หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 732
บทที่ 732
“นี่เป็นไปไม่ได้!” รุ่ยอ๋องยังตั้งตัวไม่ติด หมอหลวงส่งเสียงพูดขึ้น ดึงดูดสายตาของทุกคนไปทันควัน
หมอหลวงหน้าตาแดงก่ำด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านมาก “ยังไม่เอ่ยถึงว่าอาการของอี๋เหนียงอย่างนั้นจะรักษาเด็กในครรภ์ไว้ได้หรือไม่ คุณหนูหลี มิทราบว่าท่านอาศัยการมองแวบหนึ่งก็วินิจฉัยว่าสตรีมีครรภ์ได้เช่นไร”
เฉียวเจามิได้ไม่พึงใจเพราะความแคลงใจของหมอหลวง นางจึงย้อนถามเสียงเอื่อยๆ “มอง ฟัง ถาม และจับชีพจรเป็นหลักพื้นฐานของการรักษาโรค ท่านหมอหลวงลืมคำกล่าวนี้ไปแล้วหรือ มองดูรู้อาการ พินิจสีหน้าทั้งห้า วินิจฉัยโรคได้”
หมอหลวงแค่นหัวร่อเสียงหนึ่ง “ดูสีหน้าบอกโรคได้เรียกหมอเทวดา ฟังลมหายใจบอกโรคได้เรียกหมอผู้วิเศษ ถามอาการบอกโรคได้เรียกหมอยอดฝีมือ จับชีพจรบอกโรคได้เรียกหมอฝีมือดี คุณหนูหลีจะบอกว่าวิชาแพทย์ของตนบรรลุถึงขั้นหมอเทวดาแล้วหรือ”
แม่เด็กน้อยเมื่อวานซืนผู้หนึ่งถึงกับกล้าโต้เถียงกับเขา เขาย่อมต้องรู้ว่าแพทย์ที่มีฝีมือสูงส่งอาศัยแค่ ‘มอง’ ก็วินิจฉัยโรคของคนป่วยได้ แต่เด็กสาวอย่างนางบรรลุถึงขั้นนี้แล้วหรือ ต่อให้นางเริ่มเรียนวิชาแพทย์ตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาก็เป็นไปไม่ได้!
รุ่ยอ๋องใจเต้นแรงแทบกระดอนออกมานอกอก เขาไม่มีแก่ใจเข้าไปดูหลีเจี่ยว จึงออกคำสั่งทันที “ไปพา…”
ครั้นนิ่งคิดแล้วไม่รู้ว่าเฉียวเจาพบกับอนุคนไหน เขาก็กล่าวอย่างเฉียบขาด “ไปเรียกอนุทั้งหมดมาให้คุณหนูหลีตรวจดูที่นี่”
สีหน้าของหมอหลวงนิ่งขึงไป ดูจากท่าทางนี้ของท่านอ๋อง เห็นชัดว่าไม่ได้ฟังคำพูดเขาเข้าหูเลย
ช่างเถอะ อีกฝ่ายจะอย่างไรก็เป็นถึงท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หมอหลวงเล็กๆ ผู้หนึ่งเช่นเขาสงบปากสงบคำไว้แล้วคอยดูเรื่องตลกขบขันจะดีกว่า
“คุณหนูสาม วันนี้ต้องรบกวนท่านด้วย” รุ่ยอ๋องกล่าวขอบคุณนาง
“แค่ตรวจดูเท่านั้น ไม่ถือเป็นการรบกวนเพคะ” ถึงเวลานี้แล้ว เฉียวเจาย่อมไม่บอกปัดเป็นธรรมดา
ผ่านไปไม่นานนัก อนุทั้งหมดในวังอ๋องก็ถูกเชิญมาที่เรือนติดกัน ภายในลานโถงเนืองแน่นไปด้วยสตรีละลานตา
รุ่ยอ๋องไปเป็นเพื่อนเฉียวเจาด้วยตนเอง นางมองดูหมู่คนที่ยืนเรียงรายกันเต็มพรืดแล้วสำลักกลิ่นเครื่องหอมแทบเป็นลม จึงอดมิได้ที่จะชายตามองท่านอ๋องปราดหนึ่ง
รุ่ยอ๋องลูบๆ จมูกอย่างกระดากใจ อยากจะแก้ตัวว่าเขามิใช่พวกมากตัณหา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อผู้สืบสกุลเท่านั้น แต่พอคิดถึงว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือนเลยได้แต่กลืนถ้อยคำเหล่านี้กลับลงไปเงียบๆ
“ตอนนั้นคุณหนูสามพบกับคนไหนหรือ”
เฉียวเจากวาดตามองผ่านสตรีทั้งกลุ่มอย่างช้าๆ ก่อนหยุดสายตาที่จุดจุดหนึ่ง “คนที่สวมกระโปรงสีทับทิมทางด้านขวาเพคะ”
“เชี่ยนเหนียง เจ้ามานี่” รุ่ยอ๋องอ้าปากเรียก
สตรีที่ถูกขานชื่อมีท่าทางทำอะไรไม่ถูก นางเดินมาถึงตรงหน้าแล้วแสดงคารวะอย่างหวาดหวั่นใจ “ถวายคำนับท่านอ๋อง คารวะ…”
นางเงยหน้ามองเฉียวเจาแวบหนึ่งอย่างฉับไว แต่ไม่รู้ว่าจะเรียกขานอย่างไร ด้วยเหตุนี้นางก้มศีรษะย่อเข่าอยู่เงียบๆ
ในบรรดาอนุมากมาย รุ่ยอ๋องพอจะจำหน้าสตรีนามเชี่ยนเหนียงผู้นี้ได้บ้าง
อนุสิบกว่าคนรวมถึงเชี่ยนเหนียงล้วนเป็นคนที่เพิ่งเข้าวังมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน รูปโฉมอยู่ในชั้นใดไม่สำคัญ ที่สำคัญต้องมีบุตรง่าย
เชี่ยนเหนียงตรงหน้าผู้นี้ก็คัดเลือกมาตามเกณฑ์นี้ ใบหน้ากลมเหมือนขนมไหว้พระจันทร์ สะโพกผายทัดเทียมแผ่นหินโม่แป้ง ผิวกายที่โผล่พ้นอาภรณ์ออกคล้ำๆ ดูหยาบกร้าน
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ อย่างห้ามไม่อยู่ สารรูปเฉกนี้ยังเข้าวังอ๋องเป็นอนุได้ ตอนคุณหนูใหญ่กลับจวนไปครั้งนั้นลำพองใจอะไรกันแน่
“เชิญยื่นมือออกมา”
เชี่ยนเหนียงได้ยินเฉียวเจากล่าวคำนี้แล้วอดมองรุ่ยอ๋องไม่ได้
รุ่ยอ๋องทำหน้าขรึมลง “คุณหนูสามให้เจ้าทำอะไรก็ทำไปตามนั้นสิ!”
เชี่ยนเหนียงรีบยื่นมือออกไปทันที
ปลายนิ้วเย็นน้อยๆ วางลงบนข้อมือของเชี่ยนเหนียง นิ้วมือเรียวงามดุจลำเทียนของเด็กสาวขาวผ่องนวลเนียนตัดกับผิวกายของนางอย่างเด่นชัด ส่งผลให้นางหดมือกลับโดยไม่รู้ตัว
“อย่าขยับ” เฉียวเจากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ครู่เดียวก็ยกนิ้วออกจากข้อมือของเชี่ยนเหนียง
“เป็นอย่างไร” รุ่ยอ๋องถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
อนุทั้งหลายล้วนจับต้นชนปลายไม่ถูก พวกนางเริ่มคุยกระซิบกระซาบกัน
“ตกลงเป็นเรื่องอะไรกันแน่ เพราะอะไรเรียกเชี่ยนเหนียงออกไปตรวจชีพจร”
“ไม่รู้สิ รอดูไปเถอะ ข้ารู้สึกไม่วายว่าวันนี้ท่านอ๋องทรงต่างไปจากเดิมอยู่สักหน่อย”
เฉียวเจาพยักหน้านิดหนึ่ง “ขอแสดงความยินดีต่อท่านอ๋องด้วยเพคะ เป็นชีพจรตั้งครรภ์จริงๆ”
“นางมีครรภ์แล้วจริงๆ หรือ” รุ่ยอ๋องยินดีจนออกนอกหน้า
“ท่านอ๋องทรงขอให้หมอหลวงตรวจซ้ำอีกทีได้เพคะ”
รุ่ยอ๋องพยักหน้าหงึกหงัก “ได้ๆ ตรวจซ้ำอีกทีๆ”
อนุทั้งหลายนิ่งอึ้งไปตามๆ กัน
เชี่ยนเหนียงมีครรภ์แล้วหรือ นี่เป็นไปไม่ได้ นางขี้เหร่ปานนั้น ท่านอ๋องเคยไปหานางครั้งเดียวก็ตั้งครรภ์ได้แล้วหรือนี่
ต้องเป็นเด็กสาวผู้นี้อยากประจบเอาใจท่านอ๋องถึงพูดจาส่งเดชเป็นแน่!
หมอหลวงถูกเชิญเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาทำสีหน้าสับสนแกมกระดากกระเดื่องยามกล่าวยืนยันว่าเชี่ยนเหนียงตั้งครรภ์จริงๆ
รุ่ยอ๋องดีใจอย่างสุดระงับแล้ว “คุณหนูสาม รบกวนท่านช่วยตรวจพวกนางทุกคนเถอะ”
เฉียวเจาอิดเอื้อน “จำนวนคนค่อนข้างมาก...”
“ทั้งสามท่านตรวจพร้อมกันเลย พวกเจ้าแบ่งกลุ่มยืนเป็นสามแถว”
บรรดาอนุรีบยืนเข้าแถวตามคำสั่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น
หลังจากจับชีพจรไปทีละคนจนหมด ในแถวของเฉียวเจายังตรวจเจออนุมีครรภ์อีกสองคน ขณะที่อีกสองแถวกลับไม่พบสักคน
ด้านรุ่ยอ๋องนั้นดีใจจนเนื้อเต้น เขามองเฉียวเจาด้วยสายตาที่คล้ายอยากเก็บตัวเอาไว้ให้คอยจับชีพจรพวกอนุของเขาในวันหลังใจจะขาด
“คุณหนูสามคงเหน็ดเหนื่อยแล้ว ข้าไปส่งท่านที่โถงรับรองนะ”
พอได้ยินรุ่ยอ๋องกล่าวเช่นนี้ พวกอนุในแถวอื่นพากันร่ำร้อง “ท่านอ๋อง ขอให้คุณหนูสามตรวจพวกหม่อมฉันบ้างเถอะเพคะ”
ไร้เหตุผลนัก ทีแถวของคุณหนูสามมีสองคนที่ตั้งครรภ์ แต่ของพวกนางสองแถวนี้ไม่มีเลยสักคนเดียว
ทายาทผู้สืบสกุลมียิ่งมากยิ่งดีเป็นธรรมดา รุ่ยอ๋องจึงมองเฉียวเจาด้วยแววตาวาดหวัง
นางเม้มปากไม่กล่าววาจา
“คุณหนูสามโปรดตรวจพวกนางด้วยเถอะ ถือเสียว่าข้าติดค้างน้ำใจท่านครั้งหนึ่ง” มีอนุตั้งครรภ์รวดเดียวสามคน รวมกับหลีเจี่ยวก็เป็นสี่คน ทำให้รุ่ยอ๋องปีติยินดีเจียนคลั่ง
เฉียวเจาคลี่ยิ้มทำมือบอกให้อนุอีกสองแถวก้าวมาข้างหน้า
นางไม่ต้องการให้รุ่ยอ๋องติดค้างน้ำใจนาง ขอแค่น้ำใจที่เซ่าหมิงยวนติดค้างเขาอยู่สามารถหักล้างกันไปได้เท่านั้นเป็นพอ
หลังใช้เวลาพักหนึ่งตรวจอนุคนอื่นๆ จนครบ เฉียวเจาส่ายหน้า
รุ่ยอ๋องอาจรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง แต่ปรับอารมณ์ให้เป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว เขาโบกมือไปมาพลางบอกกับพวกอนุ “กลับไปเถอะ เชี่ยนเหนียง พวกเจ้าสามคนไม่ต้องกลับไปที่เรือนพักเดิมแล้ว ข้าจะสั่งให้ผู้ดูแลจัดที่พำนักให้พวกเจ้าใหม่”
อนุที่บุญพาวาสนาส่งทั้งสามนางถูกสาวใช้ล้อมหน้าล้อมหลังเดินออกไปท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของเหล่าอนุคนอื่นๆ
พอออกไปส่งเฉียวเจาอย่างมีมารยาทแล้ว รุ่ยอ๋องเพิ่งนึกถึงหลีเจี่ยวขึ้นได้ในตอนนี้
หลีเจี่ยวไม่รู้สึกเจ็บท้องแล้วมีสีหน้าดีขึ้นมาก นางเห็นรุ่ยอ๋องเข้ามาก็เผยรอยยิ้มเนิบๆ
“ไม่เป็นไรนะ” เขากุมมือนาง
“ด้วยบารมีของท่านอ๋อง ลูกของเราปลอดภัยแล้วเพคะ”
ท่านอ๋องมีท่าทียินดีปรีดาอย่างปิดไม่มิด เห็นได้ว่าให้ความสำคัญกับเลือดเนื้อเชื้อไขในครรภ์ของนาง
รุ่ยอ๋องกำลังดีอกดีใจจริงๆ น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายขึ้นมาก “ตามความคิดข้า น่าจะเพราะได้อาศัยใบบุญคุณหนูสามต่างหาก”
หลีเจี่ยวหุบยิ้มตรงมุมปากทันใด แต่นางกลบเกลื่อนไว้ได้อย่างว่องไว “ใช่เพคะ หนนี้รักษาเด็กในครรภ์ไว้ได้ ต้องขอบคุณน้องเจาแล้ว”
“มิใช่เท่านี้นะ เจี่ยวเหนียง เจ้าคงยังไม่รู้ว่าเมื่อครู่คุณหนูสามตรวจพบว่ามีอนุข้าตั้งครรภ์อีกสามคน”
หลีเจี่ยวเบิกตาโพลงกะทันหัน “อะไรนะ”
รุ่ยอ๋องหัวเราะเสียงดัง “ครานี้ดีล่ะ พวกเจ้าสี่คนล้วนมีครรภ์ วังอ๋องใกล้จะครึกครื้นขึ้นในเร็ววันนี้แล้ว”
หลีเจี่ยวตาเหลือกหมดสติไป