หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 74
ที่ตั้งของอารามซูอิ่งผิดแผกจากสามัญ หากคิดจะไปที่นั่นจะต้องเดินตัดผ่านวัดต้าฝู
วันประสูติของพุทธองค์เพิ่งผ่านมาแค่เจ็ดวัน งานวัดด้านหน้าวัดต้าฝูยังไม่สิ้นสุด มีเสียงคนอึกทึกเซ็งแซ่ บรรยากาศครึกครื้นเป็นพิเศษ
ตอนเฉียวเจาไปถึง มีภิกษุต้อนรับรออยู่ที่นั่นแต่แรก เขาพาสองนายบ่าวไปส่งถึงหน้าประตูด้านข้างที่เปลี่ยวไกล และให้เณรน้อยคนหนึ่งนำทางไปยังอารามซูอิ่ง
เณรน้อยดูมีวัยราวหกเจ็ดขวบเท่านั้น ดวงตาคู่โตที่ตาดำตาขาวตัดกันชัดกลอกไปกลอกมา ท่าทางเป็นเด็กร่าเริงมาก
สีกา ท่านจะไปพบอู๋เหมยซือไท่ใช่หรือไม่
ใช่ เฉียวเจาก้มหน้าอมยิ้มเอ่ยตอบเขา
เณรน้อยตาเป็นประกาย โคลงศีรษะไปมาพลางพูดด้วยสุ้มเสียงอ่อนใส สีกาเก่งกาจยิ่งนัก
ปิงลวี่ปิดปากหัวร่อ ภิกษุน้อย ไหนลองบอกมาสิว่าคุณหนูของพวกข้าเก่งกาจอย่างไร
เณรน้อยหน้าแดงทันใด เขาทำแก้มป่องแล้วกล่าวว่า เก่งกาจจริงๆ นะ กระทั่งอาตมายังไม่เคยพบท่านซือไท่ของอารามซูอิ่งเลย
ปิงลวี่หัวเราะคิกคักด้วยความขบขัน เจ้าเพิ่งอายุเท่าไรเอง ไม่เคยเห็นอะไรอีกมากมาย ข้าขอถามเจ้า น่องไก่น่ะเจ้าเคยเห็นหรือไม่ แล้วกีบเท้าหมูล่ะเคยเห็นหรือไม่
เณรน้อยเจียนร้องไห้ด้วยความโมโห เขาพูดเสียงดัง ข้าเคยเห็นไก่ แล้วก็เคยเห็นหมูด้วย
มีครั้งหนึ่งเขาตามศิษย์พี่ลงเขายังเคยเห็นลูกเป็ดด้วยนะ
นี่มีอันใดแปลกพิสดาร ท่านซือไท่พบได้ยากกว่าพวกนี้ตั้งมาก… เณรน้อยชะงักเสียงพูดกะทันหัน เขาเรียกขานด้วยสีหน้าแดงเรื่อ อาจารย์อาจิ้งซี
ภิกษุณีจิ้งซียื่นมือลูบศีรษะโล้นเกลี้ยงของเณรน้อยแล้วประนมมือคำนับเฉียวเจา มาแล้วหรือ ท่านซือไท่รอท่านอยู่ในห้องทำสมาธิ
นางพูดแล้วมองปิงลวี่ด้วยสายตานิ่งเฉย ก่อนจะเอ่ยเตือนขึ้นว่า เพียงแต่ท่านซือไท่ชมชอบความเงียบสงบ คนอื่นๆ รั้งอยู่ด้านนอกเป็นการดีที่สุด
เฉียวเจาคำนับตอบ จากนั้นพูดกำชับสาวใช้ เจ้ารอข้าอยู่ข้างนอกเถอะ ถ้ารู้สึกเบื่อหน่ายจะไปเดินเที่ยวงานวัดก็ได้
ปิงลวี่ตาเป็นประกาย คุณหนู ข้าไปเที่ยวงานวัดได้จริงๆ หรือเจ้าคะ
จริงแน่นอนสิ ถุงเงินอยู่บนตัวเจ้ามิใช่หรือ แต่ต้องระวังเนื้อระวังตัวนะ เฉียวเจาสำทับเสียงนุ่ม
เจ้าค่ะ ปิงลวี่ขานรับอย่างดีอกดีใจ
จิ้งซีเผยรอยยิ้มจางๆ
คุณหนูสามสกุลหลีท่านนี้เมตตาใจดีต่อบ่าวไพร่ เห็นได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาญาน มิน่าถึงเป็นที่ถูกตาต้องใจของพระอาจารย์ใหญ่
เฉียวเจาตามจิ้งซีไปยังห้องทำสมาธิที่เขียนคำกลอน ‘เชิญร่ำสุรา’ คราวก่อน เห็นอู๋เหมยซือไท่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้นั่งวิปัสสนา ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวถึงลืมตาขึ้น
คารวะซือไท่เจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่พยักหน้ากับจิ้งซี นางก็ถอยออกไปอย่างปราศจากสุ้มเสียง
มาแล้วหรือ อู๋เหมยซือไท่ปริปากพูดในเวลานี้
สายตาของนางจับไปที่ดอกติงเซียงซึ่งประดับล้อมมวยผมของเฉียวเจา จู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น เจ้าชอบดอกติงเซียงหรือ
เฉียวเจามองไปทางอู๋เหมยซือไท่
ดวงตาของอู๋เหมยซือไท่นิ่งเฉย น้ำเสียงก็ราบเรียบ ดอกติงเซียงมีนัยหมายถึงความทุกข์นานัปการ เด็กสาวชมชอบดอกไม้นี้หาใช่เรื่องน่ายินดีไม่
เมื่อครั้งวัยเยาว์ นางก็ชมชอบดอกติงเซียงเช่นกัน
ยามพลบขึ้นหอคอยหมายแลหา บันไดหักขาดคาเคียงเดือนเสี้ยว
ปลีกล้วยหุบกลีบติงเซียงมิคลี่แย้ม โยกไหวตามลมวสันต์แสนเปล่าเปลี่ยว
นางเคยเดินย่ำเท้าวนเวียนไปมาหน้าเรือนตึกใต้แสงจันทร์นับครั้งไม่ถ้วน กลับไม่เคยได้พบคนที่อยากเห็นหน้าผู้นั้น ผลสุดท้ายมีเพียงแสงตะเกียงริบหรี่กับพระพุทธรูปโบราณ* อยู่เคียงข้างเท่านั้น
อู๋เหมยซือไท่มองเฉียวเจา
เด็กสาวเบื้องหน้าสายตาผู้นี้ละม้ายคล้ายคลึงนางในวัยเยาว์ปานใด ความสามารถโดดเด่นและเชื่อมั่นทะนงตนเหมือนกัน ทว่ายศศักดิ์ฐานะกลับห่างชั้นจากนางในอดีตลิบลับ
ยามยืนอยู่ตรงหน้าอู๋เหมยซือไท่ เฉียวเจามิได้รู้สึกถึงอำนาจบารมีของผู้ทรงศักดิ์ประหนึ่งภูเขาสูงค้ำฟ้าเฉกคนอื่นๆ แม้สักเศษเสี้ยว นางกล่าวตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่ถึงกับชอบหรือไม่ชอบเจ้าค่ะ สาวใช้เด็ดมา ข้าเห็นว่าสดใหม่ก็เลยเสียบผมประดับเจ้าค่ะ
นางเห็นอู๋เหมยซือไท่มุ่นคิ้วไม่เอื้อนเอ่ยวาจาจึงกล่าวต่อไป ติงเซียงร้อยปมทุกข์ เหมยคิมหันต์ทระนง แต่ในความเห็นข้าเป็นเพียงคำนิยามที่ผู้คนกำหนดให้พวกมันเท่านั้น แท้จริงแล้วมิได้มีความหมายอะไร
ไม่ต่างจากทักษะดีดพิณ เดินหมาก เขียนอักษร และวาดภาพที่คนทั่วหล้าใช้เป็นเกณฑ์วัดความสามารถคนผู้หนึ่ง แต่ท่านปู่กลับบอกว่าเป็นเพียงการเสพความสุนทรีย์และขัดเกลานิสัยเท่านั้น
ฉะนั้นนางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นสตรีมากความสามารถอันใด
อู๋เหมยซือไท่ประหลาดใจกับการให้เหตุผลของเฉียวเจามากพอดู นางนิ่งมองเด็กสาวเป็นนานถึงกล่าวเสียงเบาว่า ความคิดเห็นของสีกาคล้ายคลึงกับสหายเก่าผู้หนึ่งที่อาตมาเคยรู้จัก
ด้วยเกี่ยวข้องกับท่านปู่ เฉียวเจาจึงไม่สะดวกใจจะพูดตอบไปชั่วขณะ
ถ้าเมื่อก่อนเขาได้พบสีกา จะต้องถูกใจเป็นแน่ ครั้นเห็นเฉียวเจาเงียบไป อู๋เหมยซือไท่ก็หมดความสนใจต่อบทสนทนานี้ จึงหยิบคัมภีร์ ‘สัทธรรมปุณฑริกสูตร**’ เล่มหนึ่งออกมาให้นางคัดลอก
เฉียวเจานั่งตัวตรงอยู่หน้าโต๊ะ ถือพู่กันคัดลอกพระธรรมอย่างไม่เร็วไม่ช้า ผ่านไปเกือบพักใหญ่ถึงกับเขียนอักษรไม่ผิดสักตัว ท่านั่งก็ไม่เปลี่ยนแปลง
อู๋เหมยซือไท่มองอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัวไปทีละน้อย
เพลานี้จิ้งซีเข้ามาขออนุญาต องค์หญิงเก้าเสด็จมาเจ้าค่ะ
อู๋เหมยซือไท่กล่าวเอื่อยๆ โดยไม่เหลือบตาขึ้น ให้นางกลับไปเถอะ
จิ้งซีลังเลใจเล็กน้อยก่อนจะถอยออกไปอย่างนอบน้อม
องค์หญิงเจินเจินรออยู่ที่หน้าประตูอาราม ได้ฟังจิ้งซีนำความมาบอกแล้วอดหลากใจไม่ได้ ท่านซือไท่ไม่พบข้าหรือ จิ้งซีซือฟู่ ขณะนี้ท่านซือไท่ทำอะไรอยู่หรือ
วันนี้มิใช่วันพิเศษอะไร เหตุใดซือไท่จึงไม่ยอมพบนาง
ผู้ออกบวชไม่กล่าวมุสา จิ้งซีชั่งใจเล็กน้อยถึงเอ่ยตอบ ท่านซือไท่กำลังรับรองแขกอยู่เพคะ
ในเมื่อท่านซือไท่รับรองแขกอยู่ วันหน้าข้าค่อยมาใหม่
องค์หญิงเจินเจินพานางกำนัลกลับไป จะบอกว่านางผิดหวังมากสักปานใดก็ไม่ถึงขั้นนั้น เทียบกับสวดมนต์ไหว้พระเป็นเพื่อนซือไท่ท่านนั้น อันที่จริงนางสนใจงานวัดข้างหน้ามากกว่า เพียงแต่รู้สึกแปลกใจอยู่สักหน่อย
ผู้ที่ซือไท่พบบ่อยๆ มีอยู่แค่สองสามคน ตอนนี้ท่านกำลังพบคนใดอยู่กัน
เมื่อเดินไปถึงประตูข้างของวัดต้าฝู องค์หญิงเจินเจินสั่งให้นางกำนัลไปสอบถามจากเณรน้อยที่เล่นสนุกอยู่หน้าประตู
เสวียนจิ่งซือฟู่น้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครไปที่อารามซูอิ่ง นางกำนัลไต่ถาม
รู้สิ เป็นสีกาสองนาง
สีกาที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ซือฟู่น้อยบอกให้ฟังได้หรือไม่
เสวียนจิ่งกัดเล็บมืออย่างลำบากใจอยู่บ้าง อาตมาไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร
นางกำนัลนึกขันเป็นอันมาก
เณรน้อยผู้นี้อยู่ในวัดต้าฝูตั้งแต่เล็กจนโต เกรงว่าคงแยกแยะคนงามกับคนอัปลักษณ์ไม่ได้ด้วยซ้ำไป
นางทำไม้ทำมือพลางถาม เทียบกับข้าแล้ว สูงหรือเตี้ย อ้วนหรือผอม อายุมากหรืออายุน้อย
นัยน์ตาของเสวียนจิ่งเปล่งประกายวาววับ เขาตอบอย่างฉะฉาน เตี้ยกว่าท่าน ผอมกว่าท่าน อายุน้อยกว่าท่าน
เณรน้อยเรียนรู้ได้ว่องไว จึงกล่าวเสริมขึ้นอีกคำหนึ่ง โฉมงามกว่าท่านด้วย
ดวงหน้างามหมดจดของนางกำนัลง้ำงอไปทันใด
เณรน้อยผู้นี้พูดจาเหลวไหลอะไรกัน!
นางกำนัลเดินหน้าตึงกลับไปหาองค์หญิงเจินเจิน กล่าวเสียงค่อยว่า องค์หญิง ผู้ที่ไปอารามซูอิ่งเป็นสตรีวัยเยาว์สองนางเพคะ
สตรีวัยเยาว์? องค์หญิงเจินเจินได้ยินแล้วล้มเลิกความคิดจะกลับทันใด นางแค่นเสียงกล่าว ถ้าอย่างนั้นข้ากลับอยากเห็นนักว่าเป็นใครกันแน่
องค์หญิงเจินเจินยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก ผ่านไปไม่นานก็เห็นสาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีบานเย็นนางหนึ่งเดินครวญเพลงเบาๆ ผ่านมา
สาวใช้น้อยเดินสลับกระโดดเป็นจังหวะ เผยอารมณ์ที่สำราญบานใจจนแทบล้นทะลักออกมา ทั้งยังถือของกินนานาชนิดไว้เต็มสองมือ
ปิงลวี่เห็นเสวียนจิ่งก็แย้มยิ้ม ซือฟู่น้อย มานี่ๆ ข้ามีของอร่อยๆ มาฝาก
เสวียนจิ่งวิ่งไปหา เขากลืนน้ำลายแล้วส่ายหน้า ข้ารับไม่ได้
ได้สิ อร่อยนะ ปิงลวี่เอาถังหูลู่* หนึ่งไม้ยัดใส่มือเณรน้อยโดยไม่เปิดช่องให้ปฏิเสธ
เณรน้อยกะพริบตาปริบๆ อ้าปากกัดพุทราเคลือบน้ำตาลครึ่งลูกอย่างระมัดระวัง รสเปรี้ยวๆ หวานๆ ทำให้เขายิ้มจนตาหยีทันใด แต่จู่ๆ เขาก็นิ่วหน้าอ้าปากคายฟันขาวซี่หนึ่งออกมา
เณรน้อยนิ่งงันไปแล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ก็บอกแล้วว่ารับไม่ได้
* แสงตะเกียงริบหรี่กับพระพุทธรูปโบราณ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงการหันเข้าสู่ทางธรรมใช้ชีวิตสงบวิเวก
** สัทธรรมปุณฑริกสูตร เป็นพระสูตรสำคัญของพุทธศาสนานิกายมหายาน
* ถังหูลู่ เป็นขนมหวานเคลือบน้ำตาลชนิดหนึ่ง แต่เดิมใช้ผลซานจา (พุทราป่า) เสียบไม้ไผ่เป็นแท่งเหมือนลูกชิ้นแล้วจุ่มลงในน้ำเชื่อมให้ผิวนอกแข็งตัวเป็นเงาวาว รสชาติเปรี้ยวอมหวาน ปัจจุบันดัดแปลงเป็นผลไม้ชนิดอื่นด้วย เช่น สตรอเบอรี่ กีวี่ สับปะรด เป็นต้น