หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 783
บทที่ 783
ไม่ผิดจากที่เซ่าหมิงยวนคาดไว้ พอรุ่ยอ๋องได้ข่าวจากราชครูจางก็เล็ดลอดหูตาผู้คนมาหาเขาทันที
“ท่านโหวช่วยข้าด้วย!” พอได้พบชายหนุ่มรุ่ยอ๋องทำประหนึ่งพบญาติสนิท กุมมือเขาแน่นพร้อมกับพูดขอร้อง
“ท่านอ๋องตรัสเช่นนี้กระหม่อมมิอาจเอื้อม ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงประสบเหตุใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อเห็นรุ่ยอ๋องทำท่าแตกตื่นทำอะไรไม่ถูก เขาก็ไต่ถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
หลังรอดตายมาได้ตอนเดินทางไปเขาหลิงไถล้วนเป็นเพราะองครักษ์ที่เซ่าหมิงยวนส่งไป บัดนี้รุ่ยอ๋องรู้สึกไว้วางใจคนตรงหน้าผู้นี้อย่างปราศจากเหตุผล จึงจับมือเขาพลางกล่าวว่า “ท่านโหว พระชนม์ชีพของเสด็จพ่อแขวนอยู่บนเส้นด้าย กำลังจะเกิดความระส่ำระสายครั้งใหญ่เต็มทีแล้ว…”
เซ่าหมิงยวนดึงมือคืนโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต เขาทำสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านอ๋องมีพระประสงค์จะให้กระหม่อมช่วยเหลืออย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
รุ่ยอ๋องไม่รับรู้ถึงท่าทีรังเกียจของท่านแม่ทัพแม้แต่น้อยนิด เขาทำหน้าเศร้าพลางกล่าว “ข้าได้ข่าวว่าขณะนี้เสด็จพ่อทรงสิ้นพระสติอยู่ แพทย์หลวงกำลังถวายการรักษาอย่างสุดความสามารถ ขอเพียงเสด็จพ่อทรงฟื้นขึ้นมาแล้วเรียกประชุมขุนนางคนสำคัญมาตรัสสั่งเสีย เช่นนั้นก็ไม่เกิดความระส่ำระสาย หาไม่แล้วข้าเป็นห่วงว่าคนบางคนจะฉวยโอกาสก่อความวุ่นวายขึ้น”
“ดังนั้นความหมายของท่านอ๋องคือ…” เขาอยากรู้นักว่ารุ่ยอ๋องจะพูดเรื่องสำคัญเมื่อไร
“ข้าอยากขอให้ท่านโหวช่วยข้าควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบระหว่างที่เสด็จพ่อหมดพระสติอยู่นี้”
คำกล่าวนี้ของรุ่ยอ๋องย่อมยังมีความนัยอีกชั้นหนึ่ง ถ้าหากฮ่องเต้หมิงคังไม่ฟื้นขึ้นมา ต่อจากนั้นก็คือการแย่งชิงกับมู่อ๋อง แต่ในสภาพการณ์ที่อยู่ห่างจากเมืองหลวง อีกทั้งฮ่องเต้มิได้พูดกำชับอะไรไว้ ถึงตอนนั้นการต่อสู้ของท่านอ๋องสองพระองค์ก็ต้องพึ่งกำลังทหารแล้ว
“ถ้าเกิดความวุ่นวายจริงๆ อาศัยเพียงองครักษ์ที่กระหม่อมพามาในครั้งนี้เกรงว่าสุดปัญญาจะทำอะไรได้ ท่านอ๋องทรงยกยอกระหม่อมเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
กวนจวินโหวปฏิเสธทางอ้อมมิได้เหนือความคาดหมายของรุ่ยอ๋อง เขาได้ยินวาจานี้แล้วจับแขนเสื้อของเซ่าหมิงยวนไว้พลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “เรื่องนี้ข้าย่อมรู้แน่นอน แต่ด่านซานไห่กวนอยู่ห่างจากจุดนี้ไม่ไกล ทัพเป่ยเจิงที่อยู่ใต้การบังคับบัญชาของท่านโหวมาหลายปีก็ประจำการอยู่นอกด่าน ท่านจะโยกย้ายกองทหารเป่ยเจิงเหล่านั้นมาช่วยข้าอีกแรงได้หรือไม่”
“คือว่า…” เซ่าหมิงยวนมุ่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะสั่นศีรษะแล้วเอ่ย “ยามนี้ไม่มีศึกสงคราม กระหม่อมไม่มีสิทธิ์เคลื่อนพล เกิดเรื่องโยกย้ายกำลังทหารโดยพลการเล่าลือออกไป กระหม่อมมีโทษถึงตาย…”
“ข้าพร้อมจะรุ่งเรืองและตกต่ำไปกับท่านโหว”
“ท่านอ๋อง…” เซ่าหมิงยวนมีสีหน้านิ่งขึงไปเล็กน้อย
รุ่ยอ๋องต้องการโน้มน้าวใจแม่ทัพใหญ่ผู้ซื่อสัตย์สุจริตตรงหน้าก็ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นแล้ว “ท่านโหวน่าจะรู้ว่าทันทีที่เสด็จพ่อสวรรคต บัลลังก์ต้องตกเป็นของข้าหรือมู่อ๋องผู้ใดผู้หนึ่ง ท่านโหวเคยช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าขอพูดตรงๆ โดยไม่ปิดบัง หากมู่อ๋องสืบทอดราชบัลลังก์ ด้วยนิสัยใจคอคับแคบของน้องหก เขาต้องไม่ปล่อยข้าเอาไว้เป็นแน่ แล้วชายารองของข้ากับฮูหยินของท่านโหวเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ถึงเวลานั้นมู่อ๋องจะละเว้นท่านโหวได้อย่างไร”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วทำหน้าวุ่นวายใจ
รุ่ยอ๋องตีเหล็กตอนยังร้อน กล่าวต่อทันทีว่า “ข้ารับรองต่อท่านโหวได้เลย ขอเพียงท่านโหวช่วยให้ข้าขึ้นสู่ตำแหน่งนั้นได้จะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกล่าวหาว่าร้ายท่านโหวเรื่องโยกย้ายกำลังทหารโดยพลการอย่างเด็ดขาด ภายหน้าเมื่อข้าขึ้นครองราชย์และสถานการณ์มั่นคงแล้ว ข้าจะพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องต่างสกุล* ให้แก่ท่านโหว”
เซ่าหมิงยวนรีบประสานมือคารวะ “ท่านอ๋องตรัสหนักไปแล้ว กระหม่อมมิบังอาจเด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านโหว ท่านโปรดช่วยข้าอีกแรงเถอะ”
เมื่อรุ่ยอ๋องพร่ำวิงวอนขอร้องซ้ำๆ แม่ทัพเซ่าก็ตอบตกลงอย่าง ‘ลำบากใจ’ ในที่สุด
“เคลื่อนพลจากด่านซานไห่กวนต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ กระหม่อมจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีๆ เช่นนั้นข้าจะรอข่าวดีจากท่านโหว” รุ่ยอ๋องโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง จากนั้นออกจากที่พำนักของเซ่าหมิงยวนไปอย่างลับๆ ล่อๆ
รุ่ยอ๋องไปแล้ว เฉียวเจาก็เดินเลี้ยวออกมาจากหลังฉากกั้น จากนั้นมองเซ่าหมิงยวนด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“มีอันใดรึ” เขาโอบไหล่นางไว้
“เพิ่งดูออกว่าจริงๆ แล้วท่านร้ายกาจไม่เบา”
ชายหนุ่มวางหน้าเคร่งขรึม “ฮูหยินพูดจาอะไรกัน นี่เรียกว่าการศึกมิหน่ายเล่ห์ เป็นหนึ่งในทักษะที่จำเป็นต้องมีของนายทหารที่รบทัพจับศึกเช่นพวกข้า”
หลอกลวงองค์ชายสักครั้งจะเป็นอะไรไป เรื่องอันตรายถึงชีวิตอย่างแย่งชิงบัลลังก์พรรค์นี้ ทันทีที่ไม่ระวังก็ต้องตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิด อย่างไรก็จะให้เป็นดังคำกล่าวว่า ‘ถูกขายแล้วยังช่วยเขานับเงิน’ ไม่ได้
“แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะมาประชวรอยู่นอกวังเช่นนี้” เซ่าหมิงยวนย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
โอรสสวรรค์สวรรคตอยู่นอกเมืองหลวงจะก่อให้เกิดความผันผวนปรวนแปรได้นานัปการเลยทีเดียว
เฉียวเจาคลายยิ้ม “ฮ่องเต้ทรงมีวันนี้ได้จะน่าแปลกอันใด พระองค์เสวยโอสถทิพย์แทบจะวันเว้นวัน พิษของมันแทรกซึมเข้าสู่อวัยวะต่างๆ มานานแล้ว ตอนข้าตรวจพระอาการก็พบแล้วว่าเป็นเพราะความร้อนกระตุ้นให้พิษโอสถทิพย์ที่สะสมอยู่ในพระวรกายกำเริบขึ้น หมดทางเยียวยาแต่แรกแล้ว”
เขาก้มหน้าจุมพิตหน้าผากนาง “เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ นี่ข้าจะไปเตรียมการเรื่องเคลื่อนพลตอนนี้เลย”
“ระวังตัวด้วย” เฉียวเจาจับมือเขาไว้
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงมองมือนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของภรรยาแล้วใจสั่นหวิว เขาบีบมือกุมตอบทีหนึ่งก่อนพูดยิ้มๆ “วางใจเถอะ เพียงสั่งการลงไป ส่วนตัวข้าจะอยู่ข้างกายเจ้าไม่ไปที่ใด”
เขาจะไม่ทิ้งเจาเจาไว้คนเดียว ปล่อยให้นางตกอยู่ในสภาพไร้ทางสู้อีก
อืม…ว่าไปแล้วยังคงเป็นมือของภรรยาที่จับแล้วสบายใจ รุ่ยอ๋องกลับมีนิสัยชอบแตะเนื้อต้องตัวผู้อื่น ช่างน่ารำคาญโดยแท้
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปพลางรำพึงในใจอย่างไม่สบอารมณ์
เฉียวเจาเดินไปที่ริมหน้าต่าง ทอดสายตามองไปในผืนราตรีด้านนอกที่มืดมิดไร้แสงดาวระยิบระยับสาดส่อง ต้นไม้ใบหญ้าเป็นเงาตะคุ่มๆ คล้ายภูตผีปีศาจ กระทั่งดวงจันทร์ก็หลบเข้าไปอยู่หลังม่านเมฆตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ กลุ่มเมฆดำหนาทึบคล้อยต่ำราวกับพายุฝนกำลังตั้งเค้า
ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้วจริงๆ นางคิดคำนึงในใจ
ยามนี้ยังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าต่าง
เขาเร้นกายอยู่ในเงามืดทำให้ไม่เห็นสีหน้าได้ชัดถนัดตา
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาลอยมา เขาดึงสายตาคืนจากนอกหน้าต่างหมุนกายไป
“ใต้เท้า ท่านมีสิ่งใดจะบัญชา”
เสียงหัวเราะเอื่อยๆ ของบุรุษดังขึ้นในความมืด “นำข่าวฮ่องเต้สวรรคตไปแพร่ให้ถึงหูมู่อ๋อง”
“น้อมรับคำสั่งขอรับ” ผู้มาขานตอบโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ภายในห้องที่มิได้จุดตะเกียงเหลือชายหนุ่มเพียงคนเดียว เขาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกคำรบหนึ่ง
ผืนเมฆบนฟ้าหนาทึบขึ้นทุกที ได้ยินเสียงฟ้าคำรามดังแว่วๆ
กลางฤดูร้อนมักเกิดลมฝนกะทันหันเป็นนิจ
ไม่นานนักสายอสนีบาตแหวกม่านฟ้ามืดดำ ตามมาด้วยสายพิรุณเทกระหน่ำลงมา
ลมแรงหอบฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วซัดกระทบหน้าต่าง ส่งผลให้กรอบหน้าต่างสั่นสะเทือนดังกุกกักๆ
เจียงหย่วนเฉาไม่ปิดหน้าต่าง เพียงหมุนกายกลับไปนอนลงบนเตียงแล้วหลับตาลงช้าๆ
ในสมองของเขาปรากฏภาพลักษณะพื้นที่ทั้งหมดของเขาชิงเหลียง จากนั้นภาพเฉียวเจายิ้มแย้มอ่อนหวานก็ผุดขึ้นวูบหนึ่ง
เขาอดใจรอคอยมานานกี่วันกี่คืนจนนับไม่ถ้วนในที่สุดก็มาถึงวันนี้แล้ว เขาอยากเห็นว่ามู่อ๋องกับรุ่ยอ๋องจะเข่นฆ่ากันเช่นไร
หลังมู่อ๋องรู้ข่าวว่าฮ่องเต้หมิงคังสวรรคต เขาตะลึงงันไปครู่หนึ่งแล้วอยากจะหงายหน้าหัวเราะร่าเลยทีเดียว
ในที่สุดเสด็จพ่อก็สวรรคต แม้แต่ฟ้ายังเป็นใจกับเขา เขานี่ล่ะคือโอรสสวรรค์ที่แท้จริง!
ฝนตกหนักมาทั้งคืน ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง มู่อ๋องก็รุดไปที่หน้าประตูพระตำหนักทำท่าจะบุกเข้าไปอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ท่านอ๋อง ไม่มีกระแสรับสั่งเรียกเข้าเฝ้าก็จะทรงบุกเข้ามา มิทราบว่ามีพระประสงค์จะกระทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียซึ่งสกัดอยู่หน้าประตูพระตำหนักไต่ถามเสียงเย็นชา
มู่อ๋องแค่นเสียงพูด “เว่ยกงกง เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ ถึงวันที่เสด็จพ่อเสด็จออกจากการจำศีลแล้ว เหตุใดไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เสียที”
“ท่านอ๋องทรงหมายจะหยั่งพระทัยองค์ฮ่องเต้หรือไร” เว่ยอู๋เสียย้อนถามอย่างปราศจากความเกรงใจ
เมื่อมี ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ อยู่ในมือ มู่อ๋องยังจะกริ่งเกรงเว่ยอู๋เสียที่ใดกัน เขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวแล้วผลักอีกฝ่ายออก “ถอยไป วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าจะต้องเข้าเฝ้าเสด็จพ่อให้จงได้!”
* อ๋องต่างสกุล เป็นบรรดาศักดิ์ที่กษัตริย์แต่งตั้งให้ผู้มีความดีความชอบซึ่งไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ผู้ได้รับบรรดาศักดิ์นี้คนแรกคือหลิวปัง ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น