หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 736
บทที่ 736
ในวันที่มีพระราชโองการพระราชทานสมรสถ่ายทอดลงมา หลีกวงเหวินกำลังเดินหมากกับผู้บังคับบัญชา ด้านข้างมีสหายขุนนางล้อมวงชมดูอยู่สี่ห้าคน
พอได้ยินเด็กรับใช้ในจวนมาแจ้งข่าว เขาทำหน้าบึ้งเอ่ยถาม “เจ็ดวันให้หลังก็จัดพิธีมงคล? ได้ยินไม่ผิดกระมัง”
เด็กรับใช้ตกใจจนหน้าซีด เหตุใดนายท่านใหญ่พูดจาไม่ระมัดปากระวังคำเช่นนี้ นี่เป็นการพระราชทานสมรสเชียวนะ ใครจะกล้าพูดมาก หนำซ้ำยังบอกว่าได้ยินผิดอีก
“ไม่ขอรับ นายท่านใหญ่รีบกลับจวนเถอะ ฮูหยินผู้เฒ่ารอท่านกลับไปหารืออยู่นะขอรับ”
“ได้ ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลย” หลีกวงเหวินผลักโต๊ะออกแล้วก้าวขาวิ่งไปเลย
เม็ดหมากเม็ดหนึ่งกระเด้งขึ้นไปโดนหน้าผากผู้บังคับบัญชา
เขาคลำหน้าผากป้อยๆ แล้วทำสีหน้าง้ำงอไปในพริบตา
พวกสหายขุนนางมองหน้ากันไปมา อยากหัวเราะแต่ไม่กล้า ได้แต่ก้มหน้าสะกดกลั้นไว้
ผู้บังคับบัญชาของหลีกวงเหวินลดมือลงพลางลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง เขาไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าคนหัวทึ่มเหมือนท่อนไม้ที่โดนบุญหล่นทับผู้นั้นหรอก
หากมิใช่ดวงดีได้กวนจวินโหวเป็นบุตรเขย เขาต้องให้เจ้าท่อนไม้นั่นได้รู้ว่าอันใดคือความน่าเกรงขามของผู้บังคับบัญชา
“กลับกันได้แล้ว”
ทุกคนลุกพึ่บพั่บแล้วแยกย้ายกันกลับไป
สำนักราชบัณฑิตเป็นที่ที่ได้อยู่ว่างๆ เสียจนน่าเบื่อหน่าย พอมีเรื่องให้พูดคุยซุบซิบกัน ข่าวนี้จึงแพร่กระจายออกไปทันใด
ตอนเฉียวโม่กลับถึงที่ว่าการได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้พอดี เขาอดชะงักฝีเท้าไม่ได้
ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้น้องเจากับกวนจวินโหว และสั่งให้ทั้งสองเข้าพิธีมงคลกันอีกเจ็ดวันให้หลัง นี่มันเรื่องอะไรกัน
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเซ่าหมิงยวนมิได้แย้มพรายเรื่องเลื่อนกำหนดวันแต่งงานเร็วขึ้นกับเฉียวโม่แม้สักครึ่งคำ
เมื่อเห็นเฉียวโม่เข้ามา เสียงวิพากษ์วิจารณ์เงียบลงฉับพลัน ทุกคนมองไปที่เขาด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง
เขามีฐานะพี่ชายภรรยาของกวนจวินโหว บัดนี้น้องเขยกำลังจะตบแต่งภรรยาคนใหม่ ไม่รู้ว่าในใจจะรู้สึกเช่นไร
เฉียวโม่เพิ่งเข้าสู่สำนักราชบัณฑิตได้ไม่กี่เดือน เดิมทีเขากับสหายขุนนางทั้งหลายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันพอสมควร แต่พอรองสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าเรียกเขาไปปฏิบัติหน้าที่ในสภาขุนนางก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป
หลังจากบัณฑิตจิ้นซื่อที่ผ่านการสอบคัดเลือกหนึ่งรุ่นทุกสามปีแยกกันไปประจำตามกองงานต่างๆ บ้างเป็นบัณฑิตหลวงประจำสำนักราชบัณฑิต บ้างเป็นข้าราชการฝึกงานตามกรมทั้งหกเป็นต้น ซึ่งกลุ่มหลังนี้จะฝึกฝนเรียนรู้งานบริหารราชการนานสองสามเดือน ซึ่งขณะนี้ล้วนทยอยถูกส่งตัวไปรับตำแหน่งตามเมืองต่างๆ ทั่วแผ่นดินแล้ว มีเพียงบัณฑิตหลวงของสำนักราชบัณฑิตที่ต้องอยู่จนครบสามปีถึงจะได้รับการแต่งตั้งตำแหน่ง
ทว่าตอนนี้ย่อมมีปัญหาบังเกิดขึ้น ที่ว่าการบางแห่งที่มีงานยุ่งต้องการขุนนางใหม่ที่ว่านอนสอนง่ายมาทำงานหยุมหยิมสัพเพเหระ พอพวกข้าราชการฝึกงานไปแล้ว พวกผู้บังคับบัญชาของกรมกองต่างๆ ก็หันมาหมายตาพวกบัณฑิตหลวงหน้าใหม่ถอดด้ามแทน
นี่เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะพวกขุนนางเก่าในสำนักราชบัณฑิตที่ไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นสักทีนั้นล้วนรอบจัดทั้งสิ้น ใช้งานได้ไม่คล่องมือ ดังนั้นบางครั้งบัณฑิตหลวงหน้าใหม่เหล่านี้มักถูกกรมกองต่างๆ ยืมตัวไปช่วยงาน
เฉียวโม่เป็นจ้วงหยวนบัณฑิตเอกอันดับหนึ่งจึงได้รับตำแหน่งเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตทันที กรมกองทั่วไปจะมอบหมายงานให้เขาก็ไม่ถนัด คิดไม่ถึงว่ากลับได้รับความไว้วางใจจากรองสมุหราชเลขาธิการ เรียกเขาไปปฏิบัติงานในสภาขุนนางแล้ว
ได้ไปปฏิบัติงานที่สภาขุนนาง ถึงแม้เป็นงานสัพเพเหระก็เป็นโอกาสที่ดีอย่างยิ่ง นอกจากได้เปิดหูเปิดตาแล้ว หากฉวยโอกาสสร้างความพึงใจให้ใต้เท้าทั้งหลายได้ วันที่จะก้าวหน้าได้ดิบได้ดีก็อยู่อีกไม่ไกล ไม่แน่ว่าใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้เข้าสภาขุนนางมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีแล้ว
เฉียวโม่ผู้นี้ช่างโชคดีจริงๆ ถึงที่สุดแล้วชาติตระกูลยังคงเป็นสิ่งสำคัญ ก็ใครให้เขาเป็นหลานชายของจอมปราชญ์เฉียวจัวเล่า ในอดีตรองสมุหราชเลขาธิการสวี่กับเฉียวจัวก็เป็นบัณฑิตจิ้นซื่อรุ่นเดียวกันนั่นเอง
ไม่ว่าทุกคนจะแอบปลอบใจตนเองอย่างไร ในใจลึกๆ กลับขุ่นข้องไม่น้อย ส่งผลให้ยามพบเจอเฉียวโม่อีกทีก็มิได้เป็นมิตรมากเท่าเดิม
เฉียวโม่ประสบผ่านจุดพลิกผันครั้งใหญ่หลวงของชีวิตมาแล้ว จากคุณชายผู้มีจิตใจบริสุทธิ์สูงส่งไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใคร เขากลายเป็นผู้มีจิตใจลึกล้ำซับซ้อน ไหนเลยจะไม่แจ่มแจ้งถึงความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้
กระนั้นเขาเพียงยิ้มรับมัน ปั้นหน้ายิ้มแย้มให้ผู้คนดุจเก่า
จริงอยู่ว่ามิตรภาพของบัณฑิตร่วมรุ่นอาจต่างจากทั่วไป แต่ท่านปู่ล่วงลับไปแล้ว มิตรภาพเหล่านั้นยังหลงเหลืออยู่ได้สักกี่ส่วน
หากเป็นเรื่องง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ ไม่ว่าใครก็ยินดีช่วยเหลือ แต่ถ้ายอมเสี่ยงล่วงเกินสมุหราชเลขาธิการหลันซาน เรียกเขาไปเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในสภาขุนนาง นี่ต้องมิใช่ธรรมดาอย่างเด็ดขาด
ชายหนุ่มตรึกตรองถึงตรงนี้แล้วความรู้สึกในใจของเขาก็สับสนปนเปอยู่บ้าง
เหตุผลที่ใต้เท้าสวี่ผลักดันเขาเป็นที่ประจักษ์ชัดสุดจะกล่าว เพราะว่าเขาตอบตกลงผูกดองกับสกุลสวี่
ตอนนี้เขายังไว้ทุกข์อยู่ การทาบทามสู่ขอจึงเอ่ยถึงระยะเวลาไม่ได้เป็นธรรมดา แต่เรื่องพรรค์นี้เมื่อตอบรับไปแล้ว มันก็กลายเป็นสิ่งที่สองฝ่ายต่างรู้กันเองแก่ใจ วันหน้าย่อมไม่มีเหตุผลที่จะผิดสัจจะได้
กระนั้นในความคิดของเฉียวโม่ขณะนี้เต็มไปด้วยเรื่องที่น้องสาวได้รับพระราชทานสมรสอย่างกะทันหัน เขารีบไปขอลาหยุดกับผู้บังคับบัญชา
ใครๆ ในสำนักราชบัณฑิตล้วนล่วงรู้ว่าบัณฑิตเอกอันดับหนึ่งคนใหม่ผู้นี้มีอนาคตรุ่งโรจน์ ผู้บังคับบัญชาของเขาก็ย่อมจะไม่สร้างความลำบากใจให้เขา รีบเอ่ยอนุญาตให้ลาหยุดได้ทันที
เฉียวโม่รีบเร่งกลับไปที่จวนกวนจวินโหว
พระราชโองการพระราชทานสมรสมีสองฉบับ ฉบับหนึ่งไปถ่ายทอดที่จวนสกุลหลี ฉบับหนึ่งไปถ่ายทอดที่จวนกวนจวินโหว
ตอนเขารุดไปถึง ขันทีที่อ่านพระราชโองการกลับไปแล้ว ทั่วทั้งจวนโหวตกอยู่ในบรรยากาศรื่นเริงยินดี พวกบ่าวไพร่เริ่มปัดกวาดเช็ดถูกันอย่างขมีขมัน ถึงขั้นมีองครักษ์ส่วนหนึ่งเข้าร่วมด้วย
“คุณชายระวังพื้นลื่นนะขอรับ” พอเห็นเฉียวโม่เดินด้วยฝีเท้าเร็วรี่ คนกวาดพื้นเอ่ยเตือนขึ้น
เขาตรงดิ่งไปที่เรือนพำนักของเซ่าหมิงยวน มองปราดเดียวก็เห็นอีกฝ่ายยืนชมหิมะในลานเรือนด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น จึงเอ่ยไต่ถามทันที “ถิงเฉวียน มันเรื่องอะไรกันถึงมีพระราชทานสมรสได้”
เซ่าหมิงยวนหุบยิ้ม ทำหน้าตาใสซื่อ “หือ?”
“เมื่อครู่ข้ากลับถึงสำนักราชบัณฑิต ได้ยินพวกสหายขุนนางกำลังคุยซุบซิบกันถึงเรื่องที่ฮ่องเต้พระราชทานสมรสให้พวกเจ้าอยู่”
“นั่นสิ เมื่อครู่ข้าได้รับพระราชโองการก็งุนงงไปหมด ตอนนี้ยังรู้สึกเหมือนฝันไปเลยขอรับ”
“นี่แสดงว่าเจ้าไม่รู้ระแคะระคายก่อนหน้านี้เหมือนกันหรือ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าอย่างจริงใจ
ถึงตีให้ตายก็ยอมรับไม่ได้ ขืนให้พี่เฉียวโม่รู้ว่าข้าไม่ยอมอดทนรอจนเจาเจาปักปิ่นแล้วค่อยแต่งนางเข้าเรือน คงไม่แคล้วต้องโดนเขม่นแน่นอน
เฉียวโม่ขมวดคิ้ว “นี่ท่านผู้นั้นมีจุดประสงค์ใดกันแน่”
“บางทีอาจเห็นว่าข้านำทัพออกศึกอย่างเหนื่อยยากลำบากเลยพระราชทานสมรสเป็นพิเศษเพื่อสำแดงถึงพระมหากรุณาธิคุณกระมัง”
เฉียวโม่ครุ่นคิดแล้วดูเหมือนจะไม่มีเหตุผลที่เข้าท่ามากกว่านี้เลยจำต้องยอมเชื่อ
“ขอแค่อย่าให้ท่านผู้นั้นมีเป้าหมายอื่นแอบแฝงเท่านั้นเป็นพอ”
มุมปากของเซ่าหมิงยวนยกโค้งขึ้นนิดหนึ่งเป็นรอยยิ้มบางๆ
แน่นอนว่าไม่มีเป้าหมายอื่นแอบแฝง รอถึงวันพิธีมงคลของเขากับเจาเจา ฮ่องเต้ก็เสด็จเข้าจำศีล ชำระจิตใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ไม่มีใครเกินเลยทีเดียว
จะว่าไปแล้ว เจ็ดวันมันช่างยาวนานดีแท้ ฮ่องเต้กลับไม่กำหนดเวลาเป็นสามวันให้หลัง นี่ออกจะเหนือความคาดหมายของเขาจริงๆ
หลีกวงเหวินวิ่งเร็วฉิวกลับถึงจวนสกุลหลีกลับตามหาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่อไม่พบ เขาได้แต่เรียกสาวใช้คนหนึ่งมาไต่ถาม “พวกฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ไหน”
สาวใช้กล่าวตอบอย่างยิ้มแย้ม “ท่านทั้งหลายล้วนยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานของคุณหนูสามกัน ข้าขอแสดงความยินดีกับนายท่านใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ”
หลีกวงเหวินกลอกตาขึ้นแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ผายลม…มีอะไรน่ายินดีกัน บุตรสาวที่น่ารักสดใสของข้ากำลังจะกลายเป็นคนเรือนอื่นไปแล้ว!
ในที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน เจียงหย่วนเฉาได้รับข่าวแล้วนั่งนิ่งไม่พูดจาอยู่ในห้องหนังสือเนิ่นนาน
ด้านนอกหยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว หากแต่ด้านในเรือนอบอุ่นดุจวสันต์ฤดู เขาสวมสวมเสื้อคลุมยาวเข้ารูปคลุมทับด้วยเสื้อบุสำลีบางๆ สีเขียว ขับเน้นให้สง่านุ่มนวลดุจหยก แต่กลับดูผ่ายผอมกว่าฤดูใบไม้ผลิปีกลาย
เจียงเฮ่อเอาแต่กลอกตาไปมา ไม่กล้าเปล่งเสียง
หิมะจะตกจากฟ้า หญิงในดวงใจจะออกเรือน ผู้ใดก็ห้ามไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ต้องเสียใจอยู่วันยังค่ำ ฉะนั้นรีบให้มันจบลงโดยไวดีกว่าถ่วงรั้งไว้ให้เนิ่นนาน
ผ่านไปสักพักใหญ่ เจียงหย่วนเฉาลุกขึ้นก้าวขาเดินออกไปข้างนอก
“ใต้เท้า เสื้อ…” เจียงเฮ่อหยิบเสื้อกันหนาวที่วางพาดบนฉากกั้นไล่ตามออกไป
ทันทีที่ก้าวออกจากประตู ลมหนาวเสียดกระดูกโชยพัดมา เสื้อบุสำลีบางๆ ย่อมต้านไม่อยู่เป็นธรรมดา เจียงหย่วนเฉาสั่นสะท้าน แต่ไม่รับเสื้อกันหนาวจากเจียงเฮ่อ สาวเท้าก้าวใหญ่ไปที่ใต้ต้นไม้กลางลานทอดสายตามองไปที่ไกลๆ
“ใต้เท้า ท่านรีบสวมเสื้อกันหนาวเถอะ ไม่เช่นนั้นจะหนาวจนตัวแข็งนะขอรับ”
“อากาศหนาวขึ้นทุกปี” เจียงหย่วนเฉากล่าวทอดถอนใจเบาๆ คำหนึ่งแล้วสวมเสื้อกันหนาว ทว่าความหนาวเหน็บยังเกาะกุมที่ก้นบึ้งหัวใจเนิ่นนานไม่จางหายไป