หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 788
บทที่ 788
“ฮูหยินท่านโหว แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ” พอเห็นเฉียวเจาดึงมือกลับ เว่ยอู๋เสียเอ่ยถามอย่างวิตกกังวล
นางพินิจมองฮ่องเต้หมิงคังที่ปิดตาสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะ “อื้อ ได้แล้ว”
อาการของฮ่องเต้หมิงคังนี้อาจจะรักษาให้รอดชีวิตได้ยาก แต่ถ้าเพียงกระตุ้นแรงฮึดเฮือกสุดท้ายที่แฝงอยู่ในกายขึ้นมาหาใช่เรื่องลำบากซับซ้อนมากไม่
“ฮูหยิน พอถึงพลบค่ำวันพรุ่งนี้จะดึงเข็มออกตอนยามเท่าไร”
โดยปกติพลบค่ำเป็นคำบอกช่วงเวลากว้างๆ เท่านั้น เว่ยอู๋เสียไม่กล้าชะล่าใจ
เฉียวเจาขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ “เรื่องนี้ต้องดูตามสถานการณ์แล้ว”
เว่ยอู๋เสียโค้งกายต่ำๆ ให้นาง “ถ้าอย่างนั้นท่านโหวและฮูหยินได้โปรดรั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราวเถอะ บุญคุณของท่านทั้งสอง ข้าจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม”
เฉียวเจาคลี่ยิ้ม “เว่ยกงกงไม่จำเป็นต้องกล่าวเช่นนี้ ในเมื่อท่านโหวพาข้ามา ข้าย่อมทำอย่างสุดความสามารถเป็นธรรมดา ถึงอย่างไรจะปล่อยให้พวกโจรกบฏก่อการสำเร็จมิได้”
“ฮูหยินมีความเที่ยงธรรมยิ่ง!”
“เช่นนั้นข้าพาฮูหยินของข้าไปพักผ่อนก่อน”
เว่ยอู๋เสียสั่งให้ขันทีพาทั้งสองไปที่พำนักชั่วคราวทันที
พอเห็นห้องที่งามวิจิตรหรูหรา เฉียวเจาก็อดยิ้มไม่ได้ “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีโอกาสได้อยู่ในที่เช่นนี้”
“เจ้าชมชอบหรือ” เซ่าหมิงยวนถามกระเซ้า
นางมองค้อนเขาวงหนึ่ง “ท่านอย่าคิดเหลวไหล ที่นี่จะดีปานใดก็นอนไม่สบายเท่าจวนเราเอง”
“นั่นสิ อย่าว่าแต่พวกเรา กระทั่งฮ่องเต้อยู่ที่นี่เคยได้บรรทมสนิทหรือไร”
ชายหนุ่มสวมกอดภรรยาพลางลูบผมนางเบาๆ “ดึงเจ้าเข้ามาพัวพันอีกแล้ว”
เฉียวเจาได้อิงแอบอยู่ในอ้อมอกคุ้นเคยแล้วรู้สึกปลอดภัยมั่นคงสุดจะเปรียบ นางโอบเอวเขากอดตอบพร้อมกล่าวทอดถอนใจ “พวกเราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กลางป่าเขาสักหน่อย เมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าคนในแผ่นดินส่วนใหญ่ ต้องเผชิญกับคลื่นลมมากกว่าพวกเขามิใช่เรื่องสมควรหรอกหรือ”
“ถึงอย่างนั้นก็ควรให้ข้าเป็นผู้เผชิญเอง”
หญิงสาวชายตามองเขา “ข้าเป็นภรรยาของท่าน ไม่ใช่ตุ๊กตากระเบื้อง อีกอย่างหนึ่งข้าเชื่อว่าท่านจะต้องคุ้มครองข้าให้พ้นภัยได้”
เซ่าหมิงยวนยิ้มออกแล้ว “หากถึงขั้นเลวร้ายที่สุด พวกเราสามารถหลบหนีไปให้ไกลจากสถานที่แห่งความขัดแย้งนี้ได้ เอาล่ะ นอนเถอะ ในเวลาอย่างนี้ยิ่งต้องออมแรงเอาไว้”
ทั้งคู่ล้มตัวลงนอนทั้งอาภรณ์ชุดเดิม เฉียวเจานอนอยู่ข้างกายเขา ผ่านไปครู่หนึ่งนางส่งเสียงถามขึ้น “ถิงเฉวียน ที่ท่านบอกว่าไปไกลจากสถานที่แห่งความขัดแย้ง หมายถึงไปจากต้าเหลียงใช่หรือไม่”
ในศึกชิงบัลลังก์ครั้งนี้หากมู่อ๋องเป็นฝ่ายชนะ นางกับเขาอยากมีชีวิตสุขสงบเห็นทีจะมิใช่เรื่องง่าย ทว่าแผ่นดินทั่วหล้านี้ไม่มีที่ใดไม่ใช่ของกษัตริย์ มีเพียงไปจากต้าเหลียงถึงไม่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของมู่อ๋องอีกสืบไป
เซ่าหมิงยวนจับมือนางขึ้นมา “ข้าเคยคิดอยู่เหมือนกัน ทางทิศใต้พวกเราสามารถออกทะเล ส่วนทางทิศเหนือพวกเราก็เสาะหาดินแดนที่เป็นกลางสักแห่งตามเขตแดนระหว่างต้าเหลียง เป่ยฉีและซีเจียงได้ หากปล่อยวางทั้งหมดนี้ได้จริงๆ พวกเรามีทางไปเสมอ กระนั้นหันหลังให้ถิ่นเกิดเป็นเรื่องยาก พ่อแม่พี่น้องของเจ้าล้วนอยู่ที่นี่ ไม่ถึงขั้นสุดวิสัยจริงๆ ข้าไม่คิดจะเดินก้าวนี้หรอก”
ดวงตาของหญิงสาวทอประกายระยับ “โพ้นทะเลกับแดนเหนือต่างมีข้อดีของตนเอง ความจริงขอเพียงพวกเราอยู่ด้วยกันที่ใดๆ ก็เหมือนกัน ท่านปู่เคยบอกข้ามิใช่ครั้งเดียวว่าใจเราอยู่ที่ใดบ้านเกิดคือที่นั่น”
เซ่าหมิงยวนลูบไล้พวงแก้มนาง “อื้อ นอนเถอะ”
เฉียวเจาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วหลับตาลง
ใต้แสงไฟสลัวรางเซ่าหมิงยวนยกมือขึ้นดู
เขาอาศัยดาบกระบี่ในมือดิ้นรนขวนขวายจนได้รับทุกสิ่งในทุกวันนี้ แล้วเหตุใดต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากบ้านเกิดประหนึ่งสุนัขเร่ร่อน ให้ภรรยาและบุตรของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิงเพราะผู้ปกครองแผ่นดินไร้ทศพิธราชธรรม
ถึงที่สุดแล้วเซ่าหมิงยวนยังมิได้เปิดอกคุยกับเฉียวเจาในเรื่องนี้
เจาเจาเป็นหลานสาวของจอมปราชญ์เฉียวจัว ได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์เฉียวตั้งแต่วัยเยาว์ เรื่องความจงรักภักดีต่อกษัตริย์และบ้านเมือง ตลอดจนการยึดถือธรรมเนียมมารยาทล้วนถูกปลูกฝังจนติดตัวไปแล้ว ถ้าไม่ถึงก้าวสุดท้ายไยเขาต้องเผยความคิดที่ผิดอาญาแผ่นดินออกมาให้นางต้องกลัดกลุ้มใจเล่า
เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังมาจากด้านข้าง ชายหนุ่มมองดวงหน้าของภรรยาที่หลับสนิทไปแล้วแย้มยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ เขาแอบประทับจูบบนกลีบปากนางทีหนึ่งก่อนจะหลับใหลไป
ทั้งสองหลับไปถึงตอนเพิ่งฟ้าสางก็ตื่นขึ้นแล้ว
มิใช่ว่าเขากับนางเป็นคนนอนน้อย แต่เพราะด้านนอกมีเสียงฆ่าฟันกันดังสนั่นก้องฟ้า ถึงจะอยู่ด้านในพระตำหนักก็ยังได้ยินชัดถนัดหู
เซ่าหมิงยวนกับเฉียวเจาลุกจากเตียงก่อนจับอาภรณ์ให้เรียบร้อยแล้วล้างหน้าบ้วนปาก
ตอนขันทีน้อยหน้าตาหมดจดผู้หนึ่งยกอาหารเช้าอย่างพร้อมพรั่งมาให้ เซ่าหมิงยวนก็ไต่ถามเขา “ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ขันทีน้อยรีบก้มหน้าลงแล้วกล่าวตอบอย่างประหม่า “บ่าวไม่ทราบเช่นกันขอรับ หากท่านโหวอยากทราบสามารถถามท่านหัวหน้ากองของพวกข้าได้”
“ไปเถอะ พวกเราไปพบเว่ยกงกงกัน”
เว่ยอู๋เสียกับราชครูจางเฝ้าอยู่ในห้องของฮ่องเต้หมิงคังตลอด ส่วนสถานการณ์รบที่หน้าประตูตำหนักจะมีขันทีคอยรายงานต่อเข้ามาเป็นทอดๆ
เมื่อเซ่าหมิงยวนเอ่ยถามขึ้น เขาพูดด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ฝ่ายข้าสูญเสียกำลังคนไปเกือบครึ่ง ถ้าต้องต้านทานไปถึงตอนพลบค่ำจริงๆ เกรงว่าคงยากที่จะเหลืออยู่สองถึงสามในสิบส่วน…”
เขาได้ยินแล้วสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าขอบอกกับกงกงไว้ก่อน พอถึงตอนนั้นฮูหยินข้าดึงเข็มเงินออกให้ฮ่องเต้แล้ว ไม่ว่าสถานการณ์รบเป็นอย่างไร ข้าจะพานางออกจากที่นี่ทางประตูหลังทันที”
“เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว” เว่ยอู๋เสียกล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน
อย่าว่าแต่กวนจวินโหวอยากรีบกลับไป ถึงไม่ยอมไปเขาก็ต้องหาทางส่งตัวออกไป หาไม่แล้วให้คนด้านนอกเห็นชายหนุ่มปรากฏตัวอยู่ในพระตำหนักที่ประทับของฮ่องเต้แล้วจะคิดอย่างไรกัน
“กงกงมิสู้เตรียมคิดว่าหลังฮ่องเต้ทรงฟื้นขึ้นมาแล้วจะทำให้ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดในเวลาที่สั้นที่สุดอย่างไรดีกว่า” เซ่าหมิงยวนเอ่ยเตือน
เว่ยอู๋เสียสบตากับราชครูจางแวบหนึ่งก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องนี้ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงตอนนั้นยังต้องให้ท่านราชครูออกโรง”
ราชครูจางพยักหน้ากับเซ่าหมิงยวนพลางส่งสายตาอย่างรู้กันเองโดยไม่ต้องพูด
ถึงตอนเที่ยงตรงอย่างรวดเร็ว
ดวงตะวันส่องแสงเริงแรงลอยสูงอยู่กลางฟ้า นอกประตูพระตำหนักมีซากศพสุมทับกันกองแล้วกองเล่า โลหิตสีแดงฉานอาบย้อมกำแพงและพื้นดิน ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้งจนแทบหายใจไม่ออก
เหล่าขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่อดทนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนพวกนั้นต่างอ่อนล้าเต็มที เริ่มเป็นลมหมดสติไปทีละคนสองคน ทว่าศึกชิงบัลลังก์ยังไม่สิ้นสุด ไม่ว่าอย่างไรคนที่ยังมีสติอยู่ล้วนไม่มีความคิดจะจากไปอย่างนี้
“ท่านสมุหราชเลขาธิการ หรือไม่ท่านไปพักผ่อนสักครู่ก่อนเถอะขอรับ” พอเห็นใบหน้าของสวี่หมิงต๋าซีดขาว ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งก็พูดกล่อมขึ้น
“เหลวไหล! ในเวลาอย่างนี้จะไปพักผ่อนได้อย่างไร ต้องยืนยันให้ได้ว่าฮ่องเต้ทรงปลอดภัยหรือไม่ต่างหากเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก” สวี่หมิงต๋าดุด่าเสียงดังฉาดฉาน
ผู้ใต้บังคับบัญชาโดนละอองน้ำลายของท่านสมุหราชเลขาธิการกระเด็นใส่จนลนลานก้มหน้าลงไม่กล้ากล่าววาจาอีก
ในระหว่างที่ขุนนางทั้งหลายรอคอยด้วยความอกสั่นขวัญแขวนและทุรนทุรายใจ ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยลงทางทิศประจิมทีละน้อยพร้อมกับมีคนทยอยล้มลงหมดสติไปอีกเจ็ดแปดคน
มู่อ๋องเห็นว่าฝ่ายตนอยู่ในสถานการณ์เป็นต่อแล้ว ประตูพระตำหนักที่จู่โจมมาหนึ่งวันหนึ่งคืนใกล้จะพังมิพังแหล่ เขามองไปทางรุ่ยอ๋องที่ใบหน้าเผือดขาวท่ามกลางเงาดาบประกายกระบี่แล้วเผยรอยยิ้มฮึกเหิมอย่างห้ามไม่อยู่
สุดท้ายเป็นเขาที่ชิงลงมือก่อนก้าวหนึ่ง หนนี้สวรรค์อยู่ข้างเดียวกับเขา
เสียงโครมครามดังขึ้นเมื่อประตูหนาหนักล้มทลายลง ขันทีที่หลบไม่ทันโดนทับอยู่ข้างใต้ ยังไม่ทันดิ้นกระเสือกกระสนก็มีคนนับไม่ถ้วนย่ำลงบนบานประตูวิ่งผ่านเข้าไปอย่างรวดเร็ว พาให้โลหิตสีแดงฉานไหลกระจายออกมาตามช่องระหว่างประตูกับพื้นดิน
“ท่านหัวหน้ากอง ประตูพระตำหนักถูกตีแตกแล้วขอรับ คนของพวกเราที่อยู่ด้านหน้ากำลังสกัดไว้สุดกำลัง ไม่รู้ว่าจะต้านทานได้อีกนานเท่าไร…” ขันทีเข้ามารายงานอย่างร้อนรน
เว่ยอู๋เสียหลั่งเหงื่อเย็นเต็มศีรษะ ทันใดนั้นเขาได้ยินสุ้มเสียงแฝงความตื่นเต้นยินดีเต็มเปี่ยมของราชครูจางดังลอยมา “ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”