หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 78
เฉียวเจาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันตึงเครียดเกินไป มาตรว่าองค์หญิงผู้นี้จะไว้ยศไว้อย่างอยู่สักหน่อย แต่จริงๆ แล้วมิได้กระทำเรื่องเลวร้ายอันใดต่อนาง ส่วนเรื่องต่อปากต่อคำของพวกหญิงสาว ไม่คู่ควรให้คิดเล็กคิดน้อยอยู่แล้ว
เหนือสิ่งอื่นใดมีองค์หญิงเก้าร่วมดื่มชาก็ทำให้สะดวกสบายขึ้นบ้าง
“ข้าไม่เห็น…” องค์หญิงเจินเจินเพิ่งเปิดปากพูดก็รีบกัดปลายลิ้นไว้แล้วเอ่ยบอกอย่างถือตัว “ในเมื่อเจ้าเชิญชวนด้วยน้ำใสใจจริง ข้าจะให้เกียรติเจ้าสักครา”
ถูกทิ้งไว้ตรงนี้เป็นเรื่องน่าอับอายเกินไป อีกอย่างนางอยากฟังมากจริงๆ ว่าคนธรรมดาหยิบเหรียญจากหม้อน้ำมันอย่างปลอดภัยได้เช่นไร
ถ้านางไม่รู้ให้กระจ่างแจ้ง ราตรีนี้คงนอนไม่หลับ
ฉือชั่นมองเฉียวเจาตาขวาง สีหน้าเย็นเยียบดุจฉาบด้วยน้ำแข็ง เขาพูดเสียงเยาะๆ กับองค์หญิงเจินเจิน “คำชวนของนางไม่นับ”
คิ้วของเขาเรียวยาว นัยน์ตาเป็นประกายระยับ ทั้งที่แสดงท่าทางโกรธเคืองกลับหล่อเหลาผิดมนุษย์มนา
เฉียวเจามององค์หญิงเจินเจินอีกครั้งแล้วถอนใจเฮือก
เฮ้อ…ทั้งคู่ต่างเป็นคนงามดุจหยกแท้ๆ ไฉนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองมิได้นะ
จะอย่างไรองค์หญิงเจินเจินก็หยิ่งในศักดิ์ศรีขององค์หญิง นางได้ยินฉือชั่นพูดอย่างไร้ไมตรีปานนี้ จึงเชิดคางขึ้นแล้วกล่าวอย่างทนไม่ไหวอีกต่อไป “เดิมทีข้าก็มิได้อยากไปอยู่แล้ว ขออำลา!”
องค์หญิงเจินเจินกล่าวจบแล้วมองเฉียวเจานิ่งๆ ครู่หนึ่ง นางเม้มมุมปากแน่นแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
“ยังไม่รีบไปอีก?” ฉือชั่นเหล่ตามองเฉียวเจาก่อนจะหมุนกายเดินไป
จูเยี่ยนเผยรอยยิ้มสุภาพนุ่มนวล “คุณหนูหลี เชิญเถอะ”
“เอ๊ะ ท่านรู้ได้เช่นไรว่าคุณหนูของข้าแซ่หลีเจ้าคะ” ปิงลวี่ตั้งข้อสงสัย แต่จู่ๆ นางก็เริ่มทำท่าตื่นเต้น กระตุกแขนเสื้อเฉียวเจาแล้วกล่าวว่า “คุณหนู ต้องเป็นเพราะท่านสร้างชื่อในวันนั้นแน่ๆ เจ้าค่ะ”
“หือ?” เฉียวเจาทำสีหน้าชอบกล ในที่สุดนางก็มั่นใจได้ว่าสาวใช้ของตนผู้นี้พอได้เจอคนงามก็จะมึนงงไร้สติ แข้งขาอ่อนระทวย
ปิงลวี่นึกว่าเฉียวเจาลืมไปแล้ว นางจึงพูดเตือนความทรงจำด้วยสีหน้าระรื่น “ก็วันที่กวนจวินโหวเข้าเมืองนั่นอย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านเกือบชนโดนตัวเขามิใช่หรือ”
คิดไม่ถึงจริงๆ เลยนะ คุณหนูของนางไม่เพียงมีวาสนากับกวนจวินโหวผู้หล่อเหลาทรงบารมี ยังมีวาสนากับคุณชายรูปงามอย่างที่สุดท่านนี้อีก
เฮ้อ…ข้าสมควรเลือกคนใดดีนะ ไม่สิ ต้องเป็นคุณหนูของข้าสมควรเลือกคนใดดีต่างหาก
พอเห็นปิงลวี่สองตาเป็นประกาย เฉียวเจาก็รู้สึกหน้าร้อนซู่อย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก
มีสาวใช้เป็นพวกเพ้อฝันเยี่ยงนี้ เพราะนางอบรมไม่เข้มงวดเอง
ฉือชั่นหยุดเดินกะทันหัน หยางโฮ่วเฉิงไม่ทันระวังเลยชนเข้ากับแผ่นหลังเขา
“เป็นอะไรไป”
ฉือชั่นไม่สนใจคำถามของสหาย ก้าวปราดๆ ไปตรงหน้าเฉียวเจา มุ่นคิ้วไต่ถาม “เจ้าเกือบชนโดนตัวกวนจวินโหวหรือ เพราะอะไรกัน”
หรือว่าแม่นางน้อยผู้นี้ก็หมายอาศัยเซ่าหมิงยวนไต่เต้าขยับฐานะเช่นกัน
“อะไรกัน ไม่พบกันไม่กี่วัน หัดใช้ลูกไม้นี้เป็นแล้วหรือ” เมื่อคิดถึงว่าเด็กสาวเบื้องหน้าโผไปซบอกสหายเยาว์ของตน คุณชายฉือรู้สึกขุ่นใจเป็นพิเศษ เขาเริ่มพ่นวาจาร้ายกาจอย่างสุดฝีปาก
ตอนนั่งเรือขึ้นเหนือ เจ้าหัวผักกาดที่เขาเก็บได้หัวนี้ยอมตามตาเฒ่าไปเพราะอีกฝ่ายมาพะเน้าพะนอเอาใจ หรือว่าเสน่ห์ของเขาไม่เพียงเทียบตาแก่หงำเหงือกผู้หนึ่งไม่ได้ ยังสู้เจ้าคนที่ดีแต่รบทัพจับศึกอย่างเซ่าหมิงยวนไม่ได้อีกด้วยหรือ
ปิงลวี่ทำตาปริบๆ ปิดปากเงียบอย่างรู้กาลเทศะ
เมื่อครู่นี้ข้าพูดผิดไปแล้วใช่หรือไม่… ประเดี๋ยวก่อน!
เมื่อครู่นี้บุรุษรูปงามชวนพิศที่สุดผู้นี้พูดว่า ‘ไม่พบกันไม่กี่วัน’ เช่นนั้นเขากับคุณหนูมิใช่รู้จักกันมาก่อนหรอกหรือ
เอ๊ะๆ ที่แท้เป็นผู้หลงใหลในตัวคุณหนูของข้านั่นเอง
สาวใช้น้อยสรุปอย่างมั่นอกมั่นใจ
“สือซี…” จูเยี่ยนทนฟังต่อไปไม่ไหว ส่งเสียงเรียกคำหนึ่ง
แม้นพูดว่าคุณหนูหลีต่างจากหญิงสาวทั่วไปอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีนางหนึ่ง จะกล่าววาจาเฉกนี้ได้ที่ใดกัน
เฉียวเจาขัดเคืองใจแล้วจริงๆ ถึงจะเป็นเพราะเขามีบุญคุณช่วยชีวิตไว้ นางจึงเต็มใจทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อตอบแทน แต่มิได้หมายรวมถึงศักดิ์ศรี
เฉียวเจาแย้มปากยิ้มแล้ว น้ำเสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน หากถ้อยคำที่กล่าวทำให้คนฟังอ้าปากหวออย่างตกตะลึงได้ “พี่ฉือสบายใจได้ ข้ารับรองว่าจะไม่ใช้ลูกไม้อะไรกับท่านทั้งสิ้นเจ้าค่ะ”
ดวงหน้าหล่อเหลาของฉือชั่นบูดบึ้งยิ่งขึ้น
ฉะนั้นหมายความว่าทั้งๆ ที่เป็นผักกาดขาวที่เขาเก็บได้ แต่เจ้าผักกาดขาวหัวนี้กลับเห็นใครต่อใครสำคัญกว่าเขาหมดสินะ
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสบตากันแล้วหัวเราะประสานเสียงกัน ไม่ว่าปะทะคารมกันคราใด สือซีล้วนต้องแพ้ทางให้แก่สาวน้อยผู้นี้อย่างหมดรูปดังคาด
เฉียวเจาย่อเข่าคารวะ “ถ้าพี่ฉือไม่อยากฟังเรื่องกลเม็ดตบตาอะไรแล้ว ข้าก็ขออำลาก่อนเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นเห็นนางลุกขึ้นแล้วหมุนกายจะออกเดินไปจริงๆ เขาจึงตะเบ็งเสียงพูดด้วยความโมโหเจียนคลั่ง “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เขาก้าวเท้ายาวๆ ไปดักหน้าเฉียวเจา เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกล่าว “ข้าเคยพูดอย่างนั้นเมื่อไรกัน ยังไม่รีบไปอีก เจ้าคิดจะถ่วงเวลาไปถึงตอนเย็นให้ข้าเลี้ยงอาหารรึ”
“ไปเถอะๆ” หยางโฮ่วเฉิงรีบพูดไกล่เกลี่ย
สีหน้าเฉยเมยไม่รู้สึกรู้สาของเด็กสาวตกอยู่ในสายตาของจูเยี่ยน เขาลอบถอนใจ หากสือซีคิดจะปฏิบัติต่อคุณหนูหลีด้วยท่าทีเดียวกับที่ทำกับหญิงสาวทั่วไป ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ผิดถนัดเสียแล้ว
ชายหนุ่มย้อนคิดไปถึงตอนพวกเขาสามคนมาพบปะกัน แล้วเอ่ยถึงเรื่องที่ลายมือของคุณหนูสามสกุลหลีถูกตาต้องใจอู๋เหมยซือไท่จนเชิญชวนนางมาอยู่เป็นเพื่อนที่อารามซูอิ่งบ่อยๆ โดยไม่ตั้งใจ วันนี้สือซีซึ่งไม่เคยย่างกรายมายังสถานที่จำพวกงานวัดพรรค์นี้ตั้งแต่อายุเกินสิบขวบ หลังจากไปคำนับป้ายวิญญาณของเฉียวซื่อที่จวนจิ้งอันโหวแล้วอยู่เป็นเพื่อนถิงเฉวียนครู่หนึ่ง ตอนออกมาก็เสนอว่าจะไปเดินเที่ยววัดต้าฝูอย่างหาได้ยาก
สหายรักอาจยังไม่รู้ตัว แต่เขาจับเค้าบางอย่างได้รางๆ ว่าสือซีรู้สึกต่อคุณหนูหลีต่างออกไป
บางทีอาจไม่ถึงขั้นมีจิตปฏิพัทธ์ ทว่าอย่างน้อยในใจสือซี คุณหนูหลีเป็นคนพิเศษมาก
จูเยี่ยนนิ่งมองเฉียวเจาอึดใจหนึ่ง ลอบคิดคำนึงว่า คุณหนูหลียังอายุน้อยแค่นี้ เกรงว่าคนหัวดื้ออย่างสือซีจะยิ่งทำอะไรๆ ให้แย่ลงน่ะสิ
คนทั้งกลุ่มเข้าไปในเพิงน้ำชาในที่สุด พวกเขาเลือกนั่งในห้องส่วนตัวที่เงียบสงบ
หยางโฮ่วเฉิงกล่าวกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลัก “คุณหนูหลี คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบท่านที่นี่ ช่างบังเอิญดีแท้”
“เอ๊ะ!” ปิงลวี่อุทานเสียงดังขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นางรีบปิดปากไว้
ยืนยันได้แน่ชัดแล้ว รู้จักกันจริงๆ!
เวลานี้หยางโฮ่วเฉิงถึงมองปิงลวี่อย่างพินิจแล้วทำหน้างงงันไป “ไม่ใช่สาวใช้ผู้นั้นนี่”
เขาสะเพร่าเสียแล้ว ต้องโทษที่ลืมมองหน้า มัวแต่คิดว่าสาวใช้ที่อยู่กับแม่นางน้อยคือคนที่จูเยี่ยนซื้อมา มิน่าถึงรู้สึกว่าเสียงดังหนวกหูผิดปกติ
มุมปากของเฉียวเจากระตุกริกๆ นางกล่าวขึ้น “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ นางชื่อปิงลวี่เป็นสาวใช้คนสนิทของข้า”
ปิงลวี่ได้ยินคุณหนูแนะนำนางเช่นนี้ก็ลิงโลดใจโดยพลัน ก็บอกแล้วว่านางต่างหากคือสาวใช้อันดับหนึ่งของคุณหนู
สาวใช้น้อยลืมเลือนไปสนิทใจว่าคุณหนูของตนมีสาวใช้คนสนิทรวมทั้งหมดสองคนเท่านั้น
หยางโฮ่วเฉิงคลายใจลงได้ ถามไถ่ขึ้นว่า “คุณหนูหลี ช่วงที่ผ่านมา…”
ฉือชั่นพลันกระแอมกระไอหลายเสียงตัดบทสหาย “เรื่องในอดีตไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว คุณหนูหลี เชิญท่านเล่าเรื่องหยิบเหรียญในหม้อน้ำมันเถอะ”
ในที่ที่มีคนเข้าๆ ออกๆ เช่นนี้ เรื่องบางเรื่องอย่าเอ่ยถึงเป็นการดี
หยางโฮ่วเฉิงคิดตามทันแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ๆ เล่าเรื่องนี้ดีกว่า”
“ความจริงแล้วง่ายดายมาก น้ำมันในหม้อนั่นดูเหมือนร้อนจัด อันที่จริงมีแค่น้ำมันชั้นหนึ่งลอยอยู่ข้างบน ส่วนข้างล่างเป็นน้ำส้มเปรี้ยวเจ้าค่ะ”
“แล้วจะมีอันใด” หยางโฮ่วเฉิงคิดแล้วไม่เข้าใจ จึงถามซักไซ้ต่อ
เฉียวเจายิ้มเอื่อยๆ “พี่ชายทั้งสามไม่เคยเข้าครัว ดูทีว่าคงไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน เวลาน้ำส้มเปรี้ยวเดือดจะไม่ร้อนมาก แค่พอๆ กับน้ำอุ่นเท่านั้น ยื่นมือลงไปย่อมจะไม่โดนลวกเป็นแผล”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง” หยางโฮ่วเฉิงร้องชมด้วยความเลื่อมใสยกใหญ่ “คุณหนูหลี ท่านรู้อะไรๆ มากมายจริงๆ”
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้น “คงเป็นกลโกงอุบายที่ไม่รู้ไปอ่านมาจากหนังสือปกิณกะเล่มใดสักเล่มกระมัง พูดราวกับว่าเจ้าเคยเข้าครัวกระนั้น”
“ข้าเคยเข้าครัว” เฉียวเจาบอกเสียงราบเรียบ
“คุณหนูของข้าเคยเข้าครัวเจ้าค่ะ” ปิงลวี่กล่าวแย้งขึ้น
เพียงแต่ว่าเกือบทำเรือนครัวไฟไหม้เท่านั้นเอง