หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 763
บทที่ 763
เจ็ดวันต่อมารุ่ยอ๋องน้อมรับพระราชโองการออกจากเมืองหลวงมุ่งหน้าไปขอพรที่เขาหลิงไถแทนโอรสสวรรค์
ผ่านไปครึ่งเดือนเศษกลับมีข่าวด่วนส่งมาจากทางทิศใต้ว่าระหว่างเดินทางกลับจากขอพร รุ่ยอ๋องประสบเหตุคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบ บัดนี้ยังไม่พบร่องรอยของเขาและไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นหรือตาย
ในเมืองหลวงเกิดเสียงฮือฮาไปทั่ว
ครึ่งปีมานี้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าฮ่องเต้เห็นรุ่ยอ๋องเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ครานี้ส่งเขาไปขอพรที่เขาหลิงไถก็เพื่อสร้างผลงานความชอบเพิ่มขึ้น รอหลังจากกลับมาอาจได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทก็ไม่แน่
เพลานี้ยังไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องเป็นตายร้ายดีอย่างไร เช่นนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์…
สายตาของหมู่ขุนนางและผู้สูงศักดิ์ต่างจับจ้องไปที่มู่อ๋อง
ด้านมู่อ๋องนั้นนอกจากจะปีติยินดีแล้วยังฉงนใจอยู่สักหน่อย “หรือว่าฟ้าเข้าข้างพวกเรา นักฆ่าที่ส่งไปยังไม่ได้ลงมือ คนเคราะห์ร้ายอย่างเจ้าห้าก็เจอกับคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบแล้ว…”
ที่ปรึกษากล่าวอย่างสรรเสริญเยินยอ “สรรพสิ่งพึงควรเป็นไปตามสวรรค์ลิขิตพ่ะย่ะค่ะ”
สวรรค์ลิขิต? เช่นนั้นก็หมายความว่าข้าต่างหากคือผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เป็นฮ่องเต้ในวันหน้าที่ฟ้ากำหนดไว้
มู่อ๋องหัวเราะเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจกับถ้อยคำสรรเสริญเยินยอนี้
ไม่ต้องลงมือเองย่อมเป็นเรื่องดีแน่ เช่นนี้ก็ช่วยเบาแรงเขาไปมาก
คนที่เขาอยากสังหารให้ดับดิ้นถูกสวรรค์รับตัวไปแล้วโดยที่ตนเองไม่ทันได้ลงมือ ยังจะมีเรื่องที่น่าสำราญใจยิ่งกว่านี้อีกหรือ
ในจวนของหลันซาน สองพ่อลูกหารืองานกันอยู่ในห้องหนังสือ
“เหตุการณ์คนเร่ร่อนลุกฮือขึ้น นั่นเป็นฝีมือเจ้าหรือ” หลันซานเอ่ยถาม
หลันซงเฉวียนหยักยิ้มกล่าว “มิใช่ข้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้เล่าขอรับ หรือจะฝากความหวังกับมู่อ๋องคนเบาปัญญาผู้นั้นที่ส่งนักฆ่าไปลอบสังหารรุ่ยอ๋องเอาดื้อๆ ทำอย่างนั้นจะมิเท่ากับตกเป็นเป้าสายตาของคนทั่วแผ่นดินหรือ ดีไม่ดียังจะโดนฮ่องเต้ระแวงสงสัย แต่คนเร่ร่อนลุกฮือนั้นต่างกันออกไป ขณะนี้เกิดอุทกภัยข้าวยากหมากแพงหลายพื้นที่ จะมีคนเร่ร่อนก่อความไม่สงบกลับไม่แปลกประหลาดแต่อย่างใด”
หลันซานพยักหน้า เขากล่าวชมเชยวิธีการของบุตรชาย “ใช้แผนนี้ไม่เลวจริงๆ ทว่าคนที่ทำงานให้เจ้าเชื่อใจได้หรือไม่”
“ท่านพ่อวางใจได้ขอรับ ข้าว่าจ้างชาวยุทธ์ ถึงเวลาเสร็จงานแล้วจ่ายเงินก็เรียบร้อยขอรับ”
มาตรว่าหลันซานกับบุตรชายใช้มือเดียวปิดฟ้าในราชสำนักได้ แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นไม่เหมือนกับแม่ทัพนายกอง ยามที่จำเป็นต้องใช้กำลังแก้ไขปัญหา พวกบ่าวไพร่หรือผู้คุ้มกันในจวนกลับพึ่งพาอาศัยไม่ได้
“จำไว้ว่าต้องตกรางวัลก้อนใหญ่ๆ ด้วย” หลันซานพูดกำชับ
“เรื่องนี้ท่านพ่อสบายใจได้เลยขอรับ”
สองพ่อลูกสบตากันยิ้มๆ
เซ่าหมิงยวนไปจากเมืองหลวงพักหนึ่งแล้ว เป็นครั้งแรกที่เฉียวเจาเข้าใจว่าอันใดคือหนึ่งวันยาวนานดุจหนึ่งปี นางหมุนคลึงสร้อยข้อมือที่ร้อยจากเมล็ดมะกล่ำตาหนู* อย่างใจลอย
อาจูยืนอยู่นอกประตู กล่าวทอดถอนใจเบาๆ “คุณหนูของเราคิดถึงท่านเขยอีกแล้ว”
“นี่เจ้าดูออกเหมือนกันหรือ” ปิงลวี่ที่เดินมาจากข้างนอกถามพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
“มะกล่ำตาหนูกลมเกลี้ยงเรียงร้อย ข้าเฝ้าคอยคิดถึงจับจิตรู้หรือไม่” อาจูพึมพำเอื้อนเอ่ยกลอนบทนี้แล้วยิ้มบางๆ “เจ้าดูสิคุณหนูจับสร้อยมะกล่ำตาหนูเส้นนั้นทั้งวัน จะเพียงเพราะมันสวยหรือไร”
“สร้อยข้อมือสวยหรือไม่ข้าไม่รู้ เมล็ดมะกล่ำตาหนูแทนความคิดถึงหรือไม่ข้าก็ไม่เข้าใจ แต่ข้ามีสิ่งนี้” ปิงลวี่โบกสารในมือไปมา
อาจูชายตามองซองสารแวบหนึ่งแล้วผลักปิงลวี่เบาๆ “ยังไม่รีบนำสารไปให้คุณหนูอีก”
ปิงลวี่ยิ้มหน้าระรื่นวิ่งเข้าไป “ฮูหยิน สารถึงท่านจากท่านเขยมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายด้วยความยินดี นางรีบกระแอมเบาๆ เสียงหนึ่งกลบเกลื่อนก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบๆ “เอามาสิ”
ปิงลวี่เอาสารซ่อนไว้ข้างหลัง พูดด้วยรอยยิ้มหวานว่า “ฮูหยินมอบสร้อยมะกล่ำตาหนูเส้นนี้ให้ข้า ข้าก็จะให้สารแก่ท่านเจ้าค่ะ”
“กล้าต่อรองกับเจ้านายหรือ” เฉียวเจาเลิกคิ้วสูง แต่ยังคงโยนสร้อยข้อมือให้นางไป “เอาไป มิใช่ของดีอะไรสักหน่อย”
หึ…ดูทีว่าควรให้สาวใช้ผู้นี้ออกเรือนไปได้แล้ว ให้นางได้ลิ้มรสความคิดถึงใครผู้หนึ่งดูบ้าง
เฉียวเจารับซองสารไว้แล้วดึงแผ่นสารออกมาอ่านทันที
‘เจาเจาภรรยาข้า จากกันเดือนเศษคะนึงหาเจ้าทั้งยามฝันยามตื่น ข้าอยู่ที่แดนเหนือปลอดภัยดี จะกลับไปในอีกไม่ช้า…’
เมื่ออ่านทีละตัวอักษรๆ จนจบเฉียวเจาก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ นางหยิบพู่กันเขียนสารตอบ แต่พอเล่าถึงเรื่องรุ่ยอ๋องหายตัวไปก็หยุดชะงัก นางคิดๆ แล้วขยำแผ่นสารที่เขียนไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ทิ้งและหยิบกระดาษแผ่นใหม่
ตอนเขาไปออกรบเป็นช่วงเดียวกับรุ่ยอ๋องออกเดินทางจากเมืองหลวง รุ่ยอ๋องใช้หนี้น้ำใจในอดีตขอยืมองครักษ์ติดตามไปอารักขาหลายคน
เซ่าหมิงยวนเคยบอกนางว่ารุ่ยอ๋องลงใต้หนนี้มีภัยอันตรายรอบด้าน เขาใคร่ครวญในหลายๆ ด้านแล้วจะพยายามคุ้มครองให้รุ่ยอ๋องกลับมาอย่างปลอดภัยสุดกำลัง
ยามนี้รุ่ยอ๋องเป็นหรือตายยังไม่กระจ่างชัด บางทีอาจไม่ได้ง่ายดายเช่นที่เห็นภายนอก เพื่อความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง นางอย่าเอ่ยถึงในสารจะดีกว่า
เมื่อสอดแผ่นสารใส่ซองและปิดผนึกแล้ว เฉียวเจาลูบซองสารเบาๆ
‘จะกลับไปในอีกไม่ช้า’ ก็ไม่รู้ว่าตอนเขากลับมา ดอกท้อจะร่วงโรยแล้วหรือยัง
ในระหว่างที่เรื่องรุ่ยอ๋องหายตัวไปก่อคลื่นลมลูกใหญ่ไปทั้งเมืองหลวงก็มีข่าวลือหนึ่งแพร่สะพัดดุจไฟลามทุ่ง อีกทั้งเพราะเรื่องราวและตัวต้นเรื่องเป็นที่สนใจของผู้คน จึงโด่งดังครึกโครมกลบข่าวรุ่ยอ๋องประสบเคราะห์ร้ายไปในเวลาอันรวดเร็ว
หลังหลีกวงเหวินได้ยินได้ฟังโดยบังเอิญ เขาทำสีหน้าบูดบึ้งด้วยความโมโหโทโส ลากตัวเฉียวโม่ที่เพิ่งมาถึงที่ว่าการไปที่มุมหนึ่งก็เงื้อหมัดชกใส่เขาทันที
“ใต้เท้าหลี เหตุใดท่านถึงทำอย่างนี้” เฉียวโม่หลบหมัดของเขาแล้วถามอย่างงุนงง
“เจ้ายังจะถามข้าอีก หรือว่าเจ้าไม่ได้ยินเรื่องที่เล่าลือกันอยู่ข้างนอกพวกนั้น”
“เรื่องที่เล่าลือกัน?” ชายหนุ่มงุนงงยิ่งขึ้น
หลีกวงเหวินสังเกตเห็นสหายขุนนางไม่น้อยมองมาด้วยสายตาลุกวาว เขาบอกเสียงห้วนว่า “ตามข้ามา!”
ในหอน้ำชาไม่ไกลจากสำนักราชบัณฑิต เฉียวโม่ฟังคำบอกเล่าของหลีกวงเหวินแล้วมีสีหน้าเย็นกระด้าง
“ข่าวลือนี้เริ่มแพร่ออกมาได้เช่นไร คนผู้นั้นมีเจตนาที่ชั่วร้ายสกปรกจริงๆ ใต้เท้าหลี ท่านได้โปรดเชื่อข้า ข้ากับฮูหยินท่านโหวเป็นพี่น้องบุญธรรมกัน ข่าวลือต่ำทรามเหล่านั้นเป็นการปั้นน้ำเป็นตัวทั้งหมด!”
เฉียวโม่ยิ่งพูดยิ่งโกรธแค้น คนภายนอกถึงกับเล่าลือกันว่าเขากับน้องเจาสบช่องกวนจวินโหวไม่อยู่มีสัมพันธ์เกินเลยกัน ช่างเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี
หากเรื่องพรรค์นี้ยืนยันได้ว่าเป็นความจริง เขาเป็นบุรุษผู้หนึ่งอย่างมากก็อนาคตดับวูบ แต่น้องเจาเป็นสตรีถูกสาดโคลนเช่นนี้ ถ้าเบื้องบนนางยังมีบิดามารดาของสามีเฉกเหย้าเรือนทั่วไป ไหนเลยจะเหลือทางรอดอีก คงไม่แคล้วต้องโดนหย่าขาดอย่างหนีไม่พ้น
หลีกวงเหวินแค่นหัวร่อ “เรื่องนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอก ถึงข้าไม่เชื่อถือเจ้า แต่ข้าเชื่อใจบุตรสาวข้า ข้าเพียงจะถามว่าดีชั่วเจ้าก็เป็นขุนนางในราชสำนักแล้ว ไฉนต้องพักอยู่ในจวนโหวด้วยเล่า”
เฉียวโม่ได้แต่ยิ้มฝืดๆ กับคำถามของหลีกวงเหวิน
หลังเขาเข้าไปเป็นขุนนางในสำนักราชบัณฑิตเคยเอ่ยปากว่าจะย้ายออกจากจวนโหวไปอยู่ที่อื่น แต่น้องเจากับท่านโหวเหนี่ยวรั้งไว้ทุกทาง จนตอนหลังท่านโหวบอกว่ารอเมื่อออกทุกข์แล้วค่อยย้าย ให้พวกเขาสามพี่น้องได้อยู่ด้วยกันนานขึ้น เขาถึงได้ละความตั้งใจ
กระนั้นใช่ว่าจะไม่เป็นความประสงค์ส่วนตัวของเขาที่หมายอาศัยบารมีของกวนจวินโหวช่วยให้ปักหลักยืนในราชสำนักได้มั่นคงโดยไวที่สุด เพื่อจะได้มีกำลังต่อกรกับหลันซานและบุตรชายเร็วขึ้น
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น การสอบขุนนางประจำฤดูใบไม้ผลิจัดขึ้นทุกสามปี คนหนุ่มที่พรั่งพร้อมทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติมิใช่เขาเพียงผู้เดียว เหตุผลที่รองสมุหราชเลขาธิการสวี่ถูกตาต้องใจเขาเพียงเพราะเขาเป็นหลานของจอมปราชญ์เฉียวเจาที่ล่วงลับไปแล้วหรือไร
นี่เกรงว่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งเท่านั้น ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือกวนจวินโหวให้ความสนิทสนมต่อเขา ทำให้คนทั่วหล้าล่วงรู้ว่าสกุลเฉียวกับจวนโหวเป็นทองแผ่นเดียวกัน และความสัมพันธ์มิได้สิ้นสุดลงเพราะเฉียวซื่อลาจากโลกนี้ไปแล้ว
แต่ถ้าเขารู้ว่าการอาศัยอยู่ในจวนโหวจะมีข่าวลือพรรค์นี้แพร่ออกมาภายหลังล่ะก็ เขาขอย้ายออกไปแต่แรกแล้ว
“เจ้ารีบๆ ย้ายออกไปเสีย อย่าทำให้ชื่อเสียงของบุตรสาวข้าต้องมัวหมอง!” หลีกวงเหวินพูดด้วยสีหน้าถมึงทึง
คราแรกเขายังรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มผู้นี้ไม่เลวเลย ยังเสียดายว่าไม่มีบุตรสาวอีกสักคน บัดนี้ดูไปแล้วยังคงเป็นบุตรเขยของเขาที่ดีกว่า
“ใต้เท้าหลี ตอนนี้ยิ่งย้ายไม่ได้ขอรับ หาไม่แล้วจะมิใช่ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นวัวสันหลังหวะหรอกหรือ”
หลีกวงเหวินนิ่งขึงไป เขาคับอกคับใจอย่างยิ่ง “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะทำเช่นไร”
* เมล็ดมะกล่ำตาหนู ชาวจีนเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าถั่วแห่งความคิดถึง นิยมนำมาร้อยเป็นสร้อยข้อมือเพื่อเป็นของที่ระลึกของคนรัก