หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 746
บทที่ 746
เมื่อได้ยินบุตรสาวกล่าวคำนี้ เหอซื่อเบิ่งตาโตกะทันหัน “เจาเจา เจ้าหมายถึงว่า…พวกเจ้ายังไม่เข้าหอกันหรือ”
เฉียวเจามองไปทางหน้าประตูแวบหนึ่งทันที ห้องนี้คงกันเสียงได้ดีกระมัง
“เจาเจา เจ้าพูดสิ” เหอซื่อเริ่มร้อนใจ
เฉียวเจาพยักหน้ารับ
เหอซื่อตะลึงงันไปในทีแรก จากนั้นนางปิดปากอุทานเสียงเบา “สวรรค์ หรือว่าเสียงโจษจันในเมืองหลวงเป็นความจริง”
“เสียงโจษจัน?”
“ที่บอกว่าเขาหมดน้ำยา…”
เฉียวเจาไม่รู้จะร่ำไห้หรือหัวร่อดี “ท่านแม่ ไฉนท่านเชื่อเรื่องพวกนั้นได้เจ้าคะ”
“เช่นนั้นคือปกติ?” สีหน้าตกใจของเหอซื่อเปลี่ยนเป็นยินดี
“ปกติ…” แม่นางเฉียวถือคติว่าไหร้าวแล้วขว้างให้แตกไปเลย ขอเพียงมารดาอย่าพูดเรื่องนี้ต่อ นางยอมไร้ยางอายก็ได้
“ในเมื่อปกติ แล้วเหตุใด…”
“เขาบอกว่าจะรอข้าปักปิ่นเจ้าค่ะ”
เหอซื่ออึ้งงันไปแล้ววาดแขนโอบกอดบุตรสาวไว้กับอก กล่าวรำพึงขึ้นว่า “บุตรสาวข้ามีบุญยิ่งนัก”
เมื่อกลับถึงจวนโหว เซ่าหมิงยวนอมยิ้มดึงตัวเฉียวเจามาเอ่ยถาม “ท่านแม่ยายคุยเรื่องส่วนตัวอะไรกับเจ้าหรือ”
“เรื่องนี้ท่านก็ต้องถามด้วย” เฉียวเจาผลักเขาออก “ทั้งตัวมีแต่กลิ่นสุรา รีบไปชำระกายสิ”
“ไม่ไป” เซ่าหมิงยวนวางคางเกยต้นคอขาวผ่องของนาง สูดดมกลิ่นกายสาวเย้ายวนใจ “นอกจากเจ้าจะไปเพื่อนข้า”
เฉียวเจาไม่พูดจา นางเลิกคิ้วมองเขา
นี่คือจะเมาแล้วเกเร?
เพราะชายหนุ่มเมาสุราแล้ว พาให้นัยน์ตาดูฉ่ำปรือ ไม่หลงเหลือความสุขุมหนักแน่นในยามปกติให้เห็น เขาพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนคล้ายเด็กน้อย “เจาเจา ข้าดื่มสุราไปมาก”
“ดังนั้น?”
“ดังนั้นถ้าเจ้าไม่ไปชำระกายเป็นเพื่อน ข้าพลัดตกลงไปในถังอาบน้ำแล้วจะปีนออกมาไม่ไหว”
เฉียวเจาหลุดหัวเราะพรืด “ขาท่านออกจะยาว ไฉนจะปีนออกมาไม่ไหว”
“ถังอาบน้ำของข้าใหญ่มาก” เซ่าหมิงยวนแย้มยิ้ม ในดวงตาพราวระยับดุจแสงดาว เขากอดเอวนางไว้อย่างเอาแต่ใจ “เจาเจาคนดี ฮูหยินคนดีของข้า เจ้าไปเป็นเพื่อนข้าเถอะนะ”
“ปล่อยมือ”
“ไม่ปล่อย”
“ไม่ปล่อยจริงๆ หรือ…”
ไม่นานต่อจากนั้นเสียงกรนยาวๆ ดังลอยมา
เฉียวเจามองบุรุษที่เอาหน้าซุกบนหัวไหล่ตนนอนหลับไปแล้วอดอึ้งไม่ได้
“เซ่าหมิงยวน ท่านตื่นสิ”
คนที่ซบบนตัวนางย่อมไม่ขยับกายแม้สักนิดเป็นธรรมดา
“ข้าไปเป็นเพื่อนท่านก็หมดเรื่องมิใช่หรือ”
เซ่าหมิงยวนลืมตาพรึบ “จริงนะ”
เฉียวเจากำมือเป็นหมัดอย่างสุดระงับ นางหรี่ตามองเขา “เมื่อครู่แกล้งหลับหรือ”
ชายหนุ่มช้อนตัวนางขึ้นมาอุ้มไว้ทันที เขากล่าวกลั้วเสียงหัวเราะก้องกังวาน “ถึงอย่างไรเจ้าตอบตกลงแล้ว ห้ามกลับคำล่ะ”
“เซ่าหมิงยวน!”
ผ่านไปนานพักใหญ่ เซ่าหมิงยวนก็อุ้มหญิงสาวเดินออกจากห้องชำระกาย
เรือนผมที่พันเกี่ยวกันคล้ายสาหร่ายทะเลของเขากับนางเปียกแฉะมีน้ำหยดลงมาเป็นทาง อีกทั้งชะรอยว่าจะแช่น้ำนานเกินไป ใบหน้าของทั้งคู่ยังเป็นสีแดงเรื่อๆ
ปิงลวี่กับอาจูพาสาวใช้วัยเยาว์เข้าไปเช็ดถูห้องชำระกาย พอเห็นคราบน้ำกระจายทั่วพื้น ปิงลวี่มิได้รู้สึกอย่างไร ทว่าอาจูกลับหน้าแดงแจ๋ไปแล้ว
“อาจู เจ้าหน้าแดงด้วยเหตุใด”
เมื่อถูกปิงลวี่ถามเช่นนี้ อาจูก็หน้าแดงมากขึ้น ทำท่าอึกๆ อักๆ ไม่พูดจา
ปิงลวี่เอียงคอมองอาจูอย่างพินิจแล้วเกิดหัวไวนึกเหตุผลออกได้อย่างถูกจังหวะ พอนางคิดออกแล้วกลับรู้สึกขบขัน “อาจู เจ้าคงไม่ได้เห็นท่านเขยกับคุณหนูอยู่ด้วยกันเลยเขินอายกระมัง”
เดิมทีอาจูก็กระดากใจที่จะคุยเรื่องนี้กับปิงลวี่อยู่แล้ว แต่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางผ่อนคลายตามสบายก็อดถามขึ้นไม่ได้ “แล้วเจ้าล่ะ”
ปิงลวี่ปิดปากหัวเราะ “นี่จะมีอะไรกัน ก่อนคุณหนูออกเรือน แม่ข้าสั่งกำชับไว้เป็นพิเศษว่าพอคุณหนูแต่งงานก็จะไม่เหมือนเดิมแล้ว ห้ามตื่นตกใจเกินกว่าเหตุ อีกอย่างคุณหนูยังมิได้ให้พวกเราปรนนิบัติรับใช้ใกล้ตัวเลยนะ เจ้ายังอายถึงขนาดนี้ อย่างพวกสาวใช้ของเรือนอื่นที่เฝ้าผลัดดึกต้องนอนอยู่ด้านนอกห้องนะ ด้านในห้องทำอะไรอยู่ก็ได้ยินหมด ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้าคงนอนไม่หลับเลยสินะ”
อาจูหน้าร้อนซู่ นางขึงตาใส่ปิงลวี่
นางยิ่งเป็นอย่างนี้ ปิงลวี่ก็ยิ่งเย้าแหย่นาง “มิใช่เท่านี้นะ สาวใช้ผลัดดึกยังต้องคอยรอเจ้านายเรียกให้ตักน้ำเข้าไปให้ทุกเวลาอีกด้วย”
อาจูนิ่งขึงไป “แล้วคุณหนูของเรา…”
“เอาล่ะ เจ้าอย่าหนักใจไปเลย ท่านเขยของเราเป็นแม่ทัพนักรบ ไม่เคยชินให้ใครปรนนิบัติรับใช้ใกล้ตัว ดังนั้นพวกเราล้วนไม่ต้องอยู่เฝ้าผลัดดึกแล้ว”
เฮ้อ…ไม่ได้ยินคุณหนูกับท่านเขยพลอดรักคลอเคลียกัน ช่างน่าเสียดายจริงๆ ปิงลวี่คิดคำนึงในใจ
ในห้องนอน เฉียวเจารีบสวมเสื้อคลุมตัวนอกเสร็จแล้วยื่นมือไปหยิกสามีทีหนึ่ง “ล้วนเป็นเพราะท่านคนเดียว ชอบทำอะไรเหลวไหล ไม่เห็นหรือว่าพวกสาวใช้อึดอัดใจกันปานใด”
เซ่าหมิงยวนแหงนหน้ามองฟ้าเงียบๆ เขารักภรรยาของตนเอง หรือว่ายังต้องเป็นห่วงความรู้สึกของพวกสาวใช้ด้วย
“เอาเป็นว่าวันหลังห้ามทำเหลวไหลอีก”
เพราะเพิ่งได้แช่น้ำร้อนมา ผิวกายขาวอมชมพูของเด็กสาวจึงดูนวลเนียนชุ่มชื้นละม้ายผลลูกท้อมีน้ำค้างเกาะ เซ่าหมิงยวนก้มหน้าลงจูบทีหนึ่งก่อนรับคำอย่างโอนอ่อนคล้อยตาม “น้อมรับคำสั่งขอรับฮูหยินที่เคารพ วันหลังข้าไม่ทำเหลวไหลแล้ว”
อย่างมากคราวหน้าค่อยหาข้ออ้างเมาสุราอีกทีก็แล้วกัน
นับแต่จวนกวนจวินโหวมีประมุขหญิงปกครองเรือน คฤหาสน์ที่เคร่งขรึมเย็นเยือกในทีแรกเริ่มสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นทันใด
สตรีอาภัพที่พากลับมาจากชายทะเลแดนใต้พวกนั้นได้รับการปลดปล่อยจากตามมุมต่างๆ ในจวนตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ และเริ่มมีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นเรื่องเป็นราวสักที
นอกจากนี้ยังซื้อสตรีพื้นเพขาวสะอาดที่ทำงานฝีมือใช้ได้จากคนค้าทาสเข้ามาทำงานในจวนอีกไม่น้อย
เริ่มแรกอาจูกับปิงลวี่ยังระแวดระวังอยู่บ้าง พวกสาวใช้ที่ผ่านการอบรมสั่งสอนจากคนค้าทาสมาแล้วยังพอทำเนา น่ากลัวที่สุดคือหญิงสาวซึ่งเดิมเป็นสตรีมีสกุลที่ยังไม่สำเหนียกตนว่าเป็นสาวใช้ จะบังเกิดความคิดที่ไม่พึงมีต่อท่านเขยหนุ่มแน่นรูปงามของพวกนาง
แต่ต่อมาพวกนางก็พบว่าหญิงสาวเหล่านี้กลับขยันขันแข็งยิ่งกว่าสาวใช้หน้าใหม่ที่เพิ่งซื้อเข้าจวนมา ครั้นปิงลวี่ไปถามซอกแซกดูถึงได้ล่วงรู้เหตุผล
“พวกข้าชะเง้อคอรอคอยฮูหยินเข้าจวนจนเมื่อยคอไปหมดแล้ว ตอนนั้นท่านแม่ทัพบอกว่าในจวนล้วนเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ไม่ต้องให้พวกข้ารับใช้ บอกให้พวกข้าพักอยู่ในเรือนหลังหนึ่งปักผ้าไปก็พอแล้ว ฮูหยินมาเมื่อไรถึงอนุญาตให้ออกมาดูแลปรนนิบัติฮูหยินได้…” หญิงสาวทางแดนใต้นางหนึ่งแทบหลั่งน้ำตานองหน้าแล้ว
ต้องปักผ้าอยู่ในเรือนหลังเล็กมาหนึ่งปี เป็นพวกนางง่ายดายหรือไร!
ปิงลวี่ฟังแล้วหัวเราะคิกคักอย่างชอบใจ ก็ว่าแล้วว่าคุณหนูของนางตาแหลมถึงได้เลือกท่านเขย
วันเวลาในเดือนสิบสองดูเหมือนจะผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากเทศกาลล่าปา* บรรยากาศรอบตัวเริ่มมีกลิ่นอายของวันตรุษมากขึ้นทุกที
เฉียวเจาดูแลการงานในเรือนได้เชี่ยวชาญช่ำชองขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังได้พบปะกับเฉียวโม่และเฉียวหว่านอยู่เสมอ นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่นางอิสรเสรีที่สุดตั้งแต่ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
วันนี้เซ่าหมิงยวนกลับมาจากข้างนอก เฉียวเจาเดินเข้าไปรับเสื้อกันหนาวที่เขาถอดออกมาปัดเกล็ดหิมะที่เกาะอยู่ตามคอเสื้อขนสัตว์ออก นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ไม่กางร่มหรือ”
ฤดูหนาวปีนี้หิมะตกบ่อยมากจริงๆ เรียกได้ว่าแทบจะวันเว้นวันเลยทีเดียว
“ก็ตกไม่หนักมากเท่าไร เจาเจา เจ้าตามข้าเข้ามาในห้อง ข้ามีเรื่องพูดกับเจ้า”
พอเห็นเขาทำสีหน้าเคร่งขรึม เฉียวเจาส่งเสื้อกันหนาวให้อาจูแล้วเดินตามเขาเข้าไปในห้อง
เซ่าหมิงยวนดึงนางนั่งลงแล้วสอดมือเข้าอกเสื้อหยิบของชิ้นหนึ่งออกมาแกะผ้าที่ห่อไว้ด้านนอกออก
ดวงตาของหญิงสาวทอแววประหลาดใจเมื่อเห็นของในห่อผ้า นางอดหันไปมองเซ่าหมิงยวนไม่ได้
ของชิ้นนั้นคือสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาที่นางเคยมอบให้เขาก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ถิงเฉวียน หรือว่าท่านไขความลับที่ซ่อนอยู่ในสร้อยลูกประคำออกแล้ว”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม “ข้าไม่มีความสามารถในเชิงนี้หรอก ข้าเอามันไปให้ช่างประจำกองทัพที่เชี่ยวชาญการทำเครื่องมือเครื่องใช้สองคน สองพี่น้องคู่นั้นเดิมล้วนเป็นช่างฝีมือ คนพี่ถนัดเรื่องแกะสลัก คนน้องถนัดเรื่องเจียระไนอัญมณี แล้วความลับของสร้อยเส้นนี้เป็นคนพี่ที่ไขออกได้”