หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 79
ปิงลวี่นึกไปถึงวีรกรรมความกล้าหาญของแม่นางน้อยหลีเจาตอนเข้าครัวในกาลก่อน
คุณหนูของนางบังเอิญได้ยินคุณหนูใหญ่เอ่ยขึ้นว่าตู้เฟยหยางซื่อจื่อของจวนกู้ชางป๋อชอบกินเนื้อกวางแผ่นทอด ก็วิ่งโร่ไปขลุกอยู่ในเรือนครัวใหญ่ทั้งวัน ผลปรากฏว่าทอดจนไหม้เกรียมติดกระทะ สุดท้ายไฟลุกท่วมกระทะน้ำมันจนห้องครัวเกือบถูกเผา
ปิงลวี่นึกถึงความโกลาหลในวันนั้นแล้วอดทอดถอนใจแทนคุณหนูของตนไม่ได้
ผลลัพธ์เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าทำเนื้อกวางแห้งย่างไฟไม่สำเร็จ คุณหนูโดนฮูหยินผู้เฒ่าเทศนายกหนึ่งไม่ว่า ยังกลายเป็นเรื่องตลกของทั้งจวนตะวันออกและจวนตะวันตก ภายหลังยังแพร่ไปถึงจวนกู้ชางป๋อได้อย่างไรก็สุดรู้
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ขอแค่คุณหนูเข้าใกล้เรือนครัวในระยะสามจั้ง บ่าวไพร่ของที่นั่นก็ทำท่าเหมือนระวังป้องกันโจรอย่างไรอย่างนั้น
ปิงลวี่คิดๆ แล้วก็ปวดใจนัก เด็กสาวโฉมงามสดใสร่าเริงอย่างคุณหนูของนางอุตส่าห์เข้าครัวลงมือทำอาหารให้ซื่อจื่อน่าชิงชังผู้นั้น นอกจากจะไม่ได้รับคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ แล้ว กลับถูกคนหัวเราะเยาะอีก ช่างไร้เหตุผลสิ้นดีโดยแท้
“เคยเข้าครัวจริงๆ หรือ” ฉือชั่นประหลาดใจพอดู
หยางโฮ่วเฉิงอัศจรรย์ใจเหลือหลายดุจเดียวกัน “ไม่กระมัง คุณหนูหลี เจ้าอายุเท่านี้ก็เริ่มฝึกฝีมือทำครัวแล้วหรือ”
พวกพี่สาวน้องสาวของเขาล้วนเริ่มฝึกดูแลเรือนกับทำครัวหลังปักปิ่นทั้งนั้น
การดูแลเรือนต้องชี้แนะสอนสั่งกันโดยละเอียด แต่สำหรับฝีมือทำครัวนั้นอันที่จริงแค่ฝึกทำอาหารที่ถนัดสักอย่างสองอย่างก็เพียงพอ บุตรสาวในตระกูลใหญ่ๆ อย่างพวกเขาไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับงานบ้านงานเรือนเสียหน่อย การหัดทำอาหารสองสามอย่างให้เป็นก็แค่เติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร* เท่านั้นเอง
“พี่ฉือไม่เชื่อก็ช่างเถิด” เฉียวเจากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณหนูหลี อาหารถนัดของท่านคืออะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงซักถามอย่างสนใจใคร่รู้
แม่นางน้อยผู้นี้จะเทียบชั้นนางสวรรค์แล้วหรือไร นี่ก็ทำได้ นั่นก็ทำเป็น จะไม่เหลือที่ยืนให้คนธรรมดาบ้างหรือ
ด้านจูเยี่ยนกลับแย้มยิ้มแล้ว ถ้าคุณหนูหลีบอกว่าทำเป็นก็แสดงว่าทำเป็นแน่นอน และเกรงว่ายังทำได้ดีมากอีกด้วย
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เขาชักสนใจอยากลองชิมฝีมือของแม่นางน้อยตรงหน้าอยู่บ้างจริงๆ บางทีอาจเหนือความคาดหมายเหมือนกัน
ฝ่ายฉือชั่นก็ดูจะสนใจอย่างเห็นได้ชัด แม้เขาไม่เอ่ยปาก แต่หูสองข้างกลับกระดิกเบาๆ
พอได้ยินว่าบุรุษรูปลักษณ์เข้าทีสามคนนี้ถึงกับกังขาในตัวคุณหนูของตน สาวใช้น้อยผู้มีใจปกป้องเจ้านายอย่างแรงกล้าหวาดหวั่นสุดใจว่าผู้เป็นนายจะเผยความเงอะงะออกมา นางรีบกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูข้าทำเนื้อกวางแผ่นทอดได้เจ้าค่ะ”
เฉียวเจาดูท่าทางจะมีความทรงจำอันเจ็บปวดกับเนื้อกวางแผ่นทอดดุจเดียวกัน นางได้ยินถ้อยคำนี้แล้วแทบสำลักน้ำลายตนเอง นางที่มีสีหน้าสงบนิ่งเป็นนิจถึงกับนิ่วหน้าเล็กน้อย
มีสาวใช้ที่มุ่งมั่นปกป้องผู้เป็นนายอย่างแน่วแน่ผู้หนึ่งเช่นนี้ ช่างเป็นเกียรติและโชคดีจริงๆ
“เนื้อกวางแผ่นทอด?” คนที่เปล่งเสียงพูดคือฉือชั่น
นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกายระยิบระยับราวกับมีดวงดาวบนฟากฟ้าซุกซ่อนอยู่ ทั้งแฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่คนทั่วไปยากจะเข้าใจได้
ท่านแม่ของเขาก็ทำเนื้อกวางแผ่นทอดเป็น
ปีนั้นท่านแม่พาเขาในวัยเยาว์เดินทางไปท่องแดนใต้ ผลปรากฏว่าถูกกลุ่มกบฏซู่อ๋องที่เหลือรอดอยู่ปิดล้อมไว้ที่เขาหลิงไถ
ตอนนั้นองครักษ์ที่คุ้มกันพวกเขาล้วนจบชีวิตไปหมดแล้ว ท่านแม่พาเขาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดินที่เหมือนเขาวงกต
พวกเขาติดอยู่ในนั้นห้าวันห้าคืน ทยอยกินอาหารที่พกติดตัวไว้ตอนขึ้นเขาเที่ยวเล่นจนร่อยหรอลงเรื่อยๆ เหลือเพียงเนื้อกวางแผ่นทอดที่เก็บได้นาน ท่านแม่ป้อนมันให้เขากินทีละนิดๆ
นั่นเป็นเนื้อกวางแผ่นทอดที่อร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาตลอดชีวิต
ภายหลังพอกินเนื้อกวางแผ่นหมดแล้ว แต่กองทหารที่จะมาช่วยเหลือยังมาไม่ถึง ท่านแม่…
ใบหน้าของฉือชั่นที่จมลงสู่ห้วงความทรงจำเผือดลงทุกทีๆ
ท่านแม่กรีดข้อมือเอาเลือดป้อนให้เขาดื่มโดยไม่ไยดีเสียงร้องไห้ด้วยความกลัวของเขา
เขาไม่มีวันลืมเลือนได้ว่าท่านแม่กรีดข้อมือเป็นแผลครั้งแล้วครั้งเล่า เลือดไหลแล้วก็หยุด หยุดแล้วก็ไหลอีก
เขาดื่มเลือดของท่านแม่จนกระทั่งทหารมาถึงในที่สุด…
นั่นเป็นฝันร้ายและความสำนึกในบุญคุณที่เขาลืมไม่ลงชั่วชีวิต
ทว่าต่อมาเมื่อท่านพ่อตายไปแล้วมีอนุมาหาที่วัง ท่านแม่ที่เคยเต็มใจหลั่งเลือดหมดตัวก็ต้องคุ้มครองให้เขารอดชีวิตต่อไป กลับไม่เคยทำเนื้อกวางแผ่นทอดให้เขาอีกเลย
ยามฉือชั่นดึงตนเองออกจากภวังค์ แม้แต่เรียวปากชมพูระเรื่อชวนมองก็เริ่มซีดขาว
ท่านแม่เคยรักเขาถึงเพียงนั้น ต่อให้ตลอดหลายปีมานี้นางจะใช้คมมีดที่มองไม่เห็นกรีดลงกลางใจเขาแผลแล้วแผลเล่า ในใจเขายังคงไม่บังเกิดความรู้สึกเคืองแค้นอยู่ดี
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมรสชาติของเนื้อกวางแผ่นทอดไปแล้ว
“เจ้าทำเนื้อกวางแผ่นทอดเป็นหรือ”
เฉียวเจารู้สึกว่าฉือชั่นในชั่วขณะนี้ดูแปลกไปอยู่สักหน่อย นางคิดๆ แล้วก็พยักหน้า “เป็นเจ้าค่ะ”
“อาหารนี้ดีนะ” ฉือชั่นพูดแล้วมองเฉียวเจาแวบหนึ่ง เห็นนางไม่มีท่าทีใด คุณชายฉือก็ขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
แม่นางน้อยไร้มโนธรรม ไหนบอกว่าบุญคุณช่วยชีวิตไม่มีสิ่งใดจะตอบแทน วันหน้าจะตกรางวัลก้อนโตเป็นการขอบคุณ ผลสุดท้ายวาดภาพให้ภาพเดียวก็นึกว่าจะชดใช้หมดแล้วรึ
ฝันไปเถอะ!
ฉือชั่นกระแอมกระไอให้คอโล่งแล้วทำเสียงฮึเยาะๆ “หลีซาน ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินถ้อยคำนี้หรือไม่”
“ถ้อยคำใดหรือเจ้าคะ” เฉียวเจาวางถ้วยน้ำชาลง คิดคำนึงในใจว่ามัวแต่พูดคุยจนน้ำชาเย็นหมด ทำให้เสียรสชาติแล้ว
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงถูกคำถามของสหายรักกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเหมือนกัน
“บุญคุณช่วยชีวิตพึงตอบแทนเป็นทวีคูณ หากไม่มีสิ่งใดทดแทน…” เขาเขม้นตามองเฉียวเจาซึ่งทำหน้าเรียบเฉยแล้วหยุดพูดกลางคัน
ปิงลวี่เกิดหัวไวขึ้นมากะทันหัน หลุดปากกล่าวว่า “ขอยอมพลีกายมอบใจให้?”
ฉือชั่นกับเฉียวเจานิ่งขึงไปพร้อมกัน
ปิงลวี่กลับตกใจยกใหญ่ นางมองคุณหนูของตนแล้วยกมือปิดปาก “ตายแล้ว คุณหนู ท่านไปช่วยคุณชายท่านนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไรเจ้าคะ”
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงอึ้งงันไป จากนั้นก็ปล่อยเสียงหัวเราะลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่อีก
สมดังคำกล่าวว่านายเป็นอย่างไร บ่าวก็เป็นอย่างนั้น!
ทั้งสองมองไปทางสหายรักที่สีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นใจ ต่างคนต่างยื่นมือข้างหนึ่งไปตบบ่าเขาแรงๆ พูดประสานเสียงกันว่า “สือซี…”
“หุบปาก!”
คุณชายจูผู้สุภาพนุ่มนวลเป็นนิจสุดปัญญาจะหยุดหัวเราะได้ ข้างฝ่ายหยางโฮ่วเฉิงก็ทุบโต๊ะหัวร่อเสียงดังไม่หยุดโดยไม่แยแสคำเตือน
ฉือชั่นทำหน้าง้ำมองจูเยี่ยนพลางพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “จื่อเจ๋อ ตอนเด็กเจ้าเห็นสาวใช้ถ่ายเบาโดยไม่ตั้งใจแล้วแอบถามข้าว่าเพราเหตุใดเจ้ายืนทำแต่นางต้องนั่งยองๆ ด้วย เจ้าลืมไปแล้วหรือ”
จูเยี่ยนหุบยิ้มทันควัน เขามองเฉียวเจาปราดหนึ่งอย่างลุกลน ก่อนกำมือขึ้นปิดปากไออย่างหนัก
“ฮ่าๆๆ จื่อเจ๋อ เจ้าก็มีเวลาที่เบาปัญญาเช่นนี้ด้วยหรือนี่” หยางโฮ่วเฉิงหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
ดวงตาคู่งามของฉือชั่นหรี่ลง เขาเหล่มองหยางโฮ่วเฉิง พูดอย่างเป็นจังหวะจะโคน “หยางเอ้อร์ ตอนสิบสองขวบเจ้าไปเล่นที่บ้านจื่อเจ๋อ พูดยุให้ข้าไปแอบดูน้องเหยียนอาบน้ำกับเจ้า…”
หยางโฮ่วเฉิงลุกพรวดขึ้นเอื้อมมือไปปิดปากฉือชั่น
จูเยี่ยนเหยียดแขนไปโอบไหล่หยางโฮ่วเฉิง เอ่ยถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ยังมีเรื่องนี้ด้วยหรือ”
“…” เฉียวเจาที่ชมดูอยู่ด้านข้างอึ้งงันไปทันที ไม่รู้ว่าอีกประเดี๋ยวนางจะโดนคนใดฆ่าปิดปากกัน
ขาทั้งสองข้างของหยางโฮ่วเฉิงสั่นระริก เขาพูดกับจูเยี่ยนด้วยรอยยิ้มประจบประแจง “ไม่…ไม่มี…”
เขาคิดจะบอกว่าไม่มีเรื่องอย่างนั้น ทว่าคุณชายฉือที่กำลังแสดงความปากบอนได้อย่างช่ำชองพูดตบท้ายอีกประโยคหนึ่งทันใด “ไม่ยอมรับ? ข้ายังจำได้อีกเรื่องหนึ่ง…”
“แอบดูไม่สำเร็จ!” หยางโฮ่วเฉิงเสี่ยงตายบอกออกมา เขาหัวเราะฝืดๆ พลางกล่าวว่า “จื่อเจ๋อ เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าสาบานได้ เป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น อยากรู้อยากเห็นประการเดียวจริงๆ ข้อสำคัญคือแอบดูไม่สำเร็จ…”
พี่จูผู้แสนดีและอ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยกมาแต่ไหนแต่ไรขยุ้มคอเสื้อของหยางโฮ่วเฉิงต่อหน้าต่อตาเฉียวเจา พลางพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “หยางเอ้อร์ ข้าคิดว่าพวกเราสมควรหาที่สักแห่งนั่งลงคุยกันดีๆ เสียแล้ว”
ถึงกับแอบดูน้องสาวข้าอาบน้ำเชียวรึ ต้องหาที่ฝังเจ้าคนบัดซบผู้นี้เสียเดี๋ยวนี้เลย!
หยางโฮ่วเฉิงถูกลากตัวไปถึงนอกประตูแล้วยังร้องโอดครวญ “ทำกันเยี่ยงนี้มิได้นะ ต่อให้แอบดูสำเร็จแล้วจะเป็นไรไป ตอนนั้นน้องสาวเจ้าเพิ่งเจ็ดขวบ…”
เสียงประตูปิดดังโครม ภายในห้องถึงคืนสู่ความสงบดังเดิม
* เติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพร หมายถึงการทำให้สิ่งที่สวยงามหรือดีอยู่แล้วยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก บางครั้งก็ใช้สื่อถึงการกระทำที่เกินจำเป็น