หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 731
บทที่ 731
ใบหน้าของหลีเจี่ยวซีดเผือด คราบโลหิตที่ชายกระโปรงแผ่กระจายออกช้าๆ นางอ่อนระโหยโรยแรงเต็มที่ราวกับผีเสื้อปีกหัก แต่ยังเค้นแรงจับมือรุ่ยอ๋องแน่นๆ พลางพูดเร่ง “ท่านอ๋อง ขืนไม่ตามน้องเจาของข้ามาอีกก็จะไม่ทันการณ์แล้ว…”
“แต่นางจะช่วยลูกของเราไว้ได้จริงๆ หรือ”
“ท่านอ๋อง หมอเทวดาหลี่เป็นดั่งเทพเซียนเดินดินที่ชุบชีวิตคนตายได้ บัดนี้เขาจากไปแล้ว เหลือผู้สืบทอดวิชาของเขาเพียงคนเดียวคือน้องเจาของข้านะเพคะ” หลีเจี่ยวยิ่งพูดยิ่งกินแรงขึ้นทุกที นางพูดจบแล้วหลับตาลงอย่างเจ็บปวดทรมานจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด
รุ่ยอ๋องฉุกคิดถึงตอนที่องค์หญิงเจินเจินเป็นฝีประหลาดบนใบหน้าขึ้นได้กะทันหัน ก็เป็นคุณหนูสามสกุลหลีที่ออกทะเลเสาะหาสมุนไพรมารักษาจนหายดี
หมอใหญ่ประจำวังอ๋องของเขาเดิมก็เป็นคนของสำนักแพทย์หลวง วิชาแพทย์ไม่ด้อยไปกว่าพวกหมอหลวง ตอนนี้เขาวินิจฉัยว่าหมดหวัง อันที่จริงการเชิญหมอหลวงมาก็แค่ต้องการปลอบใจตนเองเท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ตอนนี้คนที่จะรักษาทายาทของเขาไว้ได้มีเพียงคุณหนูสามสกุลหลีแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ รุ่ยอ๋องลุกพรวดขึ้น “เจี่ยวเหนียง ข้าจะส่งคนไปเชิญน้องเจาของเจ้ามาเดี๋ยวนี้เลย”
หลีเจี่ยวฝืนลืมตาขึ้น แพขนตามีเม็ดน้ำตาใสกระจ่างเกาะอยู่ “ท่านอ๋อง ครั้งก่อนๆ ไปเชิญนาง นางล้วนไม่ยอมมา…”
รุ่ยอ๋องทำหน้าขรึมลง เขากล่าวเน้นเสียงหนักทีละคำ “ข้าไปเชิญเอง!”
เสียงฝีเท้าของรุ่ยอ๋องห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หลีเจี่ยวขบริมฝีปากหลับตาลงซ่อนแววสิ้นหวังในนั้นไว้
เพราะเหตุใดนางถึงเคราะห์ร้ายเฉกนี้ ทั้งที่ระมัดระวังตัวแล้ว วันๆ ต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน หวาดหวั่นสุดใจว่าจะถูกคนอื่นแอบปองร้าย ใครจะรู้ว่ายังคงพบกับผลลัพธ์อย่างนี้อยู่ดี
เด็กผู้นี้ต้องรักษาไว้ให้ได้ กระนั้นนางรับรู้ได้ว่าชีวิตน้อยๆ ในอุทรของนางกำลังจากไปอย่างช้าๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้หลีซานเคราะห์ร้ายไปพร้อมกับนางก็แล้วกัน
นางไม่เต็มใจยอมรับ มันเรื่องอะไรที่บุตรสาวของภรรยาเอกอย่างนางไม่ราบรื่นสมหวังสักอย่าง แต่บุตรสาวอนุต่ำต้อยผู้หนึ่งกลับมีชีวิตที่โรยด้วยกลีบดอกไม้
เป็นภรรยาของกวนจวินโหวแล้วมีอันใด หลีซานมาแล้วช่วยลูกของนางไว้ไม่ได้ ท่านอ๋องต้องผูกใจเจ็บ รอวันหน้าเขาก้าวขึ้นครองบัลลังก์ต้องคิดบัญชีนี้สักวัน
“โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน…” หลีเจี่ยวเจ็บปวดจนไม่มีแก่ใจคิดต่ออีก นางกุมท้องร้องครวญครางอยู่บนเตียง
ที่จวนสกุลหลี ยามฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพบกับรุ่ยอ๋องในโถงรับรอง สีหน้าของนางเป็นปกติ แต่ในใจฉงนงุนงงไปหมด
ท่านอ๋องผู้ทรงเกียรติมาจวนสกุลหลีทำอะไร
เมื่อรุ่ยอ๋องบอกกล่าวจุดประสงค์ที่มา หญิงชราหน้าเปลี่ยนสีไปทันใด
ไม่ว่านางจะผิดหวังในตัวหลานสาวคนโตเพียงใด นางก็เห็นเด็กผู้นั้นมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ความสัมพันธ์ระหว่างย่ากับหลานจะอย่างไรก็ตัดไม่ขาด
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตรึกตรองครู่เดียวก็สั่งชิงอวิ๋นไปเชิญเฉียวเจามาโดยไม่รอช้า
ชิงอวิ๋นไปถึงเรือนซ้ายของเรือนหยาเหออย่างเร่งรีบ พอนางบอกความจบ ปิงลวี่อดเบะปากไม่ได้ “เกิดปัญหากับเด็กในครรภ์ไม่เชิญหมอกลับมาหาคุณหนูสามของข้าด้วยเหตุใด พิลึกคนจริงๆ”
เฉียวเจาชายตามองสาวใช้น้อยแวบหนึ่งเป็นเชิงปรามนางไม่ให้พูดมาก จากนั้นเอ่ยสั่งอาจู “ไปหยิบหีบยาของข้ามา”
ตอนออกจากเรือน ปิงลวี่แอบดึงแขนเสื้อของผู้เป็นนายอย่างอดใจไม่อยู่ “คุณหนู ท่านจะไปวังอ๋องจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ” เฉียวเจาเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
รุ่ยอ๋องมาเชิญเอง อีกทั้งเกี่ยวพันถึงชีวิตคน ขืนนางตั้งแง่ไม่ไปอีกคงต้องโดนรุ่ยอ๋องอาฆาตไปตลอดชาติ
ถึงนางไม่คิดถึงตนเอง ก็ต้องคำนึงถึงเซ่าหมิงยวนกับสกุลหลี
ยามนางหิ้วหีบยาไปถึงวังรุ่ยอ๋อง หมอหลวงตรวจอาการให้หลีเจี่ยวแล้วลงความเห็นเดียวกับหมอใหญ่ประจำวังอ๋อง
“ท่านอ๋อง นี่…”
พอเห็นเฉียวเจาก้าวเท้าฉับๆ เข้าไปในห้องที่หลีเจี่ยวอยู่ หมอหลวงก็อึ้งงันไป
“ลำบากท่านหมอหลวงแล้ว ไปดื่มชาก่อนเถอะ” เวลาอยู่ต่อหน้าคนนอกรุ่ยอ๋องจะสุภาพเป็นมิตร ดูเป็นคนอารมณ์เย็นเสมอ
“ท่านอ๋องทรงเชิญคุณหนูสามสกุลหลีมาตรวจรักษาหรือพ่ะย่ะค่ะ ทรงอนุญาตให้กระหม่อมทูลตามตรง อาการของอี๋เหนียงนั้น…” หมอหลวงมิได้กล่าวถ้อยคำหลังต่อจนจบ ในใจเขาไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง
หลังจากเขาตรวจวินิจฉัยอาการแล้วยังเรียกแม่เด็กน้อยผู้หนึ่งมาอีก แบบนี้มันหยามน้ำหน้ากันชัดๆ
จังหวะนี้เองหมอใหญ่ประจำวังอ๋องปริปากพูดขึ้น “ไม่แน่ว่าคุณหนูสามสกุลหลีอาจมีวิชาแพทย์สูงส่งสามารถรักษาได้”
เขาเคยเห็นหมอเทวดาหลี่รักษาท่านอ๋องที่ร่างกายทรุดโทรมดั่งซากไม้แห้งแต่เดิมให้กลับมาเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตอีกครา อย่าว่าแต่ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากหมอเทวดาหลี่โดยตรง เพียงได้รับคำชี้แนะจากท่านล้วนเป็นบุญวาสนาที่ผู้เป็นหมอต่างใฝ่ฝันถึง เขาเชื่อว่าคนที่หมอเทวดาหลี่ให้ความสำคัญต้องไม่ธรรมดาสามัญ ต่อให้เป็นเพียงเด็กสาวเยาว์วัยผู้หนึ่ง
“วิชาแพทย์สูงส่ง?” หมอหลวงปรายตามองหมอใหญ่ประจำวังหลวงปราดหนึ่งแล้วอดยิ้มเยาะไม่ได้ “เช่นนั้นข้าจะรอดู”
นับแต่คนผู้นี้ออกจากสำนักแพทย์หลวงมาเป็นหมอใหญ่ประจำวังอ๋องก็พูดจาไม่รู้เรื่องมากขึ้นทุกที เขากลับอยากดูนักว่าอีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายจะอับอายขายหน้าเช่นไร
เฉียวเจาพาอาจูกับปิงลวี่ก้าวเข้าไปในห้องก็ได้กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง
หลีเจี่ยวนอนอยู่บนเตียง ใบหน้านางปราศจากสีเลือด เรือนผมสยายรุ่ยร่ายเปียกเหงื่อจนจับตัวเป็นกระจุกๆ แลดูน่าเวทนาเหลือทน
เมื่อเฉียวเจาเดินเข้าไป นางก็ลืมตาพรึบ แววหลากใจจุดวาบขึ้นในดวงตาคู่นั้น “เจ้า…เจ้ามาแล้ว…”
“พี่เจี่ยวอย่าเพิ่งพูดอะไร ข้าจะห้ามเลือดให้ท่านก่อน ปิงลวี่ เชิญคนอื่นออกไปให้หมด”
คนผู้นี้คิดเล่นงานตนเองมาโดยตลอด เฉียวเจาไม่อยากได้ยินเสียงของนางจริงๆ หากหงุดหงิดใจขึ้นมาแล้วฝังเข็มผิดไปจะทำอย่างไร
“ไม่ได้ยินที่คุณหนูข้าบอกหรือ รีบออกไปสิ” ยามปิงลวี่ไล่คน ไม่เคยอ้อมค้อมเพื่อรักษามารยาทแต่อย่างใด
คนในห้องต่างโกรธเคืองไปตามๆ กัน
นายบ่าวสามคนนี้โอหังเกินไปแล้ว พอเข้ามาก็จะไล่พวกนางออกไปเลยรึ พวกนางต่างหากที่เป็นคนของวังอ๋อง
พอเห็นพวกนางนิ่งเฉย ปิงลวี่ก็ชะโงกหน้าออกไปตะโกนบอก “ท่านอ๋อง วิชาแพทย์ของคุณหนูหม่อมฉันถ่ายทอดให้คนนอกมิได้ ตอนนี้เชิญคนในห้องออกไปก็ไม่มีคนขยับตัวเลยเพคะ!”
เส้นเอ็นตรงขมับของรุ่ยอ๋องปูดโปน “ไสหัวออกมาให้หมด! ถ้าอี๋เหนียงมีอันเป็นไป พวกเจ้าอยากเป็นศพถูกฝังไปพร้อมกันใช่หรือไม่”
เมื่อเห็นคนในห้องเดินหน้าม่อยคอตกออกไป ปิงลวี่ก็เบ้ปากปิดประตูดังปัง
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ปิงลวี่เปิดประตู อาจูประคองเฉียวเจาเดินออกมา
รุ่ยอ๋องปรี่เข้าไป “คุณหนูสาม เป็นอย่างไรบ้าง”
“ตอนนี้อาการทรงตัวแล้ว คนป่วยไม่มีเลือดออกจำนวนมากอีก แต่ยังต้องกินยารักษาครรภ์ไว้ ท่านอ๋องทรงให้คนพาสาวใช้ของหม่อมฉันไปเขียนใบสั่งยาเถอะ หม่อมฉันบอกตำรับยาไว้กับนางแล้วเพคะ”
สีหน้าของรุ่ยอ๋องฉายแววยินดีเจียนคลั่ง “เด็กในครรภ์ปลอดภัยแล้วจริงๆ หรือ”
สำหรับเขาแล้วสตรีช่างเอาใจมีมากมายเกลื่อนกล่น แต่ผู้สืบสกุลมีเพียงหนึ่งเดียวนี้ ขอแค่รักษาบุตรผู้นี้ไว้ได้ จะต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงเพียงไหน เขาก็ยอมทั้งนั้น
เฉียวเจาผงกศีรษะเบาๆ
รุ่ยอ๋องไม่มีแก่ใจกล่าวอะไรอีก เขาก้าวขาจะเดินไปข้างใน
ทว่าเฉียวเจาเอ่ยเตือนขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทางที่ดีท่านอ๋องทรงให้นางพักผ่อนมากๆ จะดีกว่าเพคะ”
“ข้ารู้ๆ ข้าแค่เข้าไปดูนิดเดียว”
เฉียวเจามองตามแผ่นหลังเขาไปแล้วพลันเหยียดมุมปากโค้งขึ้น “ท่านอ๋อง ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากทูลให้พระองค์ทราบเพคะ”
“เจ้าว่ามาสิ” ความรู้สึกที่เหมือนตกนรกแล้วได้กลับมาโลกมนุษย์ในชั่วอึดใจ ส่งผลให้รุ่ยอ๋องมีท่าทีสุภาพอ่อนโยนต่อเฉียวเจาสุดจะเปรียบ
“ระหว่างทางตอนข้ามาที่นี่เมื่อครู่นี้ได้พบกับสตรีสองนาง พินิจจากการแต่งกายน่าจะเป็นอนุของพระองค์ หม่อมฉันสังเกตสีหน้าและท่าเดิน หนึ่งในนั้นดูเหมือนจะตั้งครรภ์แล้วเช่นกันเพคะ”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “ไม่ได้จับชีพจร หาได้มั่นใจเต็มสิบส่วนไม่เพคะ”
อันว่าไม่สนองคืนย่อมเป็นการเสียมารยาท ในเมื่อหลีเจี่ยวคิดเล่นงานนางทุกวิถีทาง เช่นนั้นนางบอกเรื่องมงคลให้ทุกคนได้ดีอกดีใจสักนิดก็แล้วกัน