หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 785
บทที่ 785
สีเหลืองสว่างในมือมู่อ๋องทำให้ทุกคนตาพร่า พอเขาคลี่สิ่งนั้นกางออกช้าๆ ก็เกิดเสียงคุกเข่าดังพึ่บพั่บ
มู่อ๋องชายตามองเว่ยอู๋เสีย “เว่ยกงกงจำไม่ได้หรือว่านี่คือสิ่งใด”
เว่ยอู๋เสียเพ่งพินิจซ้ำๆ เขาคุ้นเคยกับวัสดุที่ใช้เขียนพระราชโองการอย่างที่สุด ครั้นแน่ใจว่าเป็นของจริงอย่างไร้กังขาแล้วก็ไม่อาจไม่คุกเข่าลงได้
มู่อ๋องยื่นสิ่งที่อยู่ในมือให้กับสมุหราชเลขาธิการสวี่หมิงต๋าที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าของหมู่ขุนนางใหญ่ “เชิญสมุหราชเลขาธิการสวี่ถ่ายทอดพระราชโองการมอบราชสมบัติแทนเสด็จพ่อด้วยเถอะ”
เมื่อถ้อยคำนี้ดังขึ้นทุกคนต่างตกใจกันมาก จ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือมู่อ๋องกันตาเขม็ง
พระราชโองการมอบราชสมบัติ? ไฉนมู่อ๋องถึงมีพระราชโองการมอบราชสมบัติอยู่ในมือได้
เหตุใดอดีตฮ่องเต้…เอ๊ย…ฮ่องเต้ทรงเขียนพระราชโองการมอบราชสมบัติ
สวี่หมิงต๋ารับ ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ ไว้ด้วยสองมือแล้วลุกขึ้นยืนคลี่มันออกด้วยนิ้วมือที่สั่นเทาท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่นับไม่ถ้วน เขาชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะอ่านเสียงสั่นๆ “มู่อ๋องพระโอรสพระองค์ที่หกนามว่าอวี๋ ความประพฤติสูงส่งดีงาม ละม้ายคล้ายเราเป็นอย่างยิ่ง จะต้องรับหน้าที่ปกครองแผ่นดินได้ จึงให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากเรา เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์…” สวี่หมิงต๋าเพ่งมองรอยประทับตราลัญจกรหยกโดยไม่กะพริบตา ยิ่งมองยิ่งหนาวเหน็บใจ
เป็นของแท้หรือนี่ ฮ่องเต้ถึงกับเขียนพระราชโองการมอบราชสมบัติให้มู่อ๋องไว้แต่แรก!
เหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเงียบกริบไร้สุ้มเสียง หากความรู้สึกในใจกลับปั่นป่วนดุจคลื่นคลั่งเช่นเดียวกัน
จังหวะนี้เองเว่ยอู๋เสียผุดลุกขึ้นยืนฉับพลัน ความตะลึงพรึงเพริดบนใบหน้าเมื่อแรกเห็น ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ เลือนหายไป เขากล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย
“กระหม่อมเป็นขันทีตรวจฎีกาอยู่ข้างพระวรกายซ้ายขวาไม่เคยห่าง ไฉนไม่ทราบเลยว่าฮ่องเต้ทรงเขียน ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อใด”
“นี่เว่ยกงกงแคลงใจว่าพระราชโองการมอบราชสมบัติเป็นของปลอมหรือ” มู่อ๋องทำสีหน้าโกรธเกรี้ยว “เช่นนั้นเชิญเว่ยกงกงเบิกตาดูให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
เว่ยอู๋เสียขยับเข้าไปใกล้โดยไร้ความเกรงใจ เขาดูพระราชโองการมอบราชสมบัติในมือสวี่หมิงต๋าเสร็จแล้วก็ฝืนข่มความตื่นตะลึงไว้ในใจ กล่าวเสียงกระด้างว่า “พระราชโองการมอบราชสมบัตินี้เป็นของปลอมอย่างแน่นอน”
จิตใจของขุนนางทั้งหลายในยามนี้ประหนึ่งเดินผ่านเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวสูงๆ ต่ำๆ แต่กลับรักษาสีหน้านิ่งเฉยเอาไว้
ฟ้ากำลังจะเปลี่ยนสี ในเวลาอย่างนี้พวกเขาเป็นขุนนางที่สงบเสงี่ยมเจียมตนจะดีกว่า
“เว่ยกงกง ในเมื่อท่านเป็นขันทีตรวจฎีกา หรือว่าไม่คุ้นเคยกับลายพระหัตถ์ของเสด็จพ่อ รวมถึงรอยประทับตราลัญจกรหยกนี่ด้วย”
“กระหม่อมย่อมคุ้นเคยแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอู๋เสียกล่าวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เว่ยกงกงใช้มโนธรรมในใจกล่าวตอบทีว่าลายพระหัตถ์และรอยประทับตราลัญจกรหยกบนพระราชโองการนี้ถูกปลอมแปลงขึ้นใช่หรือไม่” มู่อ๋องมองเว่ยอู๋เสียอย่างเยาะหยันพลางถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้นแข็งกร้าว
สายตาของเว่ยอู๋เสียมองกวาดเหล่าขุนนางรอบหนึ่งแล้วย้อนกลับมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของมู่อ๋อง เขาแค่นเสียงพูดขึ้นว่า “ลายพระหัตถ์กับรอยประทับตราลัญจกรหยกมิได้ถูกปลอมแปลงขึ้นแล้วจะมีอันใด สิ่งของไม่มีความรู้สึกนึกคิด แต่คนมีชีวิตจิตใจ ขณะนี้ฮ่องเต้ทรงจำศีลอยู่ อีกสองวันจะเสด็จออกมาให้ทุกคนได้เข้าเฝ้า ถึงตอนนั้นก็จะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วมิใช่หรือ หรือว่าท่านอ๋องทรงรีบร้อนนำสิ่งที่บอกว่าเป็นพระราชโองการมอบราชสมบัติมาบุกรุกพระตำหนัก มีพระประสงค์จะยึดอำนาจชิงบัลลังก์พ่ะย่ะค่ะ”
“เว่ยอู๋เสียช่างกำแหงนัก! เจ้าไม่สำเหนียกตนว่าอยู่ในฐานะใด บังอาจใส่ร้ายท่านอ๋องอย่างข้าโดยไม่อายปากเช่นนี้ เจ้าอย่าลืมว่าถึงอย่างไรข้าก็คือพระโอรสของเสด็จพ่อ แล้วเจ้าเป็นใครมาจากที่ใด”
“ไม่ว่ากระหม่อมจะอยู่ในฐานะอะไรก็เป็นขันทีตรวจฎีกาควบหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง บัดนี้ท่านอ๋องมีพระประสงค์ไม่สุจริตเป็นอันตรายต่อฝ่าบาท ถึงกระหม่อมต้องตายก็ต้องขัดขวางไว้”
ในขณะที่บรรยากาศตึงเครียดเต็มที ทันใดนั้นสวี่หมิงต๋าก็อ้าปากถามขึ้น “มิทราบว่าท่านอ๋องทรงได้รับ ‘พระราชโองการมอบราชสมบัติ’ มาจากทางใดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องหันไปมองเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ย่อมจะมีคนน้อมรับพระบัญชาของเสด็จพ่อนำมามอบให้ข้าอย่างลับๆ”
“คนผู้นั้นคือใครพ่ะย่ะค่ะ”
มู่อ๋องอึกอักเล็กน้อย
เว่ยอู๋เสียกล่าวเยาะๆ “ในเวลาเช่นนี้เหตุใดท่านอ๋องทรงไม่สามารถบอกนามคนผู้นั้น หรือว่าคนผู้นั้นเปิดเผยตัวมิได้เพราะปลอมแปลงพระราชโองการฉบับนี้ขึ้นโดยมีเจตนาร้ายแอบแฝงอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงเว่ยอู๋เสียไม่ทันไร เสียงพูดราบเรียบของคนผู้หนึ่งก็ดังขึ้น “คนผู้นั้นคือข้าเอง”
ประตูพระตำหนักเปิดออก คนผู้หนึ่งแต่งกายด้วยชุดขันทีย่างเท้าออกมา
เว่ยอู๋เสียหน้าเสียไปถนัดตา
ผู้มาถึงคือหลิวฉุน ว่ากันถึงตำแหน่งเขาเป็นถึงขันทีถือตราลัญจกรที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา
สำหรับกองงานในพระองค์ ปกติตำแหน่งขันทีถือตราลัญจกรจะอยู่ในอันดับที่หนึ่ง มีคำเรียกขานว่าเป็นเสนาบดีฝ่ายใน แต่เพราะเว่ยอู๋เสียได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้หมิงคังอย่างมาก ทั้งยังเป็นหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวาควบคู่กันจึงข่มรัศมีของหลิวฉุนมานานหลายปี กลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครกล้าตอแย ส่วนหลิวฉุนขันทีถือตราลัญจกรก็รู้รักษาตัวรอดจึงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด
หลิวฉุนไม่ตัวโตสูงใหญ่เช่นเว่ยอู๋เสีย อีกทั้งสูงวัยแล้ว ยามนี้ดูไปก็เป็นชายชราผอมแกร็นใบหน้าขาวเกลี้ยงไร้หนวดเครา แต่หลังจากเขาแสดงบารมีออกมาอย่างเต็มที่กลับไม่ตกเป็นรองแต่อย่างใด
นัยน์ตาที่เริ่มฝ้าฟางอยู่บ้างของเขาเพ่งมองเว่ยอู๋เสียอย่างเคร่งขรึม หากแต่ในใจหาได้สงบนิ่งดุจสีหน้าไม่
เขาเป็นถึงเสนาบดีฝ่ายในผู้ทรงเกียรติกลับถูกเว่ยอู๋เสียกดศีรษะไว้จนมิดเรื่อยมา แทบจะกลายเป็นตัวตลกในหมู่ขันทีถือตราลัญจกรของทุกๆ ราชวงศ์
หลายปีที่อดกลั้นรอคอยมาในที่สุดวันนี้ก็เป็นวันของเขาแล้ว ขอเพียงหนุนมู่อ๋องขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขาต้องให้เว่ยอู๋เสียตายอย่างไร้ที่ฝังแน่นอน
ขันทีใหญ่สองคนสบตากันนิ่งๆ ส่วนเหล่าขุนนางต่างไม่กล้าเปล่งเสียงพูดราวกับมีภูเขากดทับอยู่เหนือศีรษะ
หากกล่าวว่าคนที่ส่งพระราชโองการมอบบัลลังก์ให้มู่อ๋องคือหลิวฉุนขันทีถือตราลัญจกร เช่นนั้นมีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนที่พระราชโองการนี้จะเป็นของจริง
ขณะที่ขุนนางทั้งหลายคิดถึงตรงนี้ หลิวฉุนปริปากพูดขึ้นว่า “ตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิผลัดเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าพระวรกายไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า อีกทั้งทรงค้นพบแล้วว่าเว่ยอู๋เสียขันทีตรวจฎีกาควบหัวหน้ากองตรวจสอบพิเศษหน่วยขวากุมอำนาจในราชสำนัก กำจัดผู้ไม่คล้อยตามตน จึงทรงเขียนพระราชโองการนี้อย่างลับๆ แล้วฝากไว้กับข้าและรับสั่งว่าหากเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับพระองค์ ให้หาทางนำพระราชโองการนี้ส่งไปให้มู่อ๋อง ป้องกันเว่ยอู๋เสียก่อเภทภัยในแผ่นดิน...”
ได้ยินคำกล่าวของหลิวฉุน มู่อ๋องหลุบเปลือกตาลงซ่อนเร้นแววตายินดี
มีถ้อยคำนี้ของหลิวฉุน พวกขุนนางน่าจะไม่สงสัยอีกแล้วว่าพระราชโองการนี้ไม่ใช่ของจริง
“หลิวฉุน เจ้าพูดจาส่งเดช” เว่ยอู๋เสียกล่าวเสียงห้วนจัด
หลิวฉุนยิ้มเยาะโดยไม่เกรงกลัวแม้สักกระผีก “เว่ยกงกงอาศัยอะไรกล่าวหาว่าข้าพูดจาส่งเดช แม้เจ้าจะเป็นคนสนิทข้างพระวรกาย แต่อย่าลืมว่าข้าก็เป็นเหมือนกัน มิหนำซ้ำในตอนที่เจ้ายังเป็นขันทีชั้นผู้น้อยผู้หนึ่ง ข้าก็ปรนนิบัติรับใช้องค์ฮ่องเต้อยู่แล้ว”
ถึงอย่างไรก็ฉีกหน้าแตกหักกันแล้ว มิใช่เจ้าตายก็เป็นข้ามอดม้วย
“เจ้าพูดเช่นนี้ไม่รู้สึกเหลวไหลบ้างหรือ ถ้าฮ่องเต้ทรงรังเกียจชิงชังข้าตอนช่วงฤดูใบไม้ผลิผลัดเปลี่ยนเป็นฤดูร้อนแล้วจะทรงเก็บข้าไว้จนถึงตอนนี้หรือ ใต้หล้านี้มีผู้ใดสามารถทำให้พระองค์ฝืนพระทัยได้” เว่ยอู๋เสียพูดแย้งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
หลิวฉุนประสานมือคำนับต่อฟ้า “ข้ามิบังอาจหยั่งพระทัย เอาเป็นว่าฝ่าบาททรงมอบพระราชโองการนี้ให้แก่ข้าจริงๆ เมื่อวานข้าไม่เห็นฝ่าบาทเสด็จออกจากการจำศีลเสียทีทั้งที่ครบเวลาแล้ว อีกทั้งเว่ยกงกงมีพฤติกรรมแปลกๆ ไม่น่าวางใจ ถึงได้แอบส่งพระราชโองการไปให้มู่อ๋องตามพระบัญชาก่อนหน้านี้”
มู่อ๋องเอ่ยปากขึ้นอย่างถูกจังหวะ “เรื่องเป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะรีบร้อนขอเข้าเฝ้าเสด็จพ่อเช่นนี้ไปไย ตอนเห็นพระราชโองการนี้ใจข้าเจ็บปวดเหลือแสน เพราะนั่นหมายความว่าเป็นไปได้มากกว่าจะเกิดเรื่องกับเสด็จพ่อแล้ว”
มู่อ๋องพูดพลางยกแขนเสื้อซับน้ำตา “เสด็จพ่อทรงยกบัลลังก์ให้ผู้ใด นี่มิใช่เรื่องที่ใครจะคัดค้านได้ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จพ่อแล้วกลับถูกคนชั่วจงใจปิดข่าวไว้ แล้วพวกเรายังนิ่งเฉยดูดาย นั่นคือความผิดมหันต์ที่ตายหมื่นครั้งก็ไม่สาสม”
ขุนนางทั้งหลายฟังแล้วอดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้
มู่อ๋องเห็นเหล่าขุนนางมีสีหน้าโอนเอนแล้วจึงตีเหล็กตอนยังร้อน ชูแขนกล่าวปลุกใจว่า “ใต้เท้าทุกท่าน บัดนี้ข้ามีพระราชโองการอยู่ในมือ และมีท่านขันทีถือตราลัญจกรเป็นพยาน ทุกท่านยังจะรอช้าอยู่ไย หรือว่าความปลอดภัยของเสด็จพ่อไม่อาจเทียบกับส่วนได้ส่วนเสียของพวกท่าน ข้าขอกล่าวซ้ำคำเดิม หากเสด็จพ่อทรงปลอดภัยดี ข้าเต็มใจรับผิดชอบผลลัพธ์ที่ตามมาเอง”
เว่ยอู๋เสียเห็นมู่อ๋องชักจูงใจเหล่าขุนนางได้เพราะหลิวฉุนยื่นมือเข้ามาจนส่งผลให้รูปการณ์เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ลอบรำพึงในใจ
ไม่ได้การแล้ว