หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 774
บทที่ 774
เฉียวเจาหน้าแดงเรื่อๆ นางนั่งอยู่หน้าตัวชายหนุ่ม หลุบตาลงมองฝ่ามือใหญ่ข้างที่กุมสายบังเหียนไว้โดยไม่พูดไม่จา
ฉือชั่นเห็นแล้วอดฉงนใจไม่ได้
ครั้งนั้นเขาจะไปที่จยาเฟิง แม่เด็กน้อยผู้นี้รบเร้าจะตามไปด้วยให้ได้ ตอนขี่ม้าตัวเดียวกันก็ไม่เห็นนางเขินอายเลย
นี่คือยิ่งโตยิ่งหน้าบางหรือไร
หลังงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ฉือชั่นมองดูสีหน้ายิ้มแย้มชื่นบานของสหายรักแล้วแค่นเสียงฮึ “ระวังหน่อย ยังกลางวันแสกๆ”
เซ่าหมิงยวนกลั้นยิ้มไม่อยู่ “เจ้าสนใจเรื่องพรรค์นี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ฉือชั่นกลอกตาขึ้น “ข้าไม่สนใจหรอก แต่เจ้าเป็นถึงกวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ แม่ทัพใหญ่ที่ซื่อตรงเคร่งครัดในใจราษฎรต้าเหลียง”
เซ่าหมิงยวนก้มหน้ามองเฉียวเจาแวบหนึ่งแล้วกระชับวงแขนที่รัดรอบเอวนางให้แน่นขึ้น เขากล่าวด้วยรอยยิ้มพราย “แม่ทัพใหญ่ที่ซื่อตรงเคร่งครัดก็ต้องตบแต่งภรรยามีบุตรเหมือนกัน รักและทะนุถนอมภรรยาของตนเองเป็นสิ่งถูกต้องชอบธรรม มิใช่กงการอะไรของผู้อื่น”
ก่อนหน้านี้เขากับนางเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนย่อมไม่อาจออกนอกกรอบประเพณีสักก้าว บัดนี้เป็นสามีภรรยากันแล้ว ภรรยามารับสามีที่ยกทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ ทั้งคู่จะขี่ม้าตัวเดียวกันกลับเรือนมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
ฉือชั่นเห็นแล้วขัดนัยน์ตายิ่ง เขาจึงหนีบขากระทุ้งท้องม้าให้วิ่งควบจากไป
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม เขาหันไปมองเฉียวโม่ “พี่เฉียวโม่ ข้าพาเจาเจากลับไปก่อนนะขอรับ”
“ไปเถอะ” เฉียวโม่กล่าวยิ้มๆ น้องเจากับท่านโหวรักใคร่กลมเกลียวกัน เป็นภาพที่เขาปรารถนาจะได้เห็นอย่างแน่นอน
เฉียวหว่านจับจ้องมองตามอาชาสองตัวควบฝีเท้าตามหลังกันไปทิ้งฝุ่นตลบอบอวลไว้เบื้องหลัง ดวงตาของนางเป็นประกาย “พี่ใหญ่ พี่เขยดีต่อพี่หลีจริงๆ เลยนะเจ้าคะ”
เฉียวโม่ก้มหน้ามองนาง ไต่ถามเสียงนุ่มว่า “อิจฉาแล้วหรือ”
เฉียวหว่านพยักหน้าแรงๆ “อิจฉาแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ก่อนข้าเห็นท่านพ่อท่านแม่อยู่ร่วมกันอย่างให้เกียรติซึ่งกันและกันก็รู้สึกว่าดีอย่างยิ่งแล้ว ตอนนี้เห็นพี่เขยกับพี่หลีถึงรู้ว่าที่แท้ระหว่างสามีภรรยายังใกล้ชิดผูกพันกันอย่างนี้ได้ด้วย”
เฉียวโม่อึ้งงันไปเล็กน้อย เขาเพิ่งตระหนักได้ว่าน้องสาวคนเล็กค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้นแล้ว เขาหยักยิ้มกล่าวว่า “พี่ใหญ่ลืมไปว่าหว่านวานของพวกเราอีกไม่นานก็ควรจะออกเรือนได้แล้ว”
ดวงหน้าเล็กๆ ของเฉียวหว่านแดงก่ำในพริบตา “พี่ใหญ่พูดจาอะไรเหลวไหล”
ดรุณีน้อยพูดแล้วกลอกตาไปมา นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พวกเราออกทุกข์แล้ว พี่ใหญ่ก็อายุตั้งมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะหาพี่สะใภ้สักคนให้ข้าได้เมื่อไรกันเจ้าคะ”
“พี่สะใภ้น่ะต้องมีอยู่แล้ว” เฉียวโม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มจางๆ
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อมีพี่สะใภ้แล้ว พวกเราสมควรย้ายออกจากจวนโหวใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวโม่มองนางอย่างจริงจัง “หว่านวานหักใจไม่ได้หรือ”
น้องสาวคนเล็กเติบโตมากับมารดาเขา แม้ว่าจะมีนิสัยร่าเริง แต่เขาเชื่อว่านางไม่มีทางลืมเลือนธรรมเนียมที่พึงมี
สมดังคาดเมื่อเฉียวหว่านส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เปล่าเจ้าค่ะ ถึงแม้พี่เขยจะดี แต่หลังจากพี่ใหญ่มีครอบครัวแล้ว ขืนพวกเราอยู่จวนโหวต่อไปก็จะถูกคนหัวเราะเยาะว่าลุ่มหลงในลาภยศ ข้าไม่อยากได้ยินคนอื่นว่ากล่าวพวกเราเช่นนี้หรอกนะเจ้าคะ”
ดรุณีน้อยพูดพลางเหยียดแผ่นหลัง
ท่านปู่ของนางคือจอมปราชญ์ชื่อดังก้องแผ่นดิน ท่านย่าคือท่านหญิงเชื้อพระวงศ์ ท่านแม่เคยอบรมสอนสั่งนางมาตั้งนานแล้วว่าหากคนผู้หนึ่งไม่รู้สึกถึงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล เช่นนั้นก็จะกระทำเรื่องที่ไร้ศักดิ์ศรีได้อย่างง่ายดาย นางเป็นคนของสกุลเฉียวไม่มีทางยอมให้ชาวบ้านซุบซิบนินทาเช่นนี้แน่
“นั่นสิ พวกเราควรย้ายออกได้แล้ว” เฉียวโม่ตบๆ หลังม้า “หว่านวานขึ้นม้าได้หรือไม่”
นางยิ้มอย่างลำพองใจ “ได้แน่นอนเจ้าค่ะ ลูกม้าที่พี่เขยมอบให้ยังตัวสูงกว่าม้าขาวตัวนี้แล้วด้วยซ้ำ”
ม้าขาว “…” อย่าเปรียบเทียบอย่างนี้ได้หรือไม่ ม้าก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกันนะ!
เฉียวหว่านเหยียบโกลนพลิกกายขึ้นหลังม้า
เฉียวโม่ก็ขึ้นไปนั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก่อนบอกยิ้มๆ “มา พี่ใหญ่ก็ขี่ม้าตัวเดียวกับเจ้า”
ทุกคนทยอยกลับถึงจวนโหว
เซ่าหมิงยวนเหลียวมองรอบๆ จวนที่คุ้นเคย ตอนเขาจากไปยังเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิที่เย็นยะเยือก ตอนนี้แมกไม้เขียวขจีแล้ว
“เจาเจา เจ้าดูแลเรือนได้ดีจริงๆ” เซ่าหมิงยวนจับมือนางแล้วบีบอุ้งมือนุ่มนิ่มเบาๆ
ทั้งคู่ขี่ม้าตัวเดียวกัน ระหว่างทางเฉียวเจาถูกคนบางคนฉวยโอกาสจนขณะนี้เนื้อตัวยังอ่อนระทวยอยู่บ้าง นางขึงตาใส่เขา
“อย่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เลย รีบไปล้างเนื้อล้างตัวเถอะ”
“อื้อ เช่นนั้นเจ้ารับรองพวกสือซีกับพี่เฉียวโม่ก่อนนะ” เซ่าหมิงยวนมองคนที่คะนึงหาทุกเช้าค่ำอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วจึงสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไปในห้องชำระกาย
เฉียวเจาสั่งกำชับเรือนครัวให้เตรียมสุราอาหารไว้พร้อมแต่แรก นางให้พวกสาวใช้ยกน้ำชาชั้นดีไปให้ฉือชั่นกับเฉียวโม่ก่อน รอเมื่อเซ่าหมิงยวนผลัดอาภรณ์เป็นชุดอยู่กับเรือนเดินออกมาก็ลงมือกินอาหารทันที
ตอนสาวใช้ยกน้ำชามาให้อีกครั้งหลังอาหาร พวกเขาถึงเริ่มพูดคุยกัน
“หลันซงเฉวียนถูกตัดสินโทษประหารชีวิต ส่วนหลันซานถูกถอดตำแหน่งขุนนางกลับไปบ้านเกิดแล้ว ในที่สุดก็กำจัดคนที่เป็นเภทภัยต่อแผ่นดินสองคนนี้ ดูทีว่าฮ่องเต้จะต้องยกสวี่หมิงต๋าขึ้นเป็นสมุหราชเลขาธิการในเร็วๆ นี้ จากนั้นก็จะมีคนหน้าใหม่เข้าสู่สภาขุนนาง ถึงตอนนั้นดุลอำนาจในราชสำนักจะพลิกเปลี่ยนไป” ฉือชั่นดื่มน้ำชาคำหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเอื่อยเฉื่อย
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวโม่โดยไม่ให้เป็นที่สังเกตแวบหนึ่งก่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ฮ่องเต้จะยกใครขึ้นเป็นสมุหราชเลขาธิการก็แล้วแต่ สุดท้ายสามารถสะสางหนี้แค้นให้ตระกูลท่านพ่อตาข้าได้แล้ว นี่ต่างหากถึงสำคัญที่สุด”
มาตรว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ประสบผ่านการเล่นเล่ห์เพทุบายในราชสำนักมากนัก แต่เขาประจักษ์แจ้งแก่ใจดีว่าเปลี่ยนให้ผู้ใดมารับตำแหน่งก็ไม่แน่ว่าจะดีกว่ากันไปสักเท่าไร เขาเป็นทหารนักรบย่อมไม่ยื่นมือยุ่งกับเรื่องพวกนั้น ถึงอย่างไรถ้าผู้ใดกระทำผิดต่อคนที่มีความสำคัญกับเขา ค่อยคิดหาวิธีเอาชีวิตมันผู้นั้นเสียเท่านั้นเป็นพอ
“พอหลันซานถูกโค่นลง ข้ายังไม่ทันได้ถวายฎีกาเล่นงานบริวารกับคนสนิทของเขาพวกนั้น ก็มีคนแย่งกันฟ้องร้องแทนนับไม่ถ้วนแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกหงอยเหงาพิกล” มุมปากของฉือชั่นประดับรอยยิ้มเหยียดหยาม
“ถ้าเจ้าหงอยเหงาไปได้ตลอดจริงๆ กลับเป็นเรื่องดีนะ” เซ่าหมิงยวนคล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเอ่ยถามต่อ “สือซี เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวในอดีตของอู๋เหมยซือไท่บ้างหรือไม่”
มือที่กุมถ้วยชาของเฉียวเจาชะงักนิ่ง
“อู๋เหมยซือไท่?” ฉือชั่นไม่แสดงท่าทางเอื่อยเฉื่อยอีก “เหตุใดจู่ๆ ก็เอ่ยถึงนาง”
เซ่าหมิงยวนไม่มีอะไรต้องปิดบังสหายรักที่สนิทมากที่สุด “อู๋เหมยซือไท่เคยมอบสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาเส้นหนี่งให้เจาเจา ต่อมาที่เจาเจาตกอยู่ในอันตรายหลายครั้งล้วนเกี่ยวข้องกับสร้อยลูกประคำเส้นนั้น พักก่อนข้าส่งคนไปสืบที่แดนใต้ได้ความว่าอู๋เหมยซือไท่คลับคล้ายจะรู้จักกับคนสนิทผู้หนึ่งข้างกายซู่อ๋อง…”
“ข้ารู้ว่าเจ้าพูดถึงใครแล้ว” ฉือชั่นขมวดคิ้วคราหนึ่ง “คนผู้นั้นชื่อว่าเซวียผิง เป็นแม่ทัพมือหนึ่งของซู่อ๋อง ตอนซู่อ๋องก่อกบฏ ผลปรากฏว่าในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือนก็พ่ายแพ้ย่อยยับราบคาบ มีข่าวลือว่าคนผู้นี้มีส่วนพัวพันด้วย”
“ข่าวลืออะไรหรือ”
“ลือกันว่าเซวียผิงได้รับมอบหมายจากซู่อ๋องให้นำแก้วแหวนเงินทองที่เก็บสะสมมานานหลายปีไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเพื่อใช้ซื้อเสบียงอาหาร ปรากฏว่าเงินก้อนนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เซวียผิงชักดาบปาดคอฆ่าตัวตาย นับจากนั้นก็ไม่มีคนรู้เบาะแสของเงินก้อนนั้นอีกเลย”
“แล้วเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับอู๋เหมยซือไท่เล่า”
“ภายหลังเกิดเสียงเล่าลือขึ้นอีกได้อย่างไรก็สุดรู้ว่ามีคนเคยเห็นเซวียผิงที่ชานเมืองหลวง บอกว่าเขาไปพบองค์หญิงใหญ่” ฉือชั่นเล่าถึงตรงนี้แล้วยิ้มเยาะ “เดิมทีข่าวลือจริงบ้างเท็จบ้างพรรค์นี้ไม่ค่อยมีใครล่วงรู้นัก เหตุผลที่ข้าได้ยินได้ฟังมาบ้างก็เพราะว่ามีคนเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเซวียผิงมอบเงินให้องค์หญิงใหญ่”
คนอื่นๆ ฟังเขาเล่าแล้วบังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าสีหน้าของฉือชั่นกลับปึ่งชาไป “ข่าวลือนั่นทำให้ข้ากับท่านแม่พลอยฟ้าพลอยฝนโดนพรรคพวกของซู่อ๋องปิดล้อมไว้บนเขาหลิงไถ เพราะเจ้าพวกนั้นเข้าใจผิดว่าท่านแม่ข้าคือองค์หญิงใหญ่พระองค์นั้น”
“นี่แสดงว่าความลับในสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาเส้นนี้ บางทีอาจเกี่ยวกับเงินก้อนนั้น”
ฉือชั่นวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะเล็กด้านข้าง “แล้วข้าจะคิดหาวิธีสืบดูอีกที”
พอฉือชั่นไปแล้ว เฉียวโม่ก็ขอตัวกลับทันทีอย่างรู้กาลเทศะ ปล่อยให้สามีภรรยาที่แยกจากกันพักหนึ่งได้มีเวลาส่วนตัวกันสองคน
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาด้วยสายตาเป็นนัยๆ
“มีอันใด…” นางยังพูดไม่จบก็โดนช้อนตัวอุ้มลอยขึ้นจากพื้น
เซ่าหมิงยวนตอบอย่างเผด็จการเต็มที่ “เข้านอนกัน”