หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 789
บทที่ 789
เว่ยอู๋เสียก้าวพรวดเข้าไปด้านในทันที
ฮ่องเต้หมิงคังลืมตาแล้ว มิหนำซ้ำยังลุกขึ้นนั่งและกล่าวอย่างงุนงง “ท่านราชครู เราเป็นอะไรหรือ”
ราชครูจางทำสีหน้าปีติยินดี “ถวายความยินดีต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“ยินดีเรื่องอะไรกัน” ฮ่องเต้หมิงคังไม่เคยเห็นราชครูจางดีใจจนออกนอกหน้าเช่นนี้มาก่อน มุมปากเขายกโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“เดิมทีฝ่าบาทสมควรเสด็จออกจากการจำศีลเมื่อสองวันก่อน แต่กลับทรงพระสุบินจนตอนนี้ ดังนั้นกระหม่อมถึงได้ถวายความยินดีต่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เรานอนหลับไปนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังประหลาดใจยกใหญ่
สีหน้าของราชครูจางฉายแววจริงจัง “ฝ่าบาทหาใช่บรรทมไม่ หากแต่ทรงเข้าฌานอยู่ พระองค์ทรงก้าวไปถึงขั้นฟ้าดินรวมเป็นหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านราชครูหมายความว่า…” นัยน์ตาของฮ่องเต้หมิงคังเปล่งประกายระยับ
ราชครูจางประสานมือคารวะฮ่องเต้หมิงคัง “ขอถวายความยินดีต่อฝ่าบาท พระวรกายเข้าสู่ภาวะกึ่งเทพเซียนแล้ว อีกราวหนึ่งเค่อเป็นอย่างมากก็จะมีเทวทูตมารับพระองค์เสด็จขึ้นสู่แดนสวรรค์ไปสดับฟังคำชี้แนะของท่านมหาเทพ เมื่อทรงฝึกปรือวิชาเทพเซียนสำเร็จ ค่อยเสด็จลงมาปกครองแผ่นดินอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
“ที่ท่านราชครูกล่าวเป็นความจริงหรือ” ฮ่องเต้หมิงคังดีใจจนสุดระงับ
“กระหม่อมจะบังอาจโกหกหลอกลวงฝ่าบาทได้เช่นไร หากฝ่าบาททรงแคลงพระทัย ลองกลั้นหายใจตั้งสมาธิสักครู่ก็ไม่เสียหาย ทรงรู้สึกพระวรกายเบาหวิวลอยล่องอยู่กลางหาวดุจเทพเซียนใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงคังกลั้นหายใจตั้งสมาธิตามคำแนะนำของเขาจริงๆ เพียงรู้สึกอุ่นผะผ่าวไปทั้งสรรพางค์กายคล้ายถูกโอบล้อมด้วยกระแสน้ำอุ่น ตัวลอยหวิวๆ เหมือนจะเหินบินขึ้นฟ้า
ฮ่องเต้หมิงคังยินดีเจียนคลั่งอย่างช่วยไม่ได้ “ฮ่าๆๆ เราใฝ่ใจบำเพ็ญเพียรมายี่สิบปี ในที่สุดก็มาถึงวันนี้…”
ในตอนนี้เองเขาเพิ่งเห็นเว่ยอู๋เสียในสภาพทรุดโทรม เขาอดขมวดคิ้วไม่ได้ “เว่ยอู๋เสีย เรากลายเป็นเทพเซียนได้ในที่สุดเป็นเรื่องมงคลใหญ่หลวง ไฉนสารรูปเจ้าถึงเป็นอย่างนี้”
เว่ยอู๋เสียร่ำไห้น้ำหูน้ำตาไหล “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์บรรลุตบะเป็นเทพเซียนได้แล้ว กระหม่อมปลาบปลื้มปีติสุดประมาณ ทว่าข่าวที่พระองค์เสด็จออกจากการจำศีลล่าช้าแพร่ออกไปได้อย่างไรก็สุดรู้ เวลานี้มู่อ๋องถือพระราชโองการมอบราชสมบัติปลุกระดมให้องครักษ์จินหลินกับองครักษ์อวี่หลินบุกเข้ามา ตอนนี้พวกเขาตีประตูพระตำหนักแตก กำลังจะมาถึงที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ!” รอยยินดีบนใบหน้าฮ่องเต้หมิงคังเลือนหายไปสิ้นและถูกแทนที่ด้วยไฟโทสะลุกโชน “เจ้าเดรัจฉานนั่นไปเอาพระราชโองการมอบราชสมบัติมาจากที่ใด”
เว่ยอู๋เสียได้ทีกล่าวเพ็ดทูล “หลิวฉุนบอกว่าพระองค์ทรงเขียนพระราชโองการไว้ล่วงหน้าแล้วฝากไว้ที่เขา มีรับสั่งกำชับให้เขามอบให้แก่มู่อ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาท เร็วเข้าเถอะ พระองค์ทรงเหลือเวลาอยู่ไม่มากแล้วนะ
“พูดจาเหลวไหล!” ฮ่องเต้หมิงคังทำสีหน้าบึ้งตึงด้วยความโกรธ “ตามเราออกไป เราจะจัดการเดรัจฉานพวกนี้ให้รู้สำนึก”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยอู๋เสียเก็บงำสีหน้ายินดีไว้ เขากับราชครูจางสบตากันก่อนจะเดินขนาบข้างซ้ายขวาตามฮ่องเต้หมิงคังออกไป
เมื่อประตูพระตำหนักถูกตีแตก พวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ยืนมองดูอยู่ข้างๆ จนใกล้สิ้นความอดทนมานานแล้ว จึงพากันตามเข้าไปดูสองฝ่ายเข่นฆ่ากันจากจุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ถึงที่สุดแล้วกำลังพลฝ่ายในมีจำนวนน้อยกว่า หลังจากผ่านการสู้รบนองเลือดมาสองวันก็สูญเสียคนไปมากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลืออยู่เพียงฝืนกำลังตั้งรับไว้เท่านั้น
ด้วยองครักษ์จินหลินกับองครักษ์อวี่หลินผนึกกำลังกันรุมโจมตี ส่งผลให้องครักษ์จินอู๋ต้านทานได้ยากดุจเดียวกัน
ภายในพระตำหนักที่งามวิจิตรโอ่อ่าแต่เดิมมีศพคนตายในสภาพอเนจอนาถให้เห็นทุกหนแห่ง ผนังที่สลักลายอย่างงดงามเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตกระจายไปทั่ว พวกองครักษ์ที่ฟาดฟันกันจนเลือดเข้าตาเหยียบย่ำซากศพและกองโลหิตรุกคืบเข้าสู่ด้านในของพระตำหนักทีละก้าวๆ
เป็นเวลาดึกมากแล้ว หมู่ดาวดารดาษกลางผืนฟ้ากับแสงโคมราชสำนักนับไม่ถ้วนช่วยกันประดับประดาให้พระตำหนักที่ประทับสว่างไสวดุจยามกลางวัน
หลิวฉุนกล่าวเสียงดัง “เว่ยอู๋เสีย! เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าเลิกหลบอยู่ข้างหลังกระทำตนเป็นเต่าหดหัวได้แล้ว รีบบอกพวกข้ามาโดยไวว่าฮ่องเต้ประทับอยู่ที่ใด”
มู่อ๋องตะโกนพูดต่อ “ใช่ พวกเจ้าปิดข่าวเสด็จพ่อสวรรคตมีเจตนาชั่วร้ายสกปรก หากตอนนี้ยังดึงดันไม่สำนึกผิด เช่นนั้นข้าจะสับพวกเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”
“เจ้าจะสับใครเป็นหมื่นๆ ชิ้นรึ”
เมื่อได้ยินเสียงนี้เสียงดาบกระบี่กระทบกันเงียบลงทันควัน การฆ่าฟันกันอย่างดุเดือดก็หยุดชะงักไปในพริบตา
ฮ่องเต้หมิงคังสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกมา ใต้แสงไฟสว่างจ้ามองเห็นสีพระพักตร์ที่กริ้วจัดได้อย่างชัดเจน
“สะ…เสด็จพ่อ…” ชั่วขณะที่เห็นชัดว่าเป็นพระบิดา มู่อ๋องตกใจจนขวัญกระเจิง ตัวเซถอยกรูดๆ ไปหลายก้าว
ฮ่องเต้หมิงคังเหลียวมองรอบด้านแล้วไต่ถามด้วยความเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ “บัดซบ! พวกเจ้าจะทำอะไร หรือคิดจะก่อกบฏใช่หรือไม่”
เมื่อฮ่องเต้กล่าวคำนี้ออกมาก็บังเกิดเสียงคุกเข่าตุบๆ ดังระงม ตามมาด้วยเสียงอาวุธหล่นลงบนพื้นไม่ขาดสาย
“ฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ๆ” ขุนนางใหญ่ที่คุกเข่าหมอบกับพื้นไม่น้อยพากันปิดหน้าร่ำไห้
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี”
เสียงคนนับไม่ถ้วนประสานเป็นหนึ่งเดียวดังกึกก้องจนแม้แต่จันทร์กระจ่างกลางฟ้ายังหลบเข้าไปในม่านเมฆด้วยความตื่นตระหนก
ฮ่องเต้หมิงคังชูสองมือขึ้น รอบด้านก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียงโดยพลัน
เขามองไปทางมู่อ๋องอย่างเย็นชา
มู่อ๋องซึ่งคุกเข่าหมอบกับพื้นตกใจจนคุมสติไม่อยู่ พูดพึมพำไม่หยุดปาก “เป็นไปได้อย่างไร…เป็นไปได้อย่างไรกัน เสด็จพ่อสวรรคตแล้วชัดๆ ไฉนยังมีพระชนม์ชีพอยู่อีกเล่า”
ยามนี้ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนในที่นี้ล้วนได้ยินเสียงพูดซ้ำๆ วกวนไปมาของเขาจนหมด สายตาที่มองไปทางมู่อ๋องพวกนั้นไม่ต่างจากเห็นคนตายแล้ว
ฮ่องเต้หมิงคังเห็นมู่อ๋องยังสาปแช่งให้ตนตายซึ่งๆ หน้าก็โมโหจนหน้ามืดเป็นระลอก พาให้ร่างกายโงนเงนไปมาอย่างช่วยไม่ได้
เว่ยอู๋เสียเห็นดังนั้นรีบพยุงเขาไว้จากทางด้านหลังอย่างมือไวตาไว
ฮ่องเต้หมิงคังสงบสติอารมณ์ลง มองพระโอรสที่คุกเข่าบนพื้นอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาทอประกายอำมหิต
เขากำลังจะสำเร็จเป็นเทพเซียนแล้ว ถึงตอนนั้นจะมีอายุขัยไม่สิ้นสุดและกลับคืนเป็นหนุ่มอีกครั้ง อยากจะให้กำเนิดบุตรสักกี่คนก็ได้ แล้วจะเก็บเดรัจฉานที่ตั้งตารอคอยให้เขาสวรรคต ซ้ำยังเป็นกบฏก่อความไม่สงบเช่นนี้ไว้อีกด้วยเหตุใดกัน
“ฝ่าบาท…” เว่ยอู๋เสียลอบส่งเสียงเตือนแผ่วเบา
เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วนะ ทรงมีอะไรจะสั่งกำชับก็รีบเข้าเถอะ!
ฮ่องเต้หมิงคังคิดถึงจุดนี้ได้เช่นกันอย่างเห็นได้ชัด เขานึกในใจว่าก่อนจะไปท่องแดนสวรรค์จะต้องสะสางเรื่องวุ่นวายในครอบครัวให้เรียบร้อยก่อน เช่นนี้ถึงจะรับฟังคำชี้แนะของท่านมหาเทพได้อย่างสบายใจ จึงกระแอมให้คอโล่งแล้วกล่าวว่า “มู่อ๋องพระโอรสพระองค์ที่หกนามว่าอวี๋ คิดคดทรยศ ปลอมแปลงพระราชโองการหมายยึดอำนาจชิงบัลลังก์ เป็นความผิดมหันต์ที่อภัยให้ไม่ได้ บัดนี้ถอดตำแหน่งมู่อ๋องเป็นสามัญชนและลงโทษประหารทันที…”
มู่อ๋องได้ยินแล้วจากที่คุกเข่าก็ล้มลงกองกับพื้น เขาตะโกนเสียงดัง “เสด็จพ่อ! ลูกผิดไปแล้วๆ ลูกถูกคนชั่วหลอกลวง ทรงโปรดละเว้นลูกด้วยเถอะ…”
เขาร้องไห้คร่ำครวญพร้อมน้ำตาไหลพรากๆ กลับเห็นใบหน้าของพระบิดาปราศจากความรู้สึกใด หัวใจราวกับร่วงหล่นลงไปในโพรงน้ำแข็ง เขาชี้ไปที่หลิวฉุนขันทีถือตราลัญจกรแล้วตะเบ็งเสียงโวยวายอย่างคลุ้มคลั่ง “เสด็จพ่อ! เป็นเขา เขาโกหกลูก พระราชโองการปลอมในมือลูกก็เป็นเขาที่มอบให้ ข่าวที่เสด็จพ่อสวรรคตก็เป็นเขาที่พูด เสด็จพ่อ ลูกเป็นผู้บริสุทธิ์ ลูกถูกเขาใส่ร้าย…”
ได้ยินเสียงตะโกนร้องไห้แทบขาดใจของมู่อ๋อง ในใจฮ่องเต้หมิงคังไม่รู้สึกรู้สาอันใดสักนิด เขากล่าวเสียงเรียบ “มู่อ๋องกับหลิวฉุนกระทำความผิดมหันต์ที่อภัยให้ไม่ได้ ลงโทษประหารทันทีทั้งหมด”
“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อทรงไว้ชีวิตลูกด้วย ไว้ชีวิตลูกด้วยเถอะ ลูกถูกคนใส่ร้ายจริงๆ…”
ฮ่องเต้หมิงคังเหลือบมองมู่อ๋องแวบหนึ่งแล้วหมุนกายเดินเข้าด้านใน
ใกล้ถึงเวลาแล้ว เขาเข้าไปเตรียมตัวก่อนดีกว่า ส่วนเรื่องเลอะเลือนที่องครักษ์จินหลินกับองครักษ์อวี่หลินก่อไว้รอเขากลับจากแดนสวรรค์แล้วค่อยว่ากันอีกที!
เพิ่งเดินไปสองก้าวฮ่องเต้หมิงคังก็ชะงักเท้าแล้วเปล่งเสียงร้องโหยหวนเสียงหนึ่งก่อนล้มคว่ำลง
ทุกคนตกใจยกใหญ่ เพ่งสายตามองไปถึงพบว่ามีลูกธนูดอกหนึ่งปักเข้ากลางหลังของฮ่องเต้หมิงคัง
ทว่าลูกธนูลอบสังหารดอกนี้มาจากที่ใดก็สุดจะรู้ได้