หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 779
บทที่ 779
สามวันให้หลังขันทีนำพระราชโองการมายังวังรุ่ยอ๋อง
หลีเจี่ยวดีใจยกใหญ่ รีบออกไปรับพระราชโองการ
คนกลุ่มหนึ่งคุกเข่าเรียงรายจนเต็มพื้นโดยมีรุ่ยอ๋องอยู่ด้านหน้าสุด
“ประกาศิตจากเบื้องบน ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชา หลีซื่อบุตรสาวคนโตของหลีกวงเหวินอาลักษณ์แห่งสำนักราชบัณฑิต เป็นกุลสตรี สุภาพเรียบร้อย ขยันหมั่นเพียร อ่อนน้อมถ่อมตัว ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม จึงขอแต่งตั้งให้เป็นชายารองของรุ่ยอ๋อง จบพระราชโองการ”
ท่ามกลางสายตาประหลาดใจแกมชื่นชมปนอิจฉาของทุกคน หลีเจี่ยวก้มศีรษะรับพระราชโองการ หยดน้ำตาเกาะอยู่ตามขนตา
ในที่สุดพระราชโองการแต่งตั้งก็มาถึงแล้ว จิตใจที่ว้าวุ่นกระวนกระวายมาหลายวันสงบลงได้ในที่สุด
หลีเจี่ยวลุกขึ้นยืนแล้วชายตามองไปทางเรือนพำนักของเหล่าอนุนางบำเรอของรุ่ยอ๋องพลางเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย
นับแต่นี้ไปนางคือสตรีสูงศักดิ์ที่สุดของวังอ๋อง เข้ามาก่อนแล้วมีอันใด ให้กำเนิดพระราชนัดดาน้อยแล้วมีอันใด หากว่ากันถึงชาติตระกูลและความสำคัญในใจของรุ่ยอ๋อง ผู้ใดจะมาเหนือกว่านางไปได้
เมื่อคิดเช่นนี้ความรู้สึกผูกพันกับสกุลหลีที่ห่างหายไปแล้วในใจหลีเจี่ยวก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง
เดิมทีนางรู้สึกว่าบิดาเป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตมาเกือบยี่สิบปี ไม่อาจเป็นแรงหนุนให้ตนได้สักน้อยนิด บัดนี้ดูไปแล้วเป็นนางที่คิดผิดไปเอง
ถึงมาจากตระกูลบัณฑิตจะไม่มีข้อได้เปรียบอื่นใด แต่กลับได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสัตย์ซื่อทรงคุณธรรมอย่างยิ่ง จึงมีคำกล่าวที่ว่า ‘มิใช่ราชบัณฑิตเข้าสู่สภาขุนนางไม่ได้’
เมื่อกลายเป็นชายารองของรุ่ยอ๋อง นางจะไม่ใช่อนุที่ใครๆ ดูถูกดูแคลน ต่อแต่นี้นางสามารถออกจากวังไปเป็นแขกได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว เห็นทีว่าถึงเวลากลับไปเยี่ยมเยือนสกุลเดิมเสียที
หลีเจี่ยวกำลังคิดคำนึงอยู่ก็ได้ยินรุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างยิ้มแย้ม “ไยกงกงไม่อยู่ดื่มน้ำชาสักถ้วยเล่า”
ขันทีผู้ถ่ายทอดพระราชโองการกล่าวอย่างพินอบพิเทา “ขอบพระทัยท่านอ๋อง แต่กระหม่อมยังต้องไปถ่ายทอดพระราชโองการที่จวนหลิวซิ่งโหวอีกพ่ะย่ะค่ะ”
รุ่ยอ๋องเป็นคนซื่อตรง เขาไม่กล้าซักไซ้เรื่องของฮ่องเต้หมิงคังเลยมิได้ถามต่อ
ใครจะรู้ว่าขันทีผู้ถ่ายทอดพระราชโองการจะกล่าวยิ้มๆ ว่า “กระหม่อมขอถวายความยินดีกับท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เอ๊ะ?”
“ขอถวายความยินดีกับท่านอ๋องที่จะทรงมีชายาเอกในเร็ววันนี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รุ่ยอ๋องกับหลีเจี่ยวอึ้งงันไปตามๆ กัน
“กงกงกล่าวเช่นนี้มีความหมายใด”
ขันทียกยิ้มก่อนเอ่ยบอก “ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้คุณหนูหกของจวนหลิวซิ่งโหวเป็นรุ่ยหวังเฟย ขอถวายความยินดีกับท่านอ๋องที่จะทรงมีชายาเอกในเร็ววันนี้พ่ะย่ะค่ะ”
รุ่ยอ๋องตะลึงงัน จากนั้นก็ตื่นเต้นแกมยินดีสุดประมาณ
จวนหลิวซิ่งโหวเป็นสกุลเดิมของไทเฮา ตอนนี้เสด็จพ่อพระราชทานสมรสให้คุณหนูหกเป็นชายาเอกของเขา นี่มีนัยถึงอะไรนั้นเป็นที่ประจักษ์แจ้งโดยไม่ต้องบอกกล่าว
ในการยื้อแย่งแข่งขันระหว่างเขากับเจ้าหก ในที่สุดเสด็จพ่อที่เอาแต่บำเพ็ญตบะก็เผยท่าทีออกมาหลายส่วนแล้ว
รุ่ยอ๋องดีใจจนออกนอกหน้ากับข่าวดีที่เหนือความคาดหมายนี้ แต่หลีเจี่ยวกลับใบหน้าซีดเผือด
ชั่วขณะนี้หัวใจของหญิงสาวราวกับตกลงสู่โพรงน้ำแข็ง นางรู้สึกหนาวยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกจนแทบถือพระราชโองการที่เมื่อครู่นี้ยังนำความปีติยินดีมาให้นางอย่างไร้ที่สิ้นสุดในมือไว้ไม่อยู่
เพราะอะไรฮ่องเต้ต้องเลือกชายาเอกให้รุ่ยอ๋องในเวลานี้ด้วย ขอเพียงนางอยู่ในตำแหน่งชายารองเพียงปีสองปี วันหน้าต่อให้มีชายาเอกเข้าวังมา นางก็มีบารมีต่อสู้ฟาดฟันได้แล้ว
หรือว่าสวรรค์ทนเห็นนางได้ดีไม่ได้ใช่หรือไม่ ทุกคราที่นางทุ่มสุดกำลังดิ้นรนจนรุดหน้าไปอีกขั้นก็ต้องเกิดเรื่องโชคร้ายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอยู่ร่ำไป
หลีเจี่ยวยิ่งคิดยิ่งชิงชัง ดวงหน้าอ่อนโยนในทีแรกเริ่มเหยเก
“เจี่ยวเหนียง เจ้าไม่สบายหรือ” สุ้มเสียงแฝงรอยยินดีของรุ่ยอ๋องดังลอยมา
หลีเจี่ยวคล้ายเพิ่งตื่นจากความฝัน นางกล้ำกลืนความคับข้องหมองใจทั้งหมดเอาไว้ เผยรอยยิ้มอย่างอ่อนระโหย “หม่อมฉันดีใจเกินไปเลยเสียกิริยา หวังว่าท่านอ๋องจะประทานอภัยด้วยเพคะ”
รุ่ยอ๋องประคองหลีเจี่ยวที่แสดงคารวะขึ้น “เจ้าจะมากพิธีเช่นนี้ไปไย วันนี้น่าดีใจจริงๆ ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักจอกเถอะ”
นางฝืนปั้นหน้ายิ้มแย้มดื่มสุรากับรุ่ยอ๋อง แต่หลังจากเขาไปแล้วนางก็ขว้างถ้วยน้ำชาจนแตกละเอียดด้วยความโมโหโกรธา
เพิ่งแต่งตั้งชายารองไม่ทันไร รุ่ยอ๋องก็จะตบแต่งชายาเอก นางไม่มีหน้ากลับสกุลเดิมแล้ว
ตอนแรกพวกอนุในวังรุ่ยอ๋องได้ยินว่าหลีเจี่ยวได้รับแต่งตั้งเป็นชายารองยังนึกอิจฉาเหลือหลาย ผ่านไปประเดี๋ยวเดียวก็รู้ว่าวังอ๋องกำลังจะได้ต้อนรับชายาเอกอีก จึงพากันสลัดความอิจฉานั่นทิ้งไปจนหมด
ชายารองจะมีเกียรติปานใด พอยืนอยู่ตรงหน้าชายาเอกยังคงเป็นอนุผู้หนึ่ง และหลังจากชายาเอกเข้ามาจะต้องเล่นงานชายารองก่อนอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้หมิงคังพระราชทานสมรสคราวนี้สร้างความสับสนวุ่นวายใจให้กับคนไม่น้อยทันใด
ทว่ามู่อ๋องได้ยินแล้วกลับรู้สึกเฉยชา
ตอนเสด็จพ่อส่งเจ้าห้าไปขอพรที่เขาหลิงไถ เขาก็ดูออกแล้วว่านี่คือการปูทางให้เจ้าห้าเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตอนนี้ยังพระราชทานสมรสให้บุตรสาวในสกุลเดิมของไทเฮาเป็นชายาเอกของเจ้าห้าอีกจะมีอะไรแปลกประหลาดเล่า
ฮึ ข้าไม่สนใจหรอก ข้ามี ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ แล้ว!
พวกเซ่าหมิงยวนที่มาชุมนุมตัวกันกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อยู่เช่นเดียวกัน
“ฮ่องเต้เอนเอียงไปทางรุ่ยอ๋องเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา ญาติผู้พี่หกคนนั้นของข้าใจคอคับแคบ ถ้าได้สืบทอดตำแหน่ง ยังไม่แน่ว่าจะทำเรื่องอะไรออกมา” ฉือชั่นยกมือเท้าคางพลางกล่าวเสียงเนือยๆ
“ถ้าเป็นรุ่ยอ๋องก็ดีกว่าจริงๆ” เซ่าหมิงยวนนึกถึงที่รุ่ยอ๋องแสดงไมตรีหลายต่อหลายครั้ง รวมถึงองครักษ์ของเขาช่วยชีวิตรุ่ยอ๋องไว้ตอนเดินทางไปเขาหลิงไถ เขาก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนว่าวันหน้ากษัตริย์กับขุนนางจะสามัคคีปรองดองกันได้
“ข้ารู้สึกไม่วายว่ามู่อ๋องไม่มีทางรามือแต่โดยดี” เฉียวโม่เอ่ยปากขึ้น
หลันซานกับบุตรชายที่สนับสนุนมู่อ๋องล่มจมไปแล้ว ขณะที่สวี่หมิงต๋าซึ่งใกล้ชิดกับรุ่ยอ๋องก้าวขึ้นรั้งตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการ บัดนี้รุ่ยอ๋องยังจะตบแต่งหลานสาวในสกุลเดิมของไทเฮาเป็นชายาเอกอีก ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เป็นผลดีต่อมู่อ๋อง
แต่จากที่สังเกตนิสัยใจคอของมู่อ๋องมา หลังเกิดเหตุการณ์ต่อๆ กันเหล่านี้ ทีท่าของมู่อ๋องกลับสงบนิ่งจนเกินไป
“เป็นไปได้มากว่ามู่อ๋องจะมีคนหนุนหลังอยู่”
ฉือชั่นหยักยิ้ม “เขาคงไม่มีทางก่อกบฏกระมัง อย่าเห็นฮ่องเต้ทรงไม่สนใจเรื่องภายนอก พระองค์ทรงกุมอำนาจกององครักษ์ไว้ในมือทั้งหมด มู่อ๋องคิดจะใช้กำลังก่อกบฏจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีโอกาส ถิงเฉวียน เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนรินน้ำผลไม้แช่เย็นให้เฉียวเจาถ้วยหนึ่งก่อนเอ่ยเสียงเรียบๆ “พวกเราไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงบัลลังก์ เอาเป็นว่าทหารบุกมาใช้ขุนศึกต้านรับ สายน้ำไหลบ่าเอาดินถมทับ”
“จริงของเจ้า พวกเราดื่มสุรากันดีกว่า” ฉือชั่นไม่อยากกลับวังองค์หญิงใหญ่จึงชวนทุกคนดื่มสุรากันต่อ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบิน ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็ถึงเดือนหกแล้ว
พออากาศร้อนมากขึ้น ฮ่องเต้หมิงคังนับวันยิ่งโมโหร้ายขึ้นเรื่อยๆ
เขาเพียงรู้สึกว่าข้างในกายร้อนรุ่มขึ้นทุกวันตามลำดับ แม้แต่เก็บตัวจำศีลยังไม่อาจสงบจิตใจได้ อีกทั้งไม่มีความอยากอาหาร สองวันนี้ถึงขั้นเลือดกำเดาไหล แต่เรียกแพทย์หลวงมาตรวจอาการ เจ้าพวกเลี้ยงเสียข้าวสุกก็บอกต้นสายปลายเหตุไม่ได้อีก
“เว่ยอู๋เสีย ไฉนในห้องถึงตั้งอ่างน้ำแข็งไว้เพียงไม่กี่ใบเช่นนี้ เจ้าอยากให้ข้าร้อนตายใช่หรือไม่”
“กระหม่อมจะให้คนยกอ่างน้ำแข็งอีกหลายๆ ใบมาเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียพูดปลอบอารมณ์ฮ่องเต้ที่กำลังหัวเสียอย่างหนักอยู่พร้อมกับลอบประหลาดใจเหลือหลาย
ในตำหนักเย็นสบายสุดจะเปรียบ ขนาดเขายังรู้สึกหนาวอยู่สักหน่อย ฮ่องเต้กลับรู้สึกร้อนหรือนี่
จิตใจของเว่ยอู๋เสียหนักอึ้งอย่างไร้สาเหตุ ทว่าสุดปัญญาจะทำอะไรได้เช่นกัน เขาสั่งให้ขันทีน้อยยกอ่างน้ำแข็งมาหลายใบอย่างว่องไว
ความร้อนรุ่มในใจของฮ่องเต้หมิงคังยังคงไม่บรรเทาลง เขาย่ำเท้าวนไปวนมาในห้องแล้วออกคำสั่งในที่สุด “เรียกท่านราชครูมา”
ไม่นานนักราชครูจางก็รุดมาถึง
ทันทีที่ก้าวเข้าประตูเขาก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้
หนาวเอาการจริงๆ!
“ท่านราชครู ฤดูร้อนปีนี้เมืองหลวงร้อนระอุเป็นพิเศษ เราตั้งใจจะไปหลบร้อนที่เขาชิงเหลียง ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร”
ราชครูจางลอบพินิจดูสีหน้าของฮ่องเต้ เห็นว่าแม้เขาจะดูมีกำลังวังชาไม่เลว แต่ใต้ตามีรอยคล้ำจางๆ สองแก้มแดงเรื่อแล้วในใจชักรู้สึกไม่เข้าทีจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เขาชิงเหลียงเป็นจุดที่มีฮวงจุ้ยดีเลิศ ฝ่าบาทเสด็จไปปฏิบัติวิปัสสนาที่นั่นหลายเดือนเป็นผลดีต่อการบำเพ็ญตบะพ่ะย่ะค่ะ”
พอเห็นสภาพของฮ่องเต้ชักไม่น่าไว้วางใจแล้ว ถ้าเกิดมีอันเป็นไปในวังหลวง คาดคะเนว่าเขาซึ่งเป็นราชครูคงต้องเคราะห์ร้ายครั้งใหญ่ แต่ถ้าอยู่นอกเมืองหลวง ดีไม่ดีสามารถหลบหนีไปแต่เนิ่นๆ จะได้รอดพ้นจากเภทภัย
คำกล่าวของราชครูจางทำให้ฮ่องเต้ตัดสินใจได้แล้ว เขาถ่ายทอดบัญชาอย่างรวดเร็วสั่งให้พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เชื้อพระวงศ์ และผู้สูงศักดิ์ตามเสด็จไปหลบร้อนที่เขาชิงเหลียง