วหรือ” หลังถามไถ่เว่ยอู๋เสีย ฮ่องเต้หมิงคังหลากใจอยู่สักหน่อย
ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาไม่ต้องเป็นห่วงว่าวันหลังเห็นแล้วจะขัดนัยน์ตา
ฮ่องเต้หมิงคังคิดๆ แล้วใช้พู่กันจุ่มหมึกแดงกาเครื่องหมายวงกลมบนม้วนข้อสอบของเฉียวโม่
ถึงอย่างไรต้องเลือกใครสักคน เช่นนั้นตัดสินให้เฉียวโม่เป็นจ้วงหยวนบัณฑิตเอกอันดับหนึ่งก็แล้วกัน ท่านปู่ของเขาเป็นจอมปราชญ์ หลานชายได้เป็นจ้วงหยวนก็ชอบด้วยประการทั้งปวง คนใต้หล้าต้องเห็นว่าเขาผู้เป็นฮ่องเต้มีสายตาแหลมคมเป็นแน่
เมื่อตัดสินใจเลือกจ้วงหยวนได้แล้ว ฮ่องเต้หมิงคังสิ้นเปลืองสมองอีกน้อยนิดเท่าขี้เล็บในการเลือกคนที่ได้เป็นปั่งเหยี่ยนกับทั่นฮวาตามลำดับ จากนั้นตะโกนบอก
“เว่ยอู๋เสีย หยิบเหรียญทองแดงมาเหรียญหนึ่ง”
มุมปากของเว่ยอู๋เสียกระตุกริก “ฝ่าบาท…” พระองค์จะพึ่งเหรียญทองแดงแบบนี้ไม่ดีกระมัง
“หือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียยื่นเหรียญทองแดงส่งให้ด้วยสองมือ
ฮ่องเต้หมิงคังเอาม้วนข้อสอบเจ็ดฉบับที่เหลือวางเรียงเป็นวงกลมแล้วหมุนเหรียญทองแดงตรงกลางวง
อืม…รอเหรียญหยุดหมุนแล้ว หากเหรียญด้านที่สลักคำว่า ‘ทอง’ จากคำว่า ‘ร่ำรวยเงินทอง’ ตรงกับม้วนข้อสอบฉบับไหนก็ตัดสินให้เป็นอันดับสี่
ฮ่องเต้หมิงคังเลือกผู้ได้อันดับที่สี่ถึงสิบโดยใช้เหรียญทองแดงช่วยตัดสินได้อย่างว่องไวแล้วสั่งให้เว่ยอู๋เสียส่งออกไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้หมิงคังต้องตื่นบรรทมเร็วกว่าปกติครึ่งชั่วยาม เขาไม่สบอารมณ์ด้วยเหตุนี้เป็นอันมาก
เพราะ ‘การประกาศรายชื่อบัณฑิตเอก’ หน้าพระที่นั่งซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สามปีนี้ เป็นต้นเหตุให้ต้องตื่นแต่เช้าฝึกวิปัสสนาเช้าก่อนเวลา ช่างน่าหงุดหงิดใจจริงๆ
บัณฑิตทั้งสิบคนบ้างประหม่าบ้างตื่นเต้นที่ได้พบพระพักตร์โอรสสวรรค์ในที่สุด
ฮ่องเต้หมิงคังมองเห็นเฉียวโม่ในหมู่บัณฑิตอย่างรวดเร็วแล้วพยักหน้ากับตนเอง
รูปลักษณ์โดดเด่นยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก ฉะนั้นไม่ต้องเปลี่ยนแปลงการจัดอันดับอีกแล้ว
หากการจัดอันดับหลังการประกาศรายชื่อบัณฑิตเอกไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก ถึงจะเขียนลงบนแผ่นประกาศผลการสอบขุนนางอย่างเป็นทางการ จากนั้นจะนำไปติดประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน
เจ้าหน้าที่ทางการตีฆ้องร้องป่าวมาแจ้งข่าวดีที่จวนกวนจวินโหว ดึงดูดความสนใจของผู้คนให้มายื้อแย่งกันชมดูนับไม่ถ้วน ชั่วประเดี๋ยวเดียวข่าวคุณชายสกุลเฉียวได้เป็นจ้วงหยวนก็แพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอย
แต่ไม่จบเพียงเท่านี้ บัณฑิตจิ้นซื่อของปีนี้ซึ่งนำโดยเฉียวโม่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ อีกทั้งบัณฑิตจ้วงหยวนคนใหม่ยังต้องเป็นผู้นำการเซ่นไหว้บวงสรวงที่ศาลบูชามหาปราชญ์ข่งจื่อ* และตั้งป้ายสดุดีในสำนักศึกษาหลวง จึงเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการทั้งหมด
แต่ไรมาบัณฑิตที่สอบรับราชการรุ่นเดียวกันจะรู้สึกผูกพันกันฉันพี่น้อง สำหรับบัณฑิตจิ้นซื่อทั้งหลายที่กำลังจะก้าวเข้าสู่เส้นทางขุนนางแล้ว พวกพ้องเพื่อนฝูงในวงสมาคมนี้มีความหมายไม่สามัญเลยทีเดียว และผู้ที่เป็นจ้วงหยวนย่อมกลายเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้ไปโดยปริยาย
แน่นอนว่าชื่อเสียงเกียรติยศในตอนนี้จะลดน้อยถอยลงไปตามความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของแต่ละคนหลังจากเข้าสู่ราชสำนัก กระนั้นถ้าผู้เป็นจ้วงหยวนก้าวหน้าไปได้ไกล เช่นนั้นก็จะมีอิทธิพลสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อขุนนางร่วมรุ่นกลุ่มนี้
เฉียวโม่รู้ในจุดนี้อย่างถ่องแท้ หลังได้รับตำแหน่งเป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต เขาให้ความเคารพต่อผู้บังคับบัญชาและผูกมิตรกับสหายร่วมสำนัก อีกทั้งปฏิบัติงานในหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ในชั่วเวลาเพียงสั้นๆ ก็ได้รับคำชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันจากคนทั่วทั้งสำนักราชบัณฑิต
คนที่ชมเชยเฉียวโม่ยังรวมไปถึงหลีกวงเหวิน
“เฉียวโม่เจ้าเด็กรุ่นหลังผู้นั้นไม่เลวจริงๆ ทุกคราที่เดินหมากกับข้าไม่มีท่าทางขอไปทีสักน้อยนิด ทั้งยังทำงานได้คล่องแคล่วว่องไว ไม่เหมือนเจ้าพวกไร้หัวคิดที่ใช้ชีวิตไปวันๆ เหล่านั้น” หลีกวงเหวินซึ่งหนีงานกลับเรือนแต่มิได้กลับไปที่จวน เขามาที่เรือนหลังติดกันกินกระเพาะหมูผัดพริกหวานฝีมือว่าที่ลูกเขยพร้อมกับร่ำสุราพลางกล่าวติชม
“ใช่ขอรับ พี่เฉียวโม่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ” เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้มมองเฉียวเจาที่นั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้านข้าง พูดเออออคล้อยตาม
หลีกวงเหวินดื่มสุราคำหนึ่ง หรี่ตาลงครึ่งหนึ่งเหล่มองชายหนุ่ม เขามองไปโคลงศีรษะไป “น่าเสียดายๆ”
เซ่าหมิงยวนได้ยินคำว่า ‘น่าเสียดาย’ ซ้ำๆ ก็ไต่ถามขึ้นอย่างอดใจไม่อยู่ในที่สุด “ที่ท่านพ่อตากล่าวว่าน่าเสียดายเป็นความหมายใดกัน หรือว่าของแกล้มสุราไม่ถูกปากขอรับ”
“น่าเสียดายที่ข้ามีเจาเจาเป็นบุตรสาวที่ยังไม่ออกเรือนคนเดียวน่ะสิ เด็กรุ่นหลังที่ดีเด่นอย่างเฉียวโม่นั่น เฮ้อ…” หลีกวงเหวินดื่มสุราไปกาหนึ่งชักเริ่มมึนเมา ก็เก็บคำพูดในใจไว้ไม่อยู่แล้ว
เซ่าหมิงยวนตกใจจนเหงื่อกาฬแตกพลั่ก
นี่ท่านพ่อตาหมายความว่าอะไร!
ศัตรูหัวใจมีอยู่ตั้งหลายคนแล้ว หรือว่าต้องนับรวมพี่เฉียวโม่ด้วย
เฉียวเจามีสีหน้ากระอักกระอ่วน นางยื่นมือไปดึงกาสุราในมือบิดาแล้วพูดดุ “ท่านพ่อ ท่านดื่มมากไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนถูๆ แก้มอย่างคับอกคับใจ
ก็เพราะท่านพ่อตาดื่มสุราไปมากน่ะสิถึงพูดความจริงออกมาด้วยความเมา
“ข้าดื่มมากไปหรือ เปล่า ข้าแค่ชอบพูดเรื่องจริง คืนกาสุราให้ข้าเร็วเข้า” หลีกวงเหวินสะอึกทีหนึ่ง ดวงตาเขาฉ่ำปรือด้วยฤทธิ์สุรา
เฉียวเจาส่งเสียงไอสองทีแล้วพยุงบิดาลุกขึ้น “ถิงเฉวียน ข้าจะกลับพร้อมกับท่านพ่อก่อนนะ”
ท่านพ่อที่เคารพเป็นคนเถรตรงเช่นนี้ นางก็จนใจมากเหมือนกัน
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเงียบๆ
แสลงใจอยู่สักหน่อย ไม่อยากพูดจาแล้ว
มือข้างหนึ่งยื่นมากุมมือเขาแน่นๆ พร้อมเสียงกระซิบของเด็กสาวดังขึ้น “ประเดี๋ยวข้าค่อยมาอีกทีนะ”
สีหน้าหม่นหมองของคนบางคนเปลี่ยนเป็นเบิกบานแจ่มใสละม้ายฟ้าหลังฝนทันที
อย่างไรข้าก็ต้องได้แต่งงานกับเจาเจา ปล่อยให้ท่านพ่อตาเสียดายไปเถอะ
พริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนเจ็ด อากาศเริ่มร้อนระอุ ต้นไม้ใบหญ้าเป็นสีเขียวซีดๆ ไร้ชีวิตชีวา เสียงจักจั่นร้องดังระงมชวนให้หงุดหงิดใจ
มู่อ๋องย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องหนังสือหลายรอบก็ยกเท้าถีบเก้าอี้ตัวหนึ่งล้มลง
ที่ปรึกษาก้มกายลงจับเก้าอี้ตั้งขึ้นแล้วพูดปลอบ “ท่านอ๋องอย่าร้อนพระทัย…”
“ไม่ให้ร้อนใจหรือ ข้าจะไม่ร้อนใจได้เช่นไร ตอนแรกส่งคนไปกำจัดเด็กในครรภ์ของอนุเจ้าห้า ปรากฏว่าลงมือหลายครั้งก็ไม่สำเร็จ กลับทำให้เจ้าห้าไหวตัวทันอีก ตอนนี้อนุผู้นั้นครรภ์แก่แล้วก็ยิ่งลงมือได้ยากขึ้น”
“ท่านอ๋องพระทัยเย็นๆ ไว้ก่อน พวกเรามีไม้ตายที่ยังไม่ได้งัดออกมาใช้พ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องนั่งลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เขาหรี่ตาลงเอ่ย “หากไม่ได้ผลอีก เจ้าเศษสวะพวกนั้นก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
ยามบ่ายอันสุขสงบ ภายในวังรุ่ยอ๋องนอกจากเสียงจักจั่นดังน่ารำคาญแล้วทั่วทั้งบริเวณเงียบเชียบ
ทันใดนั้นมีเสียงร้องอุทานลั่นดังก้องวังอ๋อง “แย่แล้ว มากันเร็วเข้า อี๋เหนียงหกล้มแล้ว…”
รุ่ยอ๋องซึ่งพักผ่อนอยู่ในเรือนของหลีเจี่ยววิ่งทะยานออกมาราวกับเหาะเลยทีเดียว เขาทำหน้าเสียกล่าวถามขึ้นว่า “ใครหกล้ม!”
พวกสาวใช้คุกเข่าเรียงรายกันเต็มพื้น กล่าวตอบตัวสั่นงันงก “เจี่ยวอี๋เหนียงกลิ้งตกลงมาจากบันได…”
“บัดซบ! ถ้าเจี่ยวอี๋เหนียงเป็นอะไรไป ข้าจะให้พวกเจ้าชดใช้ด้วยชีวิต” รุ่ยอ๋องผู้อ่อนโยนนุ่มนวลเป็นนิจเงื้อเท้าถีบสาวใช้คนที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดเต็มแรงแล้วรีบรุดไปดู
“เจี่ยวเหนียง เจ้าไม่เป็นไรนะ”
หลีเจี่ยวยังมีสติอยู่ นางกุมท้องอย่างเจ็บปวด “ท่านอ๋อง หม่อมฉันเจ็บท้องเหลือเกิน…”
รุ่ยอ๋องไล่สายตาลงมองต่ำลงตามสัญชาตญาณ เห็นรอยสีแดงเข้มปื้นหนึ่งตรงชายกระโปรงสีอ่อนของนาง
“เลือด!” รุ่ยอ๋องตัวเซวูบ เขารีบตะโกนบอก “ตามหมอประจำวังอ๋องมาเดี๋ยวนี้”
ผ่านไปไม่นานนัก หมอใหญ่ประจำวังอ๋องก้าวออกจากห้องของหลีเจี่ยวแล้วส่ายหน้ากับรุ่ยอ๋องอย่างหนักใจ
รุ่ยอ๋องแทบล้มทั้งยืน เขาแผดเสียงดังลั่น “หมอหลวงเล่า หมอหลวงที่ให้ไปตามยังมาไม่ถึงอีกหรือ”
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องถอยออกไปด้านข้างก้มหน้าไม่กล่าววาจา
สาวใช้นางหนึ่งวิ่งออกมาจากในห้อง “ท่านอ๋อง อี๋เหนียง อี๋เหนียงทูลเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเพคะ”
รุ่ยอ๋องสาวเท้าเข้าห้องไปทันที เขาย่อกายลงข้างเตียงกุมมือนางไว้ “เจี่ยวเหนียง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าต้องแข็งใจไว้นะ อีกประเดี๋ยวหมอหลวงก็มาแล้ว”
หลีเจี่ยวส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง นางรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีกุมมือเขาตอบ “ท่านอ๋อง ตาม…ตามน้องเจาของหม่อมฉันมา…นางเป็นลูกศิษย์ของหมอเทวดาหลี่ ยามนี้มีแต่นางเท่านั้นถึงจะช่วยลูกของพวกเราไว้ได้…”