หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 735
บทที่ 735
ฮ่องเต้หมิงคังนับวันยิ่งหงุดหงิดหัวเสียมากขึ้น เมื่อการเก็บตัวจำศีลไม่อาจนำความรื่นรมย์มาให้ได้ พระองค์ก็รู้สึกว่าชีวิตมืดมนเสียแล้ว
“เว่ยอู๋เสีย ไปตามท่านราชครูมา” หลังข่มใจมาเนิ่นนาน ฮ่องเต้หมิงคังทนไม่ไหวในที่สุด เขาอยากตามราชครูจางมาคำนวณหาฤกษ์งามยามดีที่จะจำศีลได้
ไม่นานนักราชครูจางในชุดนักพรตก็รุดมาถึง
ยามพบกับราชครูจาง ฮ่องเต้หมิงคังมีสีหน้าเป็นมิตรมากกว่าเวลาอยู่กับคนอื่นเป็นอันมาก ซ้ำยังกวักมือเรียกเขาอย่างเป็นกันเอง “ท่านราชครูมาแล้วหรือ”
ราชครูจางเดินเข้าไปถวายคำนับด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“ท่านราชครู หมู่นี้เราเก็บตัวจำศีลแล้วมีเรื่องไม่เป็นดังใจอยู่มาก เลยอยากขอให้ท่านคำนวณดูสักหน่อยว่าการจำศีลครั้งต่อไปเมื่อไรถึงจะเหมาะสม”
ราชครูจางพยักหน้า ดวงตาทั้งคู่หลุบลงนิดหนึ่งพร้อมกับเริ่มนับนิ้วคำนวณ
“ว่าอย่างไร” พอเห็นราชครูจางลืมตา ฮ่องเต้หมิงคังเอ่ยถามอย่างอดใจรอไม่ไหว
ราชครูจางส่ายหน้า “ฝ่าบาท ช่วงนี้ไม่เหมาะจะจำศีลพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเมื่อไรจึงเหมาะสม”
“ทั้งปีนี้และปีหน้าไม่เหมาะแก่การจำศีลพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังหน้ามืดวูบหนึ่ง “ท่านราชครูมีวิธีแก้เคล็ดหรือไม่”
ไม่ได้จำศีลนานเพียงนั้น เขาจะทนอยู่ได้อย่างไร
“ขอให้กระหม่อมเสี่ยงทายดูพ่ะย่ะค่ะ” ราชครูจางหยิบเหรียญสำริดโบราณสามเหรียญวางในอุ้งมือ เขย่าสองสามทีแล้วโยนลงบนโต๊ะซ้ำๆ เช่นนี้หลายครั้งก่อนจะเอ่ยด้วยหน้าตาเคร่งขรึม “นี่เป็นฉักลักษณ์สลับ* ตีความจากลักษณะการเรียงตัวหมายถึงใต้ภูเขามีภัย และยังมุ่งหน้ามาไม่หยุด”
ฮ่องเต้หมิงคังฟังแล้วร้อนรุ่มกระวนกระวายใจ นี่หมายถึงว่าถ้าเขายืนกรานจะจำศีลก็ต้องเคราะห์ร้าย?
“แต่ว่า…”
ได้ยินคำว่า ‘แต่ว่า’ ฮ่องเต้หมิงคังมีสีหน้าท่าทางคึกคักขึ้น เขามองราชครูจางด้วยสายตากระตือรือร้น
ฝ่ายราชครูจางยังคงวางท่าผู้ทรงศีลไร้กิเลส “แต่ว่าถ้าปฏิบัติอย่างเหมาะสม จะพลิกกลับเป็นบรรลุผ่านไปได้ ฉักลักษณ์นี้มีชะตาการสมรสซ่อนอยู่ กล่าวคือหากฝ่าบาททรงกำหนดวันจำศีลครั้งนี้ให้ตรงกับวันพิธีมงคลของผู้อื่น อาศัยความเป็นสิริมงคลของคนผู้นั้นมาเสริมสิริมงคลให้ตน ก็จะสบายพระทัยไร้กังวลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังหรี่ตาลง ลูบหนวดที่มีอยู่หร็อมแหร็ม “พูดเช่นนี้คือเราต้องเป็นพ่อสื่อหรือ”
ราชครูจางไม่เปล่งเสียงพูด
“ใครก็ได้ทั้งนั้นหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังถามขึ้นอีก ขอแค่ทำให้เขาได้จำศีลโดยไว ถึงต้องให้พระธิดาอภิเษกสมรสตอนนี้เลยก็ย่อมได้
“ผู้ที่เหมาะสมหาได้มีข้อจำกัดไม่ เพียงแต่จะเลือกคนที่มีบารมีน้อยไม่ได้ หากเป็นการแต่งงานของชาวบ้านสามัญชนยากจะให้โอรสสวรรค์ยืมสิริมงคล ดังนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนางในราชสำนักล้วนได้ทั้งสิ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอให้เราคิดดูก่อน” ฮ่องเต้หมิงคังเริ่มตรึกตรอง
เวลานี้เขายังมีพระธิดายังไม่อภิเษกสมรสอีกหนึ่งคน ส่วนเจ้าห้ายังไม่มีชายาเอก แต่ในเมื่อเป็นการยืมสิริมงคล ถ้าเขายืม ‘สิริมงคล’ ของโอรสธิดาไปแล้ว พวกโอรสธิดาก็ต้องได้รับผลกระทบกระเทือนมิใช่หรือ
แม้นจะพูดว่าเมื่อเทียบวิถีแห่งความเป็นอมตะของตนแล้ว นี่ไม่นับว่าสำคัญอันใด แต่ท่านราชครูบอกแล้วว่าเป็นขุนนางในราชสำนักก็ได้ ในเมื่อปัดเคราะห์ให้คนนอกได้ แค่กๆ…ไม่ถูก ในเมื่อให้ความเมตตากรุณาต่อขุนนางได้ พวกองค์ชายองค์หญิงก็ไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเกี่ยว
เลือกใครถึงจะเหมาะสมกันนะ
“เว่ยอู๋เสีย…”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เอาบันทึกรายชื่อข้าราชสำนักรวมถึงผู้สูงศักดิ์มาให้เราสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เวลาผ่านไปสองเค่อ เว่ยอู๋เสียหอบสมุดบันทึกเรียงกันเป็นตั้งสูงๆ ในอ้อมแขนเดินเข้ามา ยังมีขันทีน้อยสองสามคนหอบกันอีกคนละตั้งตามมาข้างหลัง
มุมปากของฮ่องเต้หมิงคังกระตุกริก “เลือกคนที่ยังไม่แต่งงานออกมาให้เรา”
นี่เป็นงานใหญ่เสียแล้ว เว่ยอู๋เสียระดมกำลังขันทีน้อยหลายคนมาเร่งมือช่วยกัน หลังจากทำงานง่วนอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามถึงรวบรวมรายชื่อได้สองแผ่นนำไปถวายแก่ฮ่องเต้
“มีแค่นี้เองหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังดูแผ่นที่เป็นรายชื่อของขุนนางในราชสำนักก่อน
เว่ยอู๋เสียอ่อนใจเต็มที แต่ไม่กล้าแสดงออกมาทางสีหน้า “กราบทูลฝ่าบาท ขุนนางในราชสำนักส่วนใหญ่มีอายุมากกว่าสามสิบปี คนที่ยังไม่ตบแต่งภรรยาซึ่งมีอยู่น้อยนิดนั้นโดยมากเป็นบัณฑิตที่เพิ่งผ่านการสอบขุนนางมาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังฟังแล้วขมวดคิ้วตลอด
จ้วงหยวนคนใหม่ได้รับตำแหน่งเป็นอาลักษณ์มียศขั้นหกเท่านั้น คนพวกนี้จะมีบารมีอะไรได้ ถ้าเกิดส่งผลเสียต่อตบะญาณจากการจำศีลของเขาจะทำฉันใด
ขณะฮ่องเต้หมิงคังกำลังติติงอยู่ในใจ เว่ยอู๋เสียก็กล่าวเสริมขึ้น “เพราะต้าเหลียงเรามีธรรมเนียมจับลูกเขยใต้ป้ายประกาศผลสอบ บัณฑิตที่สอบผ่านและยังไม่ตบแต่งภรรยาเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็โดนจับจองไปหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคนพวกนี้ล่ะ” ฮ่องเต้หมิงคังหยิบรายชื่ออีกแผ่นหนึ่งขึ้น ในแผ่นนี้กลับมีรายชื่อยาวเหยียดเต็มหน้ากระดาษ “หลานชายของหานกั๋วกง บุตรชายคนเล็กของฉางชุนป๋อ…พวกเขาล้วนมีตำแหน่งหน้าที่อะไรกันบ้าง”
เว่ยอู๋เสียเหยียดมุมปาก “ส่วนใหญ่ไม่มีตำแหน่งพ่ะย่ะค่ะ”
ก็พวกลูกหลานเศรษฐีเสเพลที่อาศัยทรัพย์สมบัติเก่ากินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ทั้งนั้นจะมีตำแหน่งอะไรได้ ฮ่องเต้ชอบตั้งปัญหายากๆ ให้เขาอยู่ร่ำไป
ฮ่องเต้หมิงคังนิ่งเงียบไป ทีแรกนึกว่าเป็นพ่อสื่อสักครั้งเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย ใครจะรู้ว่ากลับยุ่งยากขนาดนี้ ไม่ราบรื่นสักเรื่องเลยจริงๆ “แล้วไม่มีผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางคนสำคัญที่มีอำนาจบารมีสูงที่ยังไม่ตบแต่งภรรยาบ้างหรือ”
เว่ยอู๋เสียยิ้มฝืดๆ ฮ่องเต้โปรดการตรัสล้อเล่นจริงๆ หากมีคนอย่างนี้อยู่ ข้ายังอยากมีบุตรสาวสักคนจะได้ยกให้แต่งงานด้วยใจจะขาด
ไม่ถูก ดูเหมือนจะมีแบบนี้อยู่คนหนึ่งจริงๆ!
“ฝ่าบาท กระหม่อมนึกถึงผู้ที่เหมาะสมได้คนหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ใคร”
“กวนจวินโหวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังตาเป็นประกาย จริงสิ ไฉนลืมเจ้าหนุ่มผู้นั้นไปได้!
“กวนจวินโหวกับคุณหนู…เอ่อ..”
“คุณหนูสามสกุลหลีพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียพูดต่อให้
“อื้อ สองคนนี้แหละ หมั้นหมายกันนานเท่าไรแล้ว”
“หนึ่งปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หากพูดถึงคนอื่น ไม่แน่ว่าเว่ยอู๋เสียจะบอกระยะเวลาหมั้นหมายออกมาได้ทันที แต่ในฐานะหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวา เขาย่อมจะจับตาดูเรื่องเกี่ยวกับกวนจวินโหวอย่างใกล้ชิดเป็นธรรมดา
“วันแต่งงานล่ะ”
“เดือนสองปีหน้าพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ่ายทอดพระราชโองการของเรา พระราชทานสมรสให้กวนจวินโหวกับสตรีสกุลหลี ให้ทั้งสองเข้าพิธีมงคลในเจ็ดวันให้หลัง”
“พ่ะย่ะค่ะ” ไม่ว่าฮ่องเต้จะกล่าวถ้อยคำพิลึกพิลั่นอะไรก็ตาม เขาเว่ยอู๋เสียก็ล้วนรับมือได้ เขาฝึกฝนตนให้นิ่งเฉยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ได้นานแล้ว
“ออกไปเถอะ” ฮ่องเต้หมิงคังหลับตาลง
อันว่าหนึ่งวันยาวนานเหมือนหนึ่งปีจริงๆ ยังต้องรออีกเจ็ดวันเชียวหรือนี่ หรือว่าควรเปลี่ยนพระราชโองการร่นเวลาเป็นสามวันดีหรือไม่
หลังชาวสกุลหลีได้ฟังพระราชโองการที่เว่ยอู๋เสียนำมาถ่ายทอดด้วยตนเองแล้วงงงันไปตามๆ กัน
เพราะอะไรถึงพระราชทานสมรส
ฮ่องเต้กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ คอยจับตาดูเรื่องการแต่งงานออกเรือนของครอบครัวขุนนางเป็นพิเศษหรือไร
“คุณหนูสามสกุลหลี รับพระราชโองการเถอะ” เว่ยอู๋เสียเอ่ยเตือนเสียงเรียบๆ
ในตอนนี้เองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งถึงคล้ายเพิ่งตื่นจากฝัน นางมองหลานสาวรับพระราชโองการด้วยสีหน้าปนเปไปด้วยอารมณ์หลายหลาก
การพระราชทานสมรสอย่างกะทันหันนี้มีความหมายใดกันแน่
รอเมื่อเว่ยอู๋เสียไปแล้ว นางเอ่ยถามขึ้นทันที “เจาเจา นี่มันเกิดอะไรขึ้น เจ้ารู้เรื่องหรือเปล่า”
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ
ยังจะเป็นเรื่องอะไรได้ คนหน้าหนาบางคนอยากตบแต่งภรรยาจนทนรอไม่ไหวแล้วน่ะสิ
แน่นอนว่าจะบอกกับพวกท่านย่าตามตรงแบบนี้ไม่ได้ เฉียวเจาจึงยิ้มมุมปากพลางกล่าว “ข้าไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใด สงสัยว่าจะส่งถิงเฉวียนไปออกศึกอีกคราเลยให้เขาแต่งงานเร็วขึ้นเพื่อสร้างขวัญกำลังใจกระมังเจ้าค่ะ”
เหตุผลนี้กลับเหมาะสมดี ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดๆ แล้วกล่าวรำพึง “แต่งงานเร็วขึ้นก็ดี”
พวกทหารนักรบนั้นต่างจากขุนนางฝ่ายบุ๋น ชีวิตของพวกเขาเกิดเรื่องคาดไม่ถึงได้นานัปการ ในเมื่อเด็กสองคนนี้รักใคร่ชอบพอกัน ก็ส่งเสริมให้ทั้งคู่ได้สมหวังในเร็ววันเถอะ
เมื่อมีพระราชโองการพระราชทานสมรสฉบับนี้ ก็ไม่ต้องกลัวผู้อื่นติฉินนินทาว่าหลานเจายังไว้ทุกข์ไม่ครบเวลา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งโน้มน้าวตนเองอยู่ในใจ แต่ฝ่ายเหอซื่อกลับไม่คล้อยตาม
“เจ็ดวัน? เวลาเจ็ดวันจะพอที่ไหนกัน สินเจ้าสาวตั้งมากมายก่ายกองยังจัดเตรียมไม่ครบถ้วนเลยนะ จริงสิ เจาเจา เจ้าเย็บผ้าแดงคลุมศีรษะเสร็จแล้วหรือยัง”
เฉียวเจาไม่ตอบคำมารดา “…”
ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ ข้ายังเป็นเจ้าสาวอย่างเบิกบานใจได้นะ
“โธ่ ตอนแรกนึกว่ายังมีเวลาอีกสามเดือน เจ้าได้ฝึกฝีมือสักหน่อย ดีชั่วก็เย็บเก็บริมผ้าได้แล้ว ตอนนี้เหลือเวลาแค่เจ็ดวันแล้ว หรือไม่เจ้าเอาผ้ามาตัดตามขนาดก่อนก็ได้ ข้าว่าอันนี้ไม่ยากเกินไป”