หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 767
บทที่ 767
หวังซื่ออายุปูนนี้และมีหลานแล้วกลับต้องหย่าร้างกับสามีกลับไปอยู่สกุลเดิม สร้างความอัปยศอดสูให้นางถึงขีดสุด อีกทั้งเพราะนางวางแผนเล่นงานฮูหยินของกวนจวินโหวจนส่งผลให้หลานชายถูกผู้คนหัวเราะเยาะยกใหญ่เช่นนี้ เป็นธรรมดาที่พี่สะใภ้จะชักสีหน้าใส่น้องสาวสามีที่กลับมาเพราะถูกสามีตัดขาด
แม้หวังซื่อทั้งอับอายทั้งโกรธเคืองก็ได้แต่ทนคับอกคับใจ ไม่นานนักก็ตรอมใจจนล้มป่วย ไม่ถึงสิบวันก็ลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใด คำกล่าวที่ว่า ‘ใครล่วงเกินฮูหยินของกวนจวินโหวเป็นต้องเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่’ เริ่มโจษจันกันในหมู่ฮูหยินของเมืองหลวงอย่างเงียบๆ วันแล้ววันเล่าก็แพร่กระจายออกไปทั่วจนแทบไม่มีคนไม่ล่วงรู้
หลังเจียงซื่อท่านเซียงจวินผู้เฒ่าแห่งจวนตะวันออกของสกุลหลีได้รับรู้ก็อดหัวเราะดังๆ สามเสียงมิได้ นางกล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ถึงหลานเจาของจวนตะวันตกจะชวนให้ชังน้ำหน้า แต่ดวงแรงถึงขั้นพิฆาตนางหญิงต่ำช้าหวังซื่อผู้นั้นได้ก็นับเป็นการทำความดีเรื่องหนึ่ง”
สาวใช้คนสนิทพูดผสมโรง “ใช่เจ้าค่ะ ยามนี้ผู้คนล้วนพูดว่าจะล่วงเกินนายหญิงสามไม่ได้ ถ้าใครล่วงเกินไม่ตายก็พิการเจ้าค่ะ”
เจียงซื่ออึ้งงันไป นางนึกถึงเรื่องที่ให้หลานสาวสวมรอยเป็นเฉียวเจาที่วัดต้าฝูในครั้งนั้นแล้วก็พลันหนาวยะเยือกในอก
จะอย่างไรท่านเซียงจวินผู้เฒ่าก็สูงวัยมากแล้ว นางครุ่นคิดอยู่ตลอดคืน วันรุ่งขึ้นก็ล้มป่วยเพราะเสียขวัญไป
เฉียวเจาย่อมไม่รู้ว่าท่านเซียงจวินแห่งจวนตะวันออกล้มป่วยครานี้มีสาเหตุมาจากตนเอง นางเริ่มสั่งให้คนปัดกวาดเช็ดถูจวนโหวทุกซอกทุกมุม เตรียมการต้อนรับเซ่าหมิงยวนกลับมา
คู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันหมาดๆ ต้องแยกจากกัน เป็นธรรมดาที่จะคิดถึงคะนึงหากันจับจิตจับใจ
ระหว่างที่กวนจวินโหวปราบปรามข้าศึกแดนเหนือได้แล้วยกทัพกลับเมืองหลวงก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าเมืองมาเงียบๆ
พวกเขามีเรือนกายสูงใหญ่แข็งแรง ท่าทางทะมัดทะแมงปราดเปรียว หากสังเกตให้ดีจะรู้ว่าไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆ อย่างแน่นอน
คนกลุ่มนี้มองหาโรงเตี๊ยมแล้วเข้าไปพัก ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งขมวดคิ้วกล่าวขึ้น “พี่ใหญ่ ตอนพวกเราไปเก็บเงินงวดสุดท้ายกับขุนนางแซ่หลัน ถ้าพวกเขาอ้างเหตุผลว่าไม่เห็นศพเลยไม่จ่ายเงินจะทำฉันใด”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกเรียกขานว่า ‘พี่ใหญ่’ มีรูปหน้าเหลี่ยมเป็นสัน ตรงหว่างคิ้วมีแผลเป็นรอยหนึ่งแลดูดุร้ายเหี้ยมเกรียม เขาได้ยินชายฉกรรจ์หน้าดำกล่าวเช่นนี้แววอำมหิตก็จุดวาบขึ้นในดวงตา “พวกเขากล้ารึ! ท่านอ๋องอายุสั้นผู้นั้นถูกดาบฟันตกลงไปในแม่น้ำยังจะรอดชีวิตอีกหรือ ไม่เห็นศพไม่จ่ายเงิน? นึกว่าพวกเราเป็นชาวบ้านตาสีตาสาที่ขุนนางพวกนี้จะกดขี่ข่มเหงได้ตามอำเภอใจหรือไร”
“จริงของท่าน ไม่จ่ายเงิน พวกเราก็ไม่ให้พวกเขาได้อยู่อย่างเป็นสุข” เห็นลูกพี่ใหญ่แสดงท่าทีแข็งกร้าว ชายฉกรรจ์หน้าดำถอนหายใจโล่งอก
“เอาล่ะ พวกเจ้านอนพักเอาแรงให้เต็มที่ คืนนี้ไปเก็บเงินกัน!”
ในห้องหนังสือของหลันซงเฉวียน เขากำลังสั่งกำชับบริวารคนสนิทอยู่ “คนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกอันธพาลท่องยุทธภพทั้งสิ้น ถึงเวลาอย่าพูดพล่ามมากความ รีบจ่ายเงินแล้วให้พวกเขากลับไปโดยไว”
“ใต้เท้าวางใจได้เลยขอรับ เตรียมตั๋วเงินไว้พร้อมแล้วตามที่ตกลงกันตั้งแต่แรก มูลค่าตั๋วสูงสุดไม่เกินสองร้อยตำลึง สามารถขึ้นเงินที่ร้านแลกเงินได้ทั่วแผ่นดิน”
“ไปเถอะ จำไว้ว่าอย่าออกหน้าเอง หาคนที่ไม่มีใครรู้จักสักสองสามคนไปแทน เสร็จเรื่องแล้วจะฆ่าปิดปากหรือส่งตัวไปไกลๆ เจ้าจัดการไปตามที่เห็นสมควร” หลันซงเฉวียนบอกให้คนสนิทออกไปแล้วปลอดโปร่งโล่งใจไม่น้อย เขากลับเรือนพำนักและเรียกอนุสองนางมาปรนนิบัติเขากินลิ้นจี่
ลิ้นจี่ลูกอวบๆ ปอกเปลือกแล้วเห็นเนื้อสีขาวใสกระจ่าง นิ้วเรียวกลมกลึงของหญิงงามหยิบลูกหนึ่งป้อนใส่ปากหลันซงเฉวียน
เขาเคี้ยวสองสามทีแล้วพ่นเมล็ดลิ้นจี่ใส่หน้าหญิงงามแล้วพูดเสียงเยาะๆ “ปรนนิบัติไม่ได้เรื่อง ไสหัวออกไป เปลี่ยนคน”
อนุที่โดนดุด่าทำหน้าเสีย พร่ำพูดขอขมาแล้วขอตัวออกไป
หญิงงามอีกคนหนึ่งกระวีกระวาดปอกเปลือกลิ้นจี่ จากนั้นใช้ปากเล็กๆ สีแดงปานผลอิงเถาป้อนมันไปที่ปากของหลันซงเฉวียน เขาถึงกินอย่างพออกพอใจ
เดือนมืดลมแรง ด้านนอกจวนของหลันซานมีคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยเสียงต่ำเบา “หัวหน้า มีคนออกมาแล้ว”
เซ่าจือที่แปลงโฉมแล้วส่งสายตาบอก คนหลายคนก็ตามเขาไปเงียบๆ รอจนกระทั่งสามคนนั้นเดินลับๆ ล่อๆ ไปถึงที่เปลี่ยวค่อยลงมือจับกุมตัวไว้แล้วลากเข้าไปในเรือนชาวบ้านที่เช่าไว้ล่วงหน้าอย่างรวดเร็ว
ถึงอย่างไรคนของหลันซงเฉวียนก็เทียบชั้นคนที่ฝึกฝนเคี่ยวกรำมาจากกองทัพไม่ได้ ใช้ฝีไม้ลายมือเพียงเล็กน้อยก็เค้นถามว่านัดพบที่ใดและข้อความลับที่นัดแนะไว้คืออะไรได้ทั้งหมดแล้ว
เซ่าจือกับผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนช่วยกันปิดปากมัดตัวสามคนนั้นอย่างแน่นหนา ก่อนจะหยิบกล่องตั๋วเงินแล้วรุดไปยังจุดนัดหมาย
สถานที่ที่ทั้งสองฝ่ายนัดมอบตั๋วเงินกันคือเรือนร้างที่ถูกทิ้งว่างไว้เพราะลือกันว่าผีดุหลังหนึ่ง อย่าว่าแต่ในยามค่ำคืน ต่อให้เป็นเวลากลางวันแสกๆ คนทั่วไปล้วนเดินอ้อมไปอีกทาง จึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะมีคนผ่านมาพบเห็นเข้าโดยบังเอิญ
พอเล็ดลอดเข้าไปเรือนร้างแล้ว องครักษ์ผู้หนึ่งกล่าวอย่างขันๆ “นับถือเจ้าพวกนั้นจริงๆ ที่เสาะหาที่เช่นนี้ได้”
“เอาล่ะ อย่าพูดมาก จัดการเรื่องที่ท่านแม่ทัพมอบหมายให้ดีถึงเป็นสิ่งสำคัญ” เซ่าจือเอ็ดเสียงเบาๆ
ผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนไม่กล้าพูดเล่นอีก ต่างติดตามเซ่าจือไปยังเรือนหลังใหญ่ที่เก่าผุพัง
ห้องหนึ่งในนั้นมีแสงไฟสลัวๆ ทั้งสามเดินไปทางนั้น จู่ๆ ก็มีกระแสพลังรุนแรงสายหนึ่งพุ่งมาโจมตี
ทั้งสามฝืนควบคุมตนเองไว้ไม่ให้เบี่ยงหลบ
“หยุดนะ!” มีดสั้นเย็นเฉียบจ่อตรงกลางอกพวกเขาพร้อมเสียงตวาดห้วนจัดดังลอยมา
เซ่าจือชูสองมือขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ
อีกฝ่ายกระแอมให้คอโล่งแล้วเอ่ยถามทันที “ผู้มาเยือนคือเทพเอ้อร์หลางหรือไม่”
เซ่าจือกล่าวตอบอย่างจริงจัง “มิใช่ ข้าคือจ้าวกงหมิง”
“เข้าไปเถอะ” เมื่อตอบข้อความลับถูกต้อง อีกฝ่ายก็เก็บมีดสั้นลงไป
เซ่าจือลอบยิ้มย่องในใจที่ตนมิได้เผลอตัวหัวเราะออกมาเมื่อครู่นี้ เขาพาผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนเดินเข้าไป
ด้านในห้องจุดตะเกียงน้ำมันไว้ดวงเดียว มีชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนบ้างนั่งบ้างยืนเบียดเสียดกันจนเต็มห้อง
เมื่อทั้งสามคนเข้าไป ในห้องเงียบกริบทันควัน ชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมที่นั่งอยู่ตรงกลางไต่ถามขึ้น “นำเงินมาแล้วใช่หรือไม่”
เซ่าจือยิ้มทักทายก่อนกล่าว “ตั๋วเงินย่อมเตรียมไว้พร้อมแต่แรกแล้ว แต่หนนี้มิได้นำติดตัวมา”
ชายฉกรรจ์หน้าดำตบโต๊ะสุดแรง “ไม่นำเงินมาแล้วพวกเจ้ามาทำอะไร เป็นกับแกล้มสุราให้พวกข้ารึ”
เซ่าจือเผยสีหน้าตื่นกลัวอยู่หลายส่วน แต่แสร้งทำเยือกเย็นกล่าวว่า “ใต้เท้าของพวกข้าบอกว่าอยู่ต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ แค่พวกท่านบอกว่างานสำเร็จแล้วพวกข้าก็มอบเงินให้คงมิได้หรอก”
“นี่คือไม่เชื่อใจพวกข้าหรืออย่างไร”
“มิใช่ไม่เชื่อใจ มือหนึ่งจ่ายเงินมือหนึ่งรับสินค้า นี่เป็นธรรมเนียมปกติของทุกที่”
“สินค้าของพวกเจ้าตกแม่น้ำไปแล้วจะให้พวกข้ามอบให้ได้อย่างไร”
“นั่นไม่ใช่ปัญหาของใต้เท้าของพวกข้า” เซ่าจือราดน้ำมันลงกองไฟ
เช้ง!
เสียงชักดาบดังขึ้น ชายฉกรรจ์หน้าดำชี้หน้าเซ่าจือพลางด่าทอ “เจ้าตัวเหม็น ข้าว่าวันนี้เจ้าไม่อยากเดินออกจากประตูนี้แล้ว!”
“หรือว่าพวกท่านคิดสังหารคน ใต้เท้ายังรอพวกข้ากลับไปรายงานตัว หากไม่เห็นพวกข้า เกรงว่าท่านทั้งหลายก็อย่าหมายจะได้ออกจากเมืองเลย”
“เจ้า…” ชายฉกรรจ์หน้าดำเงื้อดาบจะฟันใส่
ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าห้ามชายฉกรรจ์หน้าดำไว้ เขาเพ่งมองเซ่าจือก่อนเอ่ยถามเสียงเย็นๆ “กล่าวเช่นนี้พวกท่านไม่คิดจะให้เงินส่วนที่เหลือใช่หรือไม่”
เซ่าจือหยักยิ้ม “ขอย้ำคำเดิม พวกท่านมอบสินค้า พวกข้าจ่ายเงิน”
“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าเสีย!”
“ปล่อยพวกเขาไป” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวเสียงกระด้าง
“พวกเรากลับ” เซ่าจือแสดงท่าทางโล่งใจ พาผู้ใต้บังคับบัญชาสองคนจากไปอย่างว่องไว
ชายฉกรรจ์หน้าดำโกรธจนสีหน้าบึ้งตึงมากขึ้น “พี่ใหญ่ พวกนั้นคิดจะโกงเงินชัดๆ!”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์แค่นหัวเราะ “ปลิ้นปล้อนตลบตะแลงเป็นลูกไม้ถนัดของพวกขุนนางลิ้นสองแฉกอยู่แล้ว ดีที่พวกเราก็มิใช่มะพลับนิ่ม คิดจะให้ข้าจำยอมเสียเปรียบอย่างนี้ ฝันไปเถอะ!