หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 745
บทที่ 745
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวัน ขณะที่คนทั่วทั้งจวนสกุลหลีชะเง้อคอรอคอยอยู่ ท่านเขยคนใหม่ก็พาภรรยากลับมาเยี่ยมสกุลเดิม
ในฐานะญาติฝ่ายหญิง ชาวสกุลหลีให้ความสำคัญกับธรรมเนียมเยี่ยมเรือนเป็นพิเศษ
พวกเขาทำงานง่วนกันตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งปัดกวาดเรือน ทั้งฆ่าไก่เชือดแพะ ยุ่งกันจนขาขวิด
หลีกวงเหวินไม่ไปที่ว่าการอีกตามเคย
นายท่านใหญ่สกุลหลีซึ่งเลื่อนขั้นขึ้นเป็น ‘ท่านพ่อตา’ อย่างเป็นทางการแต่งกายอย่างสง่างามภาคภูมิ ย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ในลานเรือน
“ท่านเขยสามกับนายหญิงสามกลับมาแล้วขอรับ” คนรับใช้เข้ามารายงาน
ชาวเมืองหลวงจะเรียกขานบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วว่า ‘นายหญิง’
หลีกวงเหวินก้าวขาเดินออกไปเรือนหน้า แต่เพราะเขาเดินเร็วเกินไป ส่งผลให้เท้าลื่นไถลจนหน้าคะมำ เขาตะลีตะลานเกาะต้นไม้เบื้องหน้าถึงทรงตัวไว้ได้
“ท่านพี่ ท่านจะรีบร้อนเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด” เสียงพูดกลั้วหัวร่อของเหอซื่อดังลอยมา
หลีกวงเหวินหันหน้าไปเห็นนางอุ้มฝูเกอเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตูแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “อากาศหนาวขนาดนี้ เจ้าอุ้มลูกออกมาทำไมกัน”
“เจาเจากลับมาทั้งที ก็ต้องให้ฝูเกอเอ๋อร์ได้เจอกับพี่สาวและพี่เขยแน่นอน”
หลีกวงเหวินส่งเสียงไอเบาๆ เสียงหนึ่ง “เช่นนั้นยังไม่เดินอีก”
สองสามีภรรยารีบเร่งไปที่เรือนหน้า ตอนใกล้จะถึงโถงรับแขก เหอซื่อหยุดฝีเท้ากึก ส่งตัวบุตรชายให้แม่นมอุ้มไว้ จากนั้นจับคอเสื้อลูบจอนผมให้เรียบร้อยแล้วเอ่ยถามขึ้น “ท่านพี่ ผมข้ายุ่งหรือเปล่า”
“ไม่ยุ่งๆ มิใช่สาวน้อยไปเดินชมงานเทศกาลดอกไม้สักหน่อย จะใส่ใจเรื่องพรรค์นี้อะไรนักหนา” หลีกวงเหวินกล่าวห้วนๆ จบก็เดินผ่านตัวภรรยาจะเข้าไปในโถง แต่ตอนถึงหน้าประตูก็แอบดึงๆ ชายเสื้อให้เข้าที่
เหอซื่อลอบกลอกตาขึ้น ไหนบอกว่าจะใส่ใจเรื่องพรรค์นี้อะไรนักหนาอย่างไรเล่า
สองสามีภรรยาสาวเท้าตามหลังกันเข้าไป เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นแสดงคารวะต่อคนทั้งสองทันที “คารวะท่านพ่อตาท่านแม่ยายขอรับ”
“อ่ะแฮ่ม” หลีกวงเหวินเดินเชิดคางยืดอกเข้าไป เห็นบุตรสาวมีสีหน้าเปล่งปลั่งผ่องใสก็พยักหน้าอย่างพึงใจ เขานั่งลงเปล่งเสียงขานตอบในลำคออย่างไว้ท่า
“ท่านโหวไม่ต้องมากพิธี” เหอซื่อยิ่งมองบุตรเขยยิ่งพอใจ
เมื่อครู่ตอนนางเข้ามาในโถงก็มองเห็นแล้วว่าเขามองเจาเจาโดยไม่ละสายตาตลอด เห็นได้ว่าเอาใจใส่บุตรสาวของนางจริงๆ
บุรุษรู้สึกอย่างไรต่อสตรีนี้ ไม่ต้องฟังว่าเขาพูดอะไร เพียงดูจากสีหน้าท่าทางก็ประจักษ์แจ้งได้แล้ว
นางไม่สนใจคุณสมบัติด้านอื่นๆ ของบุตรเขย สำคัญที่สุดคือต้องดีต่อบุตรสาวของนาง
เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าอ่อนน้อม “ท่านแม่ยายเรียกขานด้วยชื่อของข้าเถอะขอรับ”
“เอาเป็นว่าเรียกว่าท่านเขยก็แล้วกัน” เหอซื่อพึงพอใจมากขึ้น
ในโต๊ะกินเลี้ยงตามธรรมเนียมเยี่ยมเรือน เซ่าหมิงยวนนั่งตรงที่นั่งแขกคนสำคัญ มีฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง หลีกวงเหวินกับภรรยาและหลีฮุยนั่งร่วมดื่มฉลอง
ตอนนี้หลิวซื่อยังอยู่ไฟ ส่วนบุตรสาวสองคนไว้ทุกข์ให้บิดา จึงมิได้ออกมาเป็นธรรมดา
เซ่าหมิงยวนดื่มคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเป็นคนแรก หญิงชรากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ข้าไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใด ขอแค่ท่านโหวดีต่อเจาเจาให้มากๆ เท่านั้นเป็นพอ”
“ท่านย่าวางใจได้ ข้าจะเสมอต้นเสมอปลายกับเจาเจาตลอดไปอย่างแน่นอนขอรับ”
คนต่อมาคือหลีกวงเหวิน เขากระแอมให้คอโล่งแล้วปั้นหน้าขรึมกล่าวว่า “ท่านโหวจดจำคำสัญญาในวันนี้ไว้ก็แล้วกัน อีกอย่างถึงบุรุษหาเงินหาทองได้มากเป็นเรื่องดี แต่ต้องเก็บออมไว้ด้วย เบี้ยหวัดปีละสองพันตั้นนั่นของเจ้าก็อย่าใช้สอยสุรุ่ยสุร่าย ต่อแต่นี้เจ้าเป็นคนที่มีครอบครัวแล้วนะ”
เลี้ยงดูครอบครัวเป็นเรื่องง่ายรึ ข้ารู้ซึ้งถึงจุดนี้ดี
ใบหน้าเซ่าหมิงยวนประดับด้วยรอยยิ้มนอบน้อมอยู่ตลอด “ท่านพ่อตากล่าวได้ถูกต้อง หลังจากนี้เบี้ยหวัดห้าพันตั้นของข้าล้วนมอบให้เจาเจาช่วยดูแลขอรับ”
“ได้อย่างนี้ก็ดี” หลีกวงเหวินยิ้มตาพริ้มพยักหน้าหงึกหงักแล้วจู่ๆ ก็ชะงักกึก “ประเดี๋ยวก่อน! มิใช่สองพันตั้นหรือ ไฉนกลายเป็นห้าพันตั้นไปแล้ว”
เซ่าหมิงยวนกล่าวอธิบายด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ข้าละอายใจนัก ล้วนเป็นการพึ่งใบบุญของบิดาผู้ล่วงลับไปแล้วขอรับ”
ฮ่องเต้หมิงคังเลื่อนยศให้เจิ้นหย่วนโหวเป็นเจิ้นหย่วนกงในภายหลัง บรรดาศักดิ์นี้ย่อมตกทอดให้แก่บุตรชายเพียงคนเดียวคือเซ่าหมิงยวนเป็นธรรมดา เผอิญว่าฮ่องเต้ถูกใจกับสมัญญาว่า ‘กวนจวินโหว’ อย่างยิ่ง และเห็นว่าการเปลี่ยนสุ่มสี่สุ่มห้าจะส่งผลต่อดวงชะตา ด้วยเหตุนี้เลยเรียกขานเขาแบบเดิม แต่จริงๆ แล้วเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญทุกอย่างของเซ่าหมิงยวนเทียบเท่ายศกั๋วกงแล้ว
นับแต่ต้าเหลียงสถาปนาแผ่นดินมาจนบัดนี้ มีอยู่แค่ไม่กี่ตระกูลที่รั้งบรรดาศักดิ์เป็นกั๋วกง และได้เบี้ยหวัดประจำปีสูงจนน่าตกใจเช่นนี้
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้หมิงคังที่กำลังจำศีลอยู่จามทีหนึ่ง
ใกล้จะขึ้นปีใหม่อีกแล้ว เบี้ยหวัดบางส่วนที่ติดค้างขุนนางไว้เมื่อปีกลายตามหลักสมควรชดเชยให้ครบถ้วน คิดแล้วก็กลัดกลุ้มเหลือเกิน หรือว่าจำศีลข้ามปีไปเลยดีหรือไม่นะ
หลีกวงเหวินได้ยินคำอธิบายของลูกเขยก็งงงันไป
เบี้ยหวัดปีละห้าพันตั้น หนึ่งเดือนก็คือสี่ร้อยตั้นเศษ ส่วนเขาได้เดือนละแปดตั้น…
พอคิดไปเช่นนี้ หลีกวงเหวินชักเดือดเนื้อร้อนใจแล้ว
แตกต่างกันมากถึงเพียงนี้ นี่มิใช่จะบีบคั้นคนให้ลุกฮือต่อต้านหรือ
พอเห็นสีหน้าของสามีชักไม่เข้าที เหอซื่อหวั่นใจว่าเขาจะกล่าววาจาอะไรไม่เข้าท่าอีก นางจึงรีบพูดเอ็ดยิ้มๆ “ท่านพี่พูดเรื่องพวกนี้ไปด้วยเหตุใดกัน มิใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดสักหน่อย”
นางมอบสินเจ้าสาวให้บุตรสาวไปตั้งมากขนาดนั้น ต่อให้บุตรเขยได้เบี้ยหวัดเดือนละแปดตั้น บุตรสาวของนางก็อยู่อย่างสุขสบายได้ เรื่องที่แก้ไขได้ด้วยเงินทองล้วนไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ทั้งนั้น
หลีกวงเหวินถลึงตาใส่ภรรยาแวบหนึ่งอย่างฉับไว
มิใช่เรื่องสลักสำคัญหมายความว่าอะไร สตรีผู้นี้ไม่รู้จริงเลยพูดได้อย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน!
เซ่าหมิงยวนแสร้งทำไม่เห็นการส่งสายตาฟาดฟันกันระหว่างพ่อตาแม่ยาย หลังจากดื่มคารวะเหอซื่อแล้วก็ถึงคราวของหลีฮุย
พอเห็นเซ่าหมิงยวนยกจอกสุรา หลีฮุยลุกขึ้นยืนทันที สายตาของทุกคนที่จับจ้องมาทำให้เขาวางตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
“สุราจอกนี้ขอดื่มคารวะให้พี่ฮุย” เซ่าหมิงยวนดื่มสุรารวดเดียวหมดด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
หลีฮุยหน้าแดงก่ำทันใด “ทะ…ท่านโหวมิต้องเกรงใจ…”
แม้ว่าสามีของน้องสาวเรียกเขาว่า ‘พี่ฮุย’ จะไม่ผิด แต่คนตรงหน้าผู้นี้อายุมากกว่าเขาตั้งหลายปี เขายังเป็นลูกศิษย์ในสำนักศึกษาหลวงและต้องให้บิดามารดาดูแลคุ้มครอง ส่วนอีกฝ่ายคือกวนจวินโหวผู้โด่งดังลือลั่นไปทั่วแผ่นดิน
ได้ยินกวนจวินโหวเรียกขานตนว่า ‘พี่ฮุย’ เป็นความรู้สึกที่น่าหวาดหวั่นพรั่นใจโดยแท้
ด้านฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองดูอยู่ด้านข้างกลับพออกพอใจยิ่งขึ้น
กวนจวินโหวเรียกขานฮุยเอ๋อร์ซึ่งนับเป็นคนรุ่นเดียวกันอย่างยกย่องว่า ‘พี่ฮุย’ ได้ นี่บ่งชัดว่าหลานเจาเป็นคนสำคัญในใจเขาแล้ว
บุรุษผู้หนึ่งต้องรู้สึกรักใคร่ทะนุถนอมภรรยา ถึงจะให้ความนับถือต่อคนในครอบครัวของนาง
เมื่อกินอาหารเสร็จ หลีกวงเหวินกับบุตรชายอยู่ดื่มชารับรองท่านเขยต่อ ส่วนเฉียวเจาถูกเหอซื่อพาแยกออกไปสนทนากันตามประสาแม่ลูก
“เจาเจา สองวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยหรือไม่” เหอซื่อบอกให้สาวใช้ที่รอรับใช้อยู่ออกไป จับมือบุตรสาวไว้พลางไต่ถาม
เฉียวเจาผงกศีรษะ “ท่านแม่วางใจได้ ในจวนท่านโหวไม่มีผู้อาวุโส ไม่ว่าเรื่องใดข้าล้วนเป็นคนตัดสินใจ ไม่จำเป็นต้องปรับตัวให้คุ้นเคยกับอะไรเจ้าค่ะ”
ผู้ใดจะรู้ว่าเหอซื่อฟังแล้วกลับมองค้อนวงหนึ่ง “ใครถามเจ้าเรื่องนี้กัน”
เฉียวเจาชะงักไปเล็กน้อย นางมองมารดาอย่างฉงนใจ
เหอซื่อเหลือบมองหน้าประตูปราดหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าสาวใช้เฝ้าอยู่ข้างนอกไม่มีใครเข้ามาได้ นางหยิบหนังสือเล่มเล็กที่ห่อปกอย่างพิถีพิถันเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
เฉียวเจาเห็นการห่อปกที่คุ้นตาแล้วอึ้งงันไปอย่างช่วยไม่ได้
ในระหว่างที่นางนิ่งงันอยู่ เหอซื่อเปิดหนังสือเล่มเล็กออก พลิกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ได้ทำตามที่แม่แนะนำหรือเปล่า”
เฉียวเจาพูดไม่ออก “…”
“อย่ามัวแต่หน้าแดงไม่พูดไม่จาสิ นี่เป็นเรื่องสุขภาพร่างกายของสตรีกับผู้สืบสกุลซึ่งเป็นเรื่องใหญ่นะ”
“เปล่าเจ้าค่ะ” เฉียวเจาเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วน
ที่แท้มิได้มีแค่บทเรียนก่อนวิวาห์ ยังต้องตรวจทานหลังวิวาห์ด้วย!
“เปล่า?” เหอซื่อทำเสียงสูงทันใด “แบบนั้นจะได้อย่างไร แม่บอกแล้วว่ามิใช่หรือว่าเจ้ายังอายุน้อย ตอนสามีภรรยาร่วมหอกันจะสะเพร่าไม่ได้! แล้วหลังจากเสร็จเรื่องแล้วได้ใช้วิธีป้องกันหรือไม่ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ น้ำสมุนไพรป้องกันตั้งครรภ์ที่เหย้าเรือนทั่วไปให้อนุดื่มน่ะห้ามแตะต้องเชียว ยาสมุนไพรพวกนั้นดื่มมากๆ จะเสียสุขภาพอย่างเลี่ยงได้ยาก...”
ครั้นเห็นเหอซื่อตั้งท่าจะอบรมสั่งสอนต่อไปเรื่อยๆ เฉียวเจารีบเอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้าจะบอกว่า…พวกข้ายังไม่ได้…”
เพราะอะไรถึงมีมารดาที่มีความรับผิดชอบสูงเพียงนี้ ข้าขอเปลี่ยนคนได้หรือไม่