หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 775
บทที่ 775
หลังอิ่มหนำสำราญใจแล้ว เซ่าหมิงยวนใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบไล้แผ่นหลังเรียบลื่นของเฉียวเจาพลางกล่าวรำพึง “อยู่เรือนดีกว่าเป็นไหนๆ”
แม่นางเฉียวซึ่งเหนื่อยจนหมดแรงปรายตามองบุรุษที่หน้าตาสดชื่นผ่องใสอย่างหมดปัญญา
“คิดถึงข้าหรือไม่” เซ่าหมิงยวนยื่นหน้าไปกระซิบถามชิดใบหูนาง
“ไม่คิดถึง”
“ไม่คิดถึงจริงๆ หรือ” เขาเอาสองมือประคองใบหน้าเล็กๆ แล้วจ้องตานางนิ่งๆ
นัยน์ตาสีดำสนิทของเขาเต็มไปด้วยแววหวานซึ้ง เฉียวเจาพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว “คิดถึงสิ”
“เช่นนั้นอีกครั้งดีหรือไม่”
นางเงื้อมือตีเขาทีหนึ่ง “อย่าเหลวไหลนะ”
ชายหนุ่มหัวร่อเสียงเบาๆ โอบกอดนางไม่ยอมปล่อยมือ “เจาเจา เจ้าชอบทิศเหนือหรือไม่”
“ถามเรื่องนี้ด้วยเหตุใดกัน” เฉียวเจาเงยหน้าสบตาเขา
“ข้าคิดอยู่ว่าเมืองหลวงวุ่นวายเกินไป หากเป็นไปได้พวกเราไปตั้งรกรากทางเหนือก็ดีไม่น้อย แน่นอนว่าข้อแม้คือต้องให้เจ้าพึงใจด้วย”
เขาสร้างบารมีไว้ที่แดนเหนือมานานปี ลงหลักปักฐานมั่นคงจนไม่อาจสั่นคลอนได้ เมื่ออยู่ที่นั่นเขาก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเจาเจาจะได้รับอันตรายที่คาดไม่ถึงแล้ว
เฉียวเจามิได้พูดตอบชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวนดูเหมือนคิดไปถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกุมมือนางแน่นๆ อย่างขอลุแก่โทษ “แน่นอนว่าถ้าเจ้าชมชอบทิศใต้ พวกเราก็ไปทิศใต้กัน หรือถ้าคุ้นเคยกับเมืองหลวงแล้วพวกเราก็อยู่เมืองหลวงดังเดิม ข้าล้วนตามใจเจ้า”
เฉียวเจาหัวเราะออกมา “คนโง่ สำหรับข้าแล้ว ขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกัน ที่ใดก็เหมือนกัน ดังนั้นเรื่องพวกนี้ท่านเป็นคนตัดสินใจได้เลย”
เซ่าหมิงยวนตาเป็นประกาย “เจ้าคิดเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“ข้าจะหลอกท่านด้วยเหตุใดเล่า”
“เจาเจา เจ้าแสนดีจริงๆ” ชายหนุ่มโถมกายคร่อมร่างนางไว้
ทั้งคู่ส่งเสียงหัวเราะพลางกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน
นอกประตูปิงลวี่แหงนหน้ามองฟ้าเงียบๆ
สาวใช้เป็นงานที่ลำบากจริงๆ แต่เป็นสาวใช้ของเจ้านายที่ออกเรือนแล้วยิ่งลำบากกว่า วันเวลาเช่นนี้ผ่านไปได้ยากอยู่สักหน่อย
ช่างเถอะ ข้าไปแหย่เจ้าเอ้อร์ปิ่งเล่นดีกว่า
ในวังมู่อ๋องเขากำลังจ้องมองกล่องทรงยาวแบบเรียบๆ ไม่สะดุดตาที่คนสนิทนำมามอบให้ลับๆ ด้วยสีหน้าฉายอารมณ์ปรวนแปร
กล่องใบนี้เป็นหลันซานไหว้วานคนส่งมาให้เขา ในนั้นคืออะไรกันแน่
มือของมู่อ๋องยื่นไปแตะกล่องแล้วกระตุกกลับราวกับโดนไฟลวก หัวใจเริ่มเต้นรัวแรง
ไม่รู้เป็นเพราะอะไรเขารู้สึกไม่วายว่ากล่องใบนี้ขังสัตว์ร้ายไว้ข้างใน ทันทีที่เปิดออกทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจนควบคุมไม่อยู่อีก
เขารู้สึกว่าความคิดนี้น่าขันอยู่บ้าง แต่สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็มีชัยเหนือกว่า เขายื่นมือไปอีกครั้งแล้วตกลงใจเปิดกล่องออกอย่างเด็ดเดี่ยว
เมื่อสายตาปะทะเข้ากับมุมหนึ่งของผืนผ้าสีเหลืองกระจ่าง มู่อ๋องปิดกล่องแทบจะในชั่วอึดใจแล้วบอกเสียงห้วน “ออกไปให้หมด”
คนที่รอรับใช้อยู่ในห้องออกไปแล้ว แต่เขายังคงใจเต้นดุจรัวกลอง
เขาปรับลมหายใจให้เป็นปกติก่อนจะเปิดกล่องด้วยมือที่สั่นเทาไม่หยุด ตอนนี้เองถึงได้เห็นสิ่งที่อยู่ในกล่องอย่างชัดเจน
ดวงตาของมู่อ๋องนิ่งขึงไป
มันคือ…
เขาหยิบของในกล่องมาเปิดออกอย่างว่องไว หลังอ่านจบแล้วใบหน้าเขาปรากฏแววยินดีเจียนคลั่งวูบหนึ่ง
พระราชโองการมอบราชสมบัติ นี่เป็นพระราชโองการมอบราชสมบัติให้ข้าหรือนี่!
ที่แท้เสด็จพ่อเขียนพระราชโองการมอบราชสมบัติไว้แต่แรก ตั้งใจจะยกบัลลังก์ให้เขาหลังสวรรคต!
มู่อ๋องจับพระราชโองการไว้แน่นๆ เดี๋ยวหัวร่อเดี๋ยวร่ำไห้สลับกันไปจนตอนหลังใบหน้าเขานิ่งขึงไป
ไม่ถูก!
เขาก้มหน้าอ่านพระราชโองการซ้ำอีกทีอย่างรวดเร็ว บนนั้นเป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้หมิงคังจริงๆ พร้อมทั้งประทับตราลัญจกรหยกไว้ ไม่ว่าดูอย่างไรก็ไม่คล้ายปลอมแปลงขึ้น
กระนั้นมู่อ๋องค่อยๆ ดึงสติคืนมา
พระราชโองการนี้ไม่ใช่ของจริงแน่นอน หากเป็นของจริงจะตกอยู่ในมือของหลันซานได้เช่นไร
แล้วจุดประสงค์ที่หลันซานส่งพระราชโองการปลอมฉบับนี้มาให้เขาคือ…
ใบหน้าของมู่อ๋องฉายอารมณ์เปลี่ยนไปไม่หยุด สุดท้ายกลายเป็นเหี้ยมเกรียม
ไม่ว่าหลันซานทำเช่นนี้มีความหมายอะไร ตอนนี้พระราชโองการที่แยกของจริงของปลอมได้ยากฉบับนี้อยู่ในมือเขา ขอเพียงเสด็จพ่อสวรรคตกะทันหันก่อนจะแต่งตั้งรัชทายาท…
มู่อ๋องยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น เขายก ‘พระราชโองการ’ ขึ้นจุมพิตแล้ววางลงในกล่องอย่างทะนุถนอม จากนั้นเดินไปรอบห้อง เขาซ่อนมันในช่องลับใต้หมอนก่อน แต่คิดอีกทีแล้วไม่วางใจ จึงหยิบออกมาซ่อนในซอกด้านข้างชั้นหนังสือ แต่แล้วก็ยังไม่วางใจอยู่ดี เขากอด ‘พระราชโองการ’ ไว้กับอกย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องอยู่เนิ่นนาน
หลังจากหลันซานและบุตรชายสิ้นอำนาจ ผู้คนทั้งเมืองหลวงเฉลิมฉลองกันหลายวัน พรรคพวกฝ่ายหลันซานมากมายถูกฟ้องร้องเล่นงานกันไปทีละคนสองคน ส่วนขุนนางที่เคยถูกใส่ร้ายเพราะล่วงเกินพวกเขาพ่อลูกก็ทยอยกันพ้นจากมลทิน ในบรรดานี้ยังรวมถึงโอวหยางไห่อดีตผู้ตรวจการ
เพียงน่าเสียดายที่ครอบครัวเขาต้องจบชีวิตไปอย่างน่าอนาถจนหมดสิ้น บัดนี้เหลือแต่สุสานใหม่หลายหลุม
เบื้องหน้าสุสานของโอวหยางเวยอวี่ เฉียวเจาจุดธูปดอกหนึ่งแล้วกล่าวเสียงเบา “คุณหนูโอวหยาง เวลานี้คนที่ให้ร้ายตระกูลท่านได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม ท่านไปสู่สุคติได้แล้ว”
นางพูดจบแล้วเดินไปทางด้านข้างยืนอยู่กับเซ่าหมิงยวนและเฉียวโม่ที่รอคอยอยู่ตรงนั้น
ฉือชั่นสาวเท้าเข้าไป เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงแย้มริมฝีปากกล่าวยิ้มๆ “ข้าเคยบอกว่าท่านจะต้องไม่ตายเปล่า บัดนี้ท่านคงเห็นแล้วว่าข้าไม่ได้โกหกท่าน”
หากมีชาติหน้าจริงๆ เช่นนั้นหวังว่าท่านจะได้ไปเกิดใหม่ในตระกูลเศรษฐีธรรมดาๆ มีชีวิตที่สุขสงบตลอดไป
“ไปกันเถอะ” ฉือชั่นปักธูปดอกหนึ่งแล้วบอกกับพวกเฉียวเจา
พวกเขาเดินไปทางรถม้าที่จอดอยู่ใต้ต้นไม้ริมถนนพร้อมกัน
เซ่าหมิงยวนชะงักเท้า “มีคนมา”
ไม่นานนักก็เห็นรถม้าติดม่านสีเขียวคันเล็กกะทัดรัดเลี้ยวมาจากทางแยกแล้วแล่นตรงมาช้าๆ
ดวงตาของเฉียวเจาเปล่งประกายวูบหนึ่ง นางหันไปมองเฉียวโม่ “ดูเหมือนจะเป็นรถม้าของสกุลโค่ว”
รถม้ามาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว โค่วจื่อโม่กับโค่วชิงหลันก้าวลงจากรถม้าตามหลังกัน
ยามที่เห็นเฉียวโม่ยืนอยู่ริมถนน สีหน้าของโค่วจื่อโม่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดแล้วกลับเป็นปกติทันใด นางหลุบตาต่ำยอบกายคารวะเฉียวโม่
“ญาติผู้พี่ ไม่พบกันนานนะเจ้าคะ”
โค่วชิงหลันแสดงคารวะตามพี่สาว ทว่าใบหน้านางไม่สงบนิ่งอย่างอีกฝ่าย
นางยกชายกระโปรงเดินไปเบื้องหน้าเฉียวโม่ แย้มปากยิ้มแล้วถามไถ่ “ไฉนญาติผู้พี่มิได้ไปที่จวนตั้งนานเลยเล่าเจ้าคะ พวกท่านย่าบ่นถึงท่านอยู่ตลอด”
เฉียวโม่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล “เพิ่งออกทุกข์ อีกทั้งที่ว่าการก็มีงานมาก ไว้ข้าจะพาหว่านวานไปเยี่ยมพวกท่านย่านะ”
ดวงตาของโค่วชิงหลันเปล่งประกายระยับ นางยอบกายน้อยๆ ให้พวกเฉียวเจา ค่อยเอ่ยถามขึ้นว่า “ญาติผู้พี่ พวกท่านก็มาเซ่นไหว้คุณหนูโอวหยางเหมือนกันหรือเจ้าคะ”
“พวกข้ามาจุดธูปให้ท่านผู้ตรวจการโอวหยาง ส่วนฮูหยินท่านโหวมาเซ่นไหว้คุณหนูโอวหยาง”
“ช่างบังเอิญดีแท้ ข้ามาเซ่นไหว้คุณหนูโอวหยางเป็นเพื่อนพี่จื่อโม่เจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับญาติผู้พี่” โค่วชิงหลันพูดถึงตรงนี้แล้วเหลียวหน้าไปส่งเสียงเรียก
“พี่จื่อโม่ เหตุใดท่านไม่เข้ามาเล่าเจ้าคะ”
เมื่อมีสายตาหลายคู่มองมาโค่วจื่อโม่ก็จนปัญญาจึงได้แต่เดินเข้าไป
ยามเผชิญหน้ากับชายหนุ่มที่เลิกใส่ชุดขาวไว้ทุกข์แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินอมเขียว โค่วจื่อโม่รู้สึกว่าในใจมีถ้อยคำนับพันนับหมื่น ทว่าไม่รู้จะเริ่มพูดจากอะไร กลับอยากไปจากที่ตรงนี้ทันทีใจจะขาด
แต่น้องสาวนางยังพูดต่ออย่างยิ้มแย้ม “วันนั้นท่านบอกว่ามีเรื่องจะไหว้วานให้ญาติผู้พี่ช่วยเหลือไม่ใช่หรือเจ้าคะ ในเมื่อวันนี้ได้พบกันแล้วก็ไม่ต้องรอตอนญาติผู้พี่ไปที่จวน”
โค่วชิงหลันกล่าวถึงตรงนี้แล้วมองไปทางพวกเฉียวเจาปราดหนึ่ง นางคลี่ยิ้มอย่างเปิดเผย “ทุกท่านคงไม่ถือสาที่จะรอครู่หนึ่งกระมัง ขอให้พี่สาวข้าได้สนทนากับญาติผู้พี่สักสองสามคำ”
“ชิงหลัน…” โค่วจื่อโม่อับอายสุดประมาณ ทว่าจะแสดงออกมาต่อหน้าคนนอกก็ไม่เหมาะสม
“เอาน่า พี่จื่อโม่รีบๆ พูดกับญาติผู้พี่เถอะ ข้าไปจุดธูปให้คุณหนูโอวหยางก่อน”
เฉียวโม่ลอบถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนส่งยิ้มให้โค่วจื่อโม่อย่างสุภาพ “ญาติผู้น้องมีเรื่องอยากให้ข้าช่วยหรือ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องใดกัน”
เขาไต่ถามพลางออกเดินไปทางใต้ต้นไม้ไม่ไกลนัก วิธีนี้กลับช่วยบรรเทาความกระอักกระอ่วนใจของโค่วจื่อโม่ได้