หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 777
บทที่ 777
ข่าวเฉียวโม่หมั้นหมายสร้างความงงงันให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเซวียทันที นางรีบเร่งสั่งคนไปตามโค่วสิงเจ๋อกลับมาซักถาม
“โม่เอ๋อร์หมั้นหมายกับสกุลสวี่ได้อย่างไร หรือว่าท่านพี่ไม่ได้ข่าวระแคะระคายเลย”
โค่วสิงเจ๋อรู้สึกเสียหน้าดุจเดียวกัน พอนางไต่ถามเช่นนี้ในใจเขาก็ขุ่นเคืองจนแสดงออกมาทางน้ำเสียง “โม่เอ๋อร์เป็นหลานนอกมิใช่หลานใน หรือว่าเขาจะหมั้นหมายกับตระกูลใดยังต้องขออนุญาตข้าหรือไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียโดนตอกกลับก็คับอกคับใจ “ท่านพี่ นี่ท่านพูดอะไรของท่าน แม้ว่าโม่เอ๋อร์จะเป็นหลานนอก แต่สกุลเฉียวไม่มีผู้อาวุโสสักคน การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จะหารือกับตระกูลท่านตามีอันใดไม่เหมาะสม”
โค่วสิงเจ๋อยิ้มเยาะ “เจ้าก็รู้ว่าโม่เอ๋อร์ไม่มีผู้อาวุโสเหมือนกันนี่ แล้วตอนนั้นเขาพักอยู่ในจวนเราเป็นอย่างไรเล่า โม่เอ๋อร์เป็นหลานชายของเฉียวจัว เจ้านึกว่าเขาเป็นบัณฑิตซื่อๆ หรือ เจ้ากับเหมาซื่อระแวดระวังเขาประหนึ่งโจรผู้ร้าย เดิมทีข้าก็เคยบอกแล้วว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เขากับจื่อโม่ต่างมีนิสัยใจคอดี แต่เจ้าไม่รับฟังสักคำ ถึงกระนั้นก็แล้วกันไปเถอะ แต่เหมาซื่อกลับถูกปีศาจดลใจไปวางยาพิษโม่เอ๋อร์อีก นึกหรือว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
คำถามนี้ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียนิ่งอึ้งเป็นเบื้อใบ้
นางย่อมต้องเอ็นดูหลานต่างสกุลแน่นอน แต่ยามนั้นครอบครัวเขาประสบเคราะห์ภัยอย่างคาดไม่ถึงแล้วยังเสียโฉม ถึงอยากจะแต่งงานกับบุตรสาวตระกูลใหญ่ก็หมดหวังแล้ว เผอิญหลานสาวคนโตปักใจกับเขาคนเดียว ถ้าหากเฉียวโม่คิดใช้ทางลัดจะไม่เกิดเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่หรืออย่างไร
ตัวนางเองก็โกรธแค้นเหมาซื่อที่วางยาพิษโม่เอ๋อร์เหมือนกัน
ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากันมานาน โค่วสิงเจ๋อระบายโทสะไปแล้วน้ำเสียงก็อ่อนลง “ช่างเถอะ นี่ต้องถือว่าเด็กสองคนนี้มีบุญแต่ไร้วาสนา แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฮูหยินต้องจดจำไว้ โม่เอ๋อร์หมั้นหมายกับหลานสาวของใต้เท้าสวี่แล้ว เจ้าจะทำใจยอมรับไม่ได้เช่นไรก็ต้องลืมไปเสีย โม่เอ๋อร์เป็นคนที่รู้ธรรมเนียม ตราบเท่าที่พวกเราไม่ทำอะไรเกินไปเขาจะไม่นับญาติสายนี้ไม่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ทว่าไฟโทสะที่สุมอยู่ในใจกลับไร้ที่ระบายออก ไม่ถึงสองวันนางก็ล้มป่วย
คนที่สูงวัยแล้วเจ็บป่วยมักเป็นดังคำกล่าวว่า ‘ยามโรคมาดุจเขาถล่ม ยามโรคไปดังสาวเส้นไหม’* กว่าร่างกายของนางจะแข็งแรงเป็นปกติ เฉียวโม่กับคุณหนูสกุลสวี่ก็กำหนดฤกษ์พิธีมงคลได้แล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเซวียที่เพิ่งหายป่วยได้ยินข่าวแล้วก็ตรอมใจจนล้มป่วยอีกครั้ง หนนี้นางล้มหมอนนอนเสื่ออยู่นานหลายเดือน แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวต่อมาในภายหลัง
พักนี้เฉียวเจาก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เหมือนกัน
เฉียวโม่หมั้นหมายกับสวี่จิงหงแล้วก็เอ่ยปากว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แม้นเฉียวเจาจะอาลัยอาวรณ์อย่างสุดแสน แต่ไม่อาจเหนี่ยวรั้งเขาไว้ได้อีก
ก่อนหน้านี้สกุลเฉียวตกยาก กวนจวินโหวแสดงน้ำใจในฐานะญาติชักชวนพวกเขามาพำนักในจวน คนภายนอกย่อมพูดว่าอะไรไม่ได้ แต่บัดนี้เฉียวโม่กำลังก้าวหน้าไปได้ดีในเส้นทางการเป็นขุนนางและมีคู่หมั้นแล้ว ขืนอาศัยอยู่ในจวนโหวอีกก็จะถูกครหาว่ามุ่งหวังในลาภยศ
ดีที่สกุลเฉียวมีเรือนในเมืองหลวงอยู่แล้ว เฉียวเจาจัดการส่งคนไปซ่อมแซมเก็บกวาดราวครึ่งเดือน จวนสกุลเฉียวก็ใหม่เอี่ยมอ่องทุกซอกทุกมุม กระทั่งดอกไม้ใบหญ้าล้วนมีชีวิตชีวาขึ้นมา
วันนี้เป็นวันที่เฉียวโม่จะพาเฉียวหว่านย้ายออกไป
พูดว่าย้ายเรือนแต่จวนสกุลเฉียวปัดกวาดเช็ดถูแล้ว ส่วนข้าวของในจวนโหวของสองพี่น้องก็ย่อมมีคนย้ายไปจัดวางที่นั่นให้อย่างเรียบร้อย
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาพาพวกเฉียวโม่ไปส่งที่จวนสกุลเฉียว จากนั้นกินอาหารมื้อหนึ่งในศาลารับลมกลางสวนดอกไม้อย่างสนุกสนานครึกครื้น ถือเป็นการอุ่นเรือนตามธรรมเนียม
“ถิงเฉวียน ช่วงที่ผ่านมาต้องขอบคุณเจ้ามาก” เฉียวโม่ยกจอกสุราดื่มคารวะเขา
เซ่าหมิงยวนถือจอกสุราพลางยิ้มบางๆ “พี่เฉียวโม่พูดอย่างนี้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้วขอรับ”
พวกเขาดื่มสุราในจอกรวดเดียวหมดพร้อมกัน
เฉียวเจากล่าวอย่างยิ้มแย้ม “พี่ใหญ่มีเวลาว่างก็พาหว่านวานมาเที่ยวจวนโหวด้วยนะเจ้าคะ”
เฉียวโม่ก้มหน้ามองเฉียวหว่านแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ต้องไปบ่อยๆ แน่ แต่หว่านวานไม่เด็กแล้ว ข้าตั้งใจจะเชิญอาจารย์สองสามคนมาสอนดีดพิณ เดินหมาก คัดอักษร วาดภาพ และเย็บปักถักร้อยให้นางจะได้กลับมาฝึกฝนฝีมือต่อหลังจากที่ขาดช่วงไปในสองปีนี้”
หว่านวานสิบขวบแล้ว ฟังดูอาจยังเยาว์วัยอยู่ แต่อีกสามสี่ปีก็ถึงเวลาพูดคุยทาบทามเรื่องแต่งงานแล้ว
จริงอยู่ว่าตอนนี้หว่านวานยังใสบริสุทธิ์ไม่ประสีประสา แต่น้องเขยเป็นดั่งมังกรในหมู่คน เมื่อนางเจริญวัยขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวัยแรกรัก มิใช่ว่าจะไม่มีทางบังเกิดความรักขึ้นในใจ
แน่นอนว่าด้วยการอบรมสั่งสอนที่หว่านวานได้รับมา นางไม่มีวันกระทำเรื่องนอกลู่นอกทาง ทว่าสำหรับสตรีแล้วคำว่าความรักมักเป็นความทุกข์มากที่สุด แทนที่จะให้น้องสาวคนเล็กเป็นทุกข์เพราะรักในตอนนั้น มิสู้ตัดไฟแต่ต้นลมตอนนี้จะดีกว่า
เหนือสิ่งอื่นใด…
เฉียวโม่มองเฉียวเจาปราดหนึ่ง
เหนือสิ่งอื่นใดน้องเจามีจิตใจที่ละเอียดอ่อน หากวันหน้าหว่านวานเกิดความรู้สึกลึกซึ้งเกินเลยขึ้นมาจริงๆ จะปิดบังนางได้หรือไร ถึงตอนนั้นถ้าสองพี่น้องต้องหมางใจกันก็เป็นเขาที่มิได้ทำหน้าที่ของพี่ชายที่ดีแล้ว
“ข้าไม่อยากเรียนเย็บปักถักร้อยเจ้าค่ะ” เฉียวหว่านได้ยินคำพูดของเฉียวโม่แล้วทำหน้าม่อยหันไปขอให้เฉียวเจาช่วย “พี่หลี ท่านช่วยข้าเกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ทีสิเจ้าคะ”
เฉียวเจาถามขันๆ “เกลี้ยกล่อมอะไรหรือ”
เฉียวหว่านพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ “เกลี้ยกล่อมพี่ใหญ่ว่าอย่าจ้างอาจารย์สอนเย็บปักถักร้อยให้ข้าเลยนะ ข้าจับเข็มก็จะเวียนศีรษะทันทีแล้ว”
สมกับเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ข้าจับเข็มก็เวียนศีรษะทันทีเหมือนกัน
แม่นางเฉียวพลันเข้าใจหัวอกของน้องสาวคนเล็ก นางส่งยิ้มกระดากๆ ให้เฉียวโม่ “พี่ใหญ่ มิสู้…”
เขากำมือยกขึ้นจรดริมฝีปากแล้วกระแอมทีหนึ่ง “วันหน้าอย่างไรก็ต้องปักผ้าคลุมศีรษะของเจ้าสาวกระมัง”
เฉียวเจาอับจนคำพูดทันใด
“หว่านวาน อย่าลืมคำสั่งสอนของท่านแม่ ข้าจำได้ว่าท่านแม่เคยเอ่ยว่าเจ้ามีพรสวรรค์ในเชิงเย็บถักปักร้อยมากกว่าพี่เจาของเจ้านะ”
เฉียวเจาอึ้งงัน นี่หรือคือพี่ชายแท้ๆ!
“ก็ได้เจ้าค่ะ” เฉียวหว่านรับคำอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ ตอนที่สองสามีภรรยาจะกลับนางจับมือเฉียวเจาไม่ปล่อยพลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่หลีมาเล่นกับข้าบ่อยๆ นะเจ้าคะ”
“ได้สิ” เฉียวเจาคิดจะยกมือลูบศีรษะนางก็พบว่าน้องสาวคนเล็กไม่ได้ตัวเตี้ยกว่าตนเท่าไรแล้วจึงดึงมือกลับเงียบๆ
บนรถม้าระหว่างทางกลับ เฉียวเจามีท่าทางคับข้องใจอยู่บ้าง
มาตรว่าเซ่าหมิงยวนจะเมาสุราเล็กน้อย แต่ยังเฉียบไวกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปของภรรยามาก เขาโอบนางพลางเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”
พอลมหายใจอุ่นจัดรินรดลำคอ เฉียวเจาหดคอหนี จากนั้นกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เดิมทีข้านับว่าเป็นคนตัวสูงเช่นกัน เดี๋ยวนี้กลับใกล้จะโดนหว่านวานที่อายุสิบขวบแซงหน้าไปแล้ว”
“นั่นเพราะหว่านวานสูงกว่าแม่นางน้อยวัยเดียวกันน่ะสิ” เขาพูดถึงตรงนี้ก็กอดรัดนางไว้พลางส่งเสียงหัวเราะขลุกขลัก “อีกอย่างเจ้าเป็นอย่างไรข้าก็รู้สึกว่าดีหมด เตี้ยไปสักนิดก็ไม่มีผลอันใด”
ชายหนุ่มพูดจบฝ่ามือใหญ่ทั้งคู่ก็กอบกุมทรวงอกของนางไว้
เฉียวเจายกมือตีดังเพียะ “คุยกันได้ไม่ถึงสองคำก็ไม่สำรวมแล้ว”
เซ่าหมิงยวนน้อยอกน้อยใจมาก “สามีภรรยาพลอดรักกันมิใช่เรื่องผิดทำนองคลองธรรม ไฉนพูดว่าไม่สำรวมเล่า”
ข้าสำรวมมากเลยนะ อยู่มาจนอายุตั้งยี่สิบกว่าเพิ่งได้รู้จักรสชาติในเรื่องนี้
สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันมักยับยั้งชั่งใจได้น้อยลง พอคิดถึงตรงนี้เซ่าหมิงยวนก็ห้ามใจไม่ค่อยอยู่ ซุกไซ้ซอกคอเฉียวเจาพลางพรมจูบเบาๆ ไปทั่ว
“ยังอยู่บนรถม้านะ…อื้อ…” แม้เฉียวเจาจะพูดเช่นนี้แต่ก็อดเผลอใจไปกับเขาไม่ได้ สุดท้ายนางแบ่งรับแบ่งสู้ปล่อยให้คนบางคนได้สมใจหมาย
จนกระทั่งรถม้าแล่นถึงจวนโหว หญิงสาวชักกังวลใจ นางถามเซ่าหมิงยวนอย่างกระดากอาย “จะมีคนจับพิรุธได้หรือไม่”
“ไม่หรอก เฉินกวงยังครองตัวไร้คู่อยู่จะเข้าใจอะไร” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
เฉินกวงคิดในใจ ข้าจะตบแต่งภรรยา ข้าทำหน้าที่เป็นสารถีไม่ได้แล้ว!
เมืองหลวงเพิ่งสุขสงบได้ไม่กี่วันก็มีฟ้าผ่าเปรี้ยงจนแผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นฉับพลัน
รุ่ยอ๋องกลับมาแล้วหลังจากหายสาบสูญไปนานพักหนึ่งจนทางวังรุ่ยอ๋องเตรียมตัวจัดพิธีศพ
ฮ่องเต้หมิงคังยินดียกใหญ่ รีบเรียกตัวรุ่ยอ๋องมาเข้าเฝ้า
ด้านมู่อ๋องได้ยินข่าวแล้วเอามือลูบผนังจุดที่ซ่อน ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ เอาไว้ หัวใจของเขาเริ่มดิ้นเร่าด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือ
หลังจากได้รับ ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ จิตใจของมู่อ๋องก็ไม่เคยสุขสงบอีกเลย ทุกวันอย่างตั้งตารอคอยให้ฮ่องเต้หมิงคังสวรรคตโดยเร็ว เหตุผลที่เขายังนิ่งเฉยไม่เคลื่อนไหว ทางหนึ่งเพราะการเตรียมการลับๆ ต้องใช้เวลา อีกทางหนึ่งเพื่อรอยืนยันให้แน่ชัดว่ารุ่ยอ๋องจบชีวิตแล้ว เขาจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์เพียงหนึ่งเดียว ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ ฉบับนี้ก็หมดประโยชน์
ใครจะคาดถึงว่ารอไปรอมากลายเป็นว่ารุ่ยอ๋องมีชีวิตกลับมาอย่างปลอดภัย นี่จะไม่ทำให้มู่อ๋องแทบคลุ้มคลั่งได้อย่างไร
“ไม่ได้ๆ ต้องเร่งมือแล้ว” มู่อ๋องทุบผนังสุดแรงทีหนึ่ง ก่อนพูดอย่างเจ็บใจว่า “เหตุใดถึงไม่ตายไปเสีย!”
* ยามโรคมาดุจเขาถล่ม ยามโรคไปดังสาวเส้นไหม หมายถึงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะเกิดขึ้นเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว แต่เวลาจะรักษาให้หายต้องใช้เวลาค่อยเป็นค่อยไป