หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 773
บทที่ 773
เฉียวเจาได้รับข่าวแล้วว่าเซ่าหมิงยวนจะมาถึงชานเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้
วันต่อมาสามพี่น้องตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังเตรียมตัวพร้อมพรักเฉียวเจากับน้องสาวนั่งรถม้า ส่วนเฉียวโม่ขี่ม้ามุ่งหน้าไปชานเมืองหลวงพร้อมกัน
ตลอดทางเฉียวหว่านมีท่าทางตื่นเต้นอย่างยิ่ง “พี่หลี พี่เขยรู้ว่าคนชั่วแซ่หลันโดนประหารยึดทรัพย์สินแล้วจะต้องดีใจมากแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ”
พอเห็นดวงตาเป็นประกายระยับดุจดวงดาวของดรุณีน้อยแล้ว เฉียวเจาก็พยักหน้ายิ้มๆ “ใช่แล้ว เขาต้องดีใจมากแน่ๆ”
หลันซานกับบุตรชายถูกโค่นลงเป็นผลจากความพยายามของหลายฝ่าย แน่นอนว่ายังขาดกลอุบายของเซ่าหมิงยวนไปเสียไม่ได้ โจรป่าพวกนั้นกับหลันซงเฉวียนผิดใจกันก็เป็นฝีมือของเขาเอง
ครั้นคิดถึงว่าใกล้จะได้พบหน้าเขา เฉียวเจาก็แช่มชื่นเบิกบานใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากอย่างห้ามไม่อยู่
เฉียวหว่านกะพริบตาปริบๆ นางปิดปากพูดอย่างขบขัน “พี่หลี ท่านต้องคิดถึงพี่เขยมากแน่ๆ เลย”
เฉียวเจาเพียงยิ้มไม่กล่าววาจา นางย่อมจะพูดจาส่งเดชต่อหน้าแม่นางน้อยไม่ได้ แต่ให้นางพูดไม่ตรงกับใจก็ไม่ใคร่ดีอีก
เสียงฝีเท้าม้ากุบกับๆ ดังใกล้เข้ามา เฉียวเจาฟังออกว่าไม่ใช่เฉียวโม่ นางยกมือเลิกม่านหน้าต่างขึ้น เห็นเงาร่างสง่าผึ่งผายขี่ม้าตรงมาหา ไม่นานนักก็ถึงข้างรถม้าแล้วชะลอความเร็วลง เขาเอ่ยทักทายเฉียวโม่ “ไปรับถิงเฉวียนรึ”
ผู้ที่มาคือฉือชั่นนั่นเอง
หลังจากโค่นล้มสองพ่อลูกสกุลหลันแล้ว เขาก็มีน้ำหนักในใจเหล่าขุนนางไม่เหมือนเดิม สองวันนี้เขาดูคึกคักฮึกเหิมเหลือจะกล่าว
เฉียวเจาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบุรุษที่สดใสร่าเริงในตอนนี้กับคนที่มีความคับข้องใจเต็มอกหลังเมาสุราเมื่อหลายวันก่อนเป็นคนคนเดียวกัน
นางมองดูพี่ชายที่พูดโต้ตอบกับฉือชั่นด้วยสีหน้าท่าทางสบายอารมณ์แล้วอดรำพึงรำพันในใจไม่ได้ บุรุษต้องได้สร้างคุณความดีที่ยิ่งใหญ่ ถึงทำให้ความคิดเปิดกว้างและปล่อยวางจิตใจ
ขณะที่หญิงสาวคิดคำนึงอยู่ ฉือชั่นก็หันมามองนางแล้ว
“พี่ฉือ” เฉียวเจาคลี่ยิ้มก่อนกล่าวทักทาย
ฉือชั่นคล้ายคิดไม่ถึงว่านางจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องไม่น่าอภิรมย์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นานโดยสิ้นเชิง เขานิ่งขึงไปอึดใจหนึ่งถึงแย้มยิ้ม
คนทั้งกลุ่มออกจากประตูเมืองทิศเหนือแล้วไปถึงแผงร้านน้ำชาแห่งหนึ่งริมถนนหลวงนอกเมืองในเวลาอันสั้น
พวกเซ่าจือรอคอยอยู่ที่นั่นแล้ว พอเห็นเฉียวเจามาถึงก็รีบเข้าไปแสดงคารวะต่อนายหญิง
เฉียวเจาก้าวลงจากรถม้าโดยมีอาจูกับปิงลวี่ประคองซ้ายขวา นางทอดสายตามองไปข้างหน้าไกลๆ “ท่านแม่ทัพจะมาถึงเมื่อใดหรือ”
ถนนหลวงราบเรียบกว้างขวาง สองฝั่งมีต้นไม้ร่มรื่น ไกลออกไปยังเห็นผืนสีเขียวชอุ่มทอดตัวยาวเหยียดไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อมองต่อไปทางด้านข้างตรงที่ไกลๆ จะเป็นขุนเขาสีเขียวสูงต่ำสลับกันไป ในฤดูกาลนี้พฤกษ์พรรณกำลังบานสะพรั่ง ดอกไม้ป่าที่ขึ้นเต็มเนินเขาละม้ายพรมบุปผาสีสันสดสวยปูลาดตามภูเขาติดๆ กันไปผืนแล้วผืนเล่า ยังเห็นรถม้าหลายคันจอดเยื้องลดหลั่นกันไปอยู่ตรงนั้นได้รำไร น่าจะเป็นสตรีจากตระกูลใดสักตระกูลออกมาท่องชมธรรมชาติ
เฉียวเจาสูดอากาศเจือกลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าเบาๆ แล้วรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งทันใด
“เมื่อครู่ได้รับข่าวว่าท่านแม่ทัพน่าจะมาถึงในอีกราวหนึ่งชั่วยามขอรับ ฮูหยิน ท่านนั่งดื่มน้ำชาก่อนเถอะ” เซ่าจือยกม้านั่งยาวตัวหนึ่งมาเช็ดๆ ด้วยแขนเสื้อและค่อยเชิญเฉียวเจานั่งลง
ยามอยู่นอกเรือนเฉียวเจาย่อมต้องไม่จู้จี้พิถีพิถัน นางกล่าวขอบคุณคำหนึ่งแล้วทรุดตัวนั่ง
เฉียวโม่กับฉือชั่นนั่งเก้าอี้อีกตัว พวกเขาดื่มชาไประหว่างรอคอย
เฉียวหว่านอุดอู้อยู่ในจวนโหวมานาน พอได้ออกมาเปิดหูเปิดตาอย่างหาได้ยาก ดวงตาของนางมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่จู่ๆ ก็ย่นหัวคิ้วเข้าหากันก่อนจะกระตุกแขนเสื้อของเฉียวเจา
“พี่หลี ท่านดูทางโน้นสิ คนพวกนั้นแปลกประหลาดเหลือเกิน ไฉนเดินทางไกลยังพาเด็กเล็กและผู้เฒ่าผู้แก่ไปกันหมดทั้งครอบครัวด้วยเล่าเจ้าคะ”
เฉียวเจามองแวบหนึ่งโดยไม่ตั้งใจแล้วอดนิ่งขึงไปไม่ได้
กลุ่มคนที่กำลังตรงมาทางที่พวกนางอยู่นี้มีมากถึงหลายสิบคน เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นครอบครัวใหญ่ ด้านหน้าสุดเป็นรถม้าเก่าโทรมคันหนึ่ง ตามมาด้วยเกวียนไร้ประทุนอีกสองสามเล่ม ซึ่งวางข้าวของสัพเพเหระเป็นกองๆ จนเต็ม มีเด็กน้อยหลายคนนั่งอยู่ตามที่ว่าง
ด้านหลังมีบุรุษสตรีทั้งเด็กและคนชราเดินตามมา พวกบุรุษมีสีหน้าชืดชา ส่วนพวกสตรีดวงตาแดงก่ำ หากมิใช่เพราะไม่เห็นธงขาวและไม่ได้ยินเสียงดนตรีโศกเศร้า ยังนึกว่านี่เป็นขบวนแห่ศพ
มีสตรีวัยเยาว์หลายคนถูกห้อมล้อมไว้อยู่ตรงกลาง เฉียวเจาจดจำได้ทันใดว่าหนึ่งในนั้นคือหลันซีหนง
คล้ายว่ารับรู้ได้ถึงสายตาคนมองมา หลันซีหนงซึ่งเดินอยู่กลางขบวนคนยาวเหยียดพลันช้อนตาขึ้นมองสบสายตาของเฉียวเจา
ชั่วพริบตานั้นในใจเฉียวเจาปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายหลากเป็นพิเศษ
ในหมู่สตรีชั้นสูงของเมืองหลวง หลันซีหนงก็เหมือนกับเจียงซือหร่าน มีชีวิตอย่างสูงศักดิ์ยิ่งกว่าองค์หญิงที่แท้จริงเสียอีก นางอยู่อย่างมีเกียรติสูงส่งมาสิบกว่าปี กลับตกอับถึงขั้นที่ไม่มีแม้แต่รถม้าให้นั่ง
“พี่รอง เหตุใดถึงไม่เดินเจ้าคะ” เด็กสาวนางหนึ่งด้านข้างหลันซีหนงเอ่ยถาม
หลันซีหนงไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย นางมองเฉียวเจาโดยไม่กะพริบตา
ม่านหน้าต่างรถม้าด้านหน้าสุดถูกแหวกออกกะทันหันเผยให้เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นคล้ายเปลือกไม้
ดวงตาฝ้าฟางของหลันซานจับจ้องอยู่ที่ตัวฉือชั่นกับเฉียวโม่แล้วพลันเปล่งประกายวูบหนึ่งก่อนจะหม่นแสงลงอย่างรวดเร็ว เขาปล่อยม่านหน้าต่างลงอย่างเงียบงัน
ฉือชั่นแค่นหัวร่อ “สวรรค์มีตาโดยแท้ ให้พวกเราได้เห็นภาพตอนหลันซานออกจากเมืองหลวงอย่างสิ้นไร้ไม้ตอก”
“สวรรค์มีตาจริงๆ” เฉียวโม่กวาดตามองผ่านชาวสกุลหลันทั้งเด็กและคนชราอย่างเฉยเมย นัยน์ตาไร้รอยกระเพื่อมไหวใดๆ สักกระผีก
ตอนหลันซานกับบุตรชายบงการให้สังหารคนในครอบครัวของเขาทั้งหมด ไม่เคยคิดว่าไม่สมควรเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามใจชอบ ตอนชาวสกุลหลันทั้งเด็กและคนชราเสวยสุขบนกองเงินกองทองก็ไม่เคยใคร่ครวญว่าชีวิตที่หรูหรามั่งคั่งแลกมาจากการกินเลือดกินเนื้อคนอื่น
ในเมื่ออยู่อย่างร่ำรวยมีเกียรติได้ก็พึงทนความยากจนข้นแค้นได้ นี่ยุติธรรมดีแล้ว
เฉียวเจาถอนใจเบาๆ “พี่ใหญ่ ขอยืมขลุ่ยหยกของท่านหน่อยนะเจ้าคะ”
เฉียวโม่ปลดขลุ่ยหยกตรงเอวออกยื่นส่งให้นาง
ขลุ่ยหยกที่อยู่ในมือเย็นเล็กน้อย เฉียวเจายกมันขึ้นจรดริมฝีปากแล้วเริ่มเป่าบรรเลง
เสียงขลุ่ยพลิ้วหวานนุ่มละมุนดังลอยไปกระทบหูหลันซีหนงประหนึ่งสายลมโชยผ่าน เป็นบทเพลง ‘ลาจากจร’ อันโด่งดังของราชวงศ์ก่อน
นางกับหลันซีหนงต่างอยู่ในชุมนุมฟู่ซาน หากมิใช่ทั้งสองเกิดมาในครอบครัวที่เป็นศัตรูกัน บางทีอาจกลายเป็นสหายกันได้ แต่ในสภาพการณ์เฉกนี้ไม่เหมาะสมที่จะพูดคุยสนทนากัน เช่นนั้นนางขอกล่าวอำลาด้วยบทเพลงเถอะ
เสียงขลุ่ยอ้อยส้อยแว่วไกลสะท้อนก้องกลางป่าเขา แววตาของหลันซีหนงไหวระริก นางเผยรอยยิ้มบางๆ จากนั้นก้าวขาเดินไปข้างหน้า
“ถุย!” เจ้าของแผงน้ำชามองดูชาวสกุลหลันเดินห่างไปไกลแล้วทำเสียงถ่มน้ำลายดังๆ พอเห็นพวกเฉียวเจามองมา เขารีบเอ่ยอธิบาย “ชาวสกุลหลันเป็นเภทภัยของต้าเหลียงเรา แต่ตอนนี้หมดเรื่องแล้ว วันหน้าทุกคนก็จะอยู่ดีมีสุข ฮึ…ใครจะคาดถึงว่าพวกเขาจะผ่านมาทางนี้เล่า ถ้าเกิดล่วงละเมิดเหล่าผู้สูงศักดิ์ขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องใหญ่…”
เฉียวเจาดึงสายตาคืน นางหมดความสนใจจะฟังต่อ
หลันซานกับบุตรชายเป็นคนชั่วช้าต่ำทราม แต่ถ้อยคำพรรค์นี้ฟังไปก็ไร้ความหมายใดจริงๆ
เสียงฝีเท้าม้าถี่กระชั้นดังมาจากทางเบื้องหน้าไกลๆ เงาร่างสีขาวเงินสายหนึ่งห้อตะบึงเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที
ฉือชั่นลุกขึ้นยืนทันใด “ถิงเฉวียนมาแล้ว”
อาชาพ่วงพีวิ่งเร็วฉิวดุจลมกรด ชั่วอึดใจก็มองเห็นรูปโฉมโนมพรรณของผู้มาถึงได้ชัดถนัดตา
หมวกเกราะสีเงินกับเสื้อคลุมสีแดง ผู้มาถึงคือเซ่าหมิงยวนนั่นเอง
ฉือชั่นพลิกกายขึ้นขี่ม้าไปหา
เซ่าหมิงยวนดึงสายบังเหียนพลางถามพร้อมรอยยิ้ม “จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว?”
ฉือชั่นยกยิ้มแล้วพยักหน้า “เรียบร้อย!”
พวกเขาสบตากันยิ้มๆ ยื่นแขนไปตบมือกัน
เซ่าหมิงยวนมองไปทางเฉียวเจา
สายตาแรงกล้าที่มองมาของเขาทำให้หญิงสาวหน้าร้อนซู่อย่างไร้สาเหตุ นางเอ่ยถามส่งเดช “ไฉนมีท่านคนเดียวเล่า”
“ข้าใจร้อน ทิ้งพวกเขาไว้ข้างหลัง” กล่าวจบเซ่าหมิงยวนก้มตัวยื่นมือไปกุมข้อมือของเฉียวเจา ออกแรงทีเดียวก็ดึงตัวนางขึ้นมาอยู่บนหลังม้าแล้ว
เข้าสู่อ้อมแขนที่คุ้นเคยในชั่วพริบตาเดียว ทำให้นางตั้งตัวไม่ติดอยู่สักหน่อย “ถิงเฉวียน?”
เสียงหัวเราะก้องกังวานของบุรุษดังขึ้นริมใบหู “ฮูหยิน พวกเราควรกลับเรือนได้แล้ว”