หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 793
บทที่ 793
สิ้นเสียงเจียงหย่วนเฉาลูกธนูจุดไฟนับไม่ถ้วนก็ลอยละลิ่วไปทางเรือนพำนักของรุ่ยอ๋อง
เปลวไฟส่องกระทบท้องฟ้าสีดำแกมน้ำเงินเป็นประกายแสงวูบวาบราวกับหมู่ดาวตกพุ่งผ่านไป ไม่นานนักตัวเรือนก็ติดไฟลุกไหม้
เสียงร้องด้วยความตกใจของผู้คนดังมาจากด้านใน
เจียงหย่วนเฉามองฝ่าเปลวเพลิงไปสบตากับเซ่าหมิงยวนบนต้นไม้พร้อมเผยรอยยิ้มจางๆ
เขาไม่เชื่อว่าถึงเวลานี้แล้วคนพวกนั้นยังจะอยู่ในนั้นรอความตาย
“ดับไฟเร็วเข้าๆ” คนในเรือนวิ่งกันชุลมุนเหมือนแมลงวันไร้หัว
“ท่านโหว ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี” มีคนเงยหน้าถามเสียงระงม
เซ่าหมิงยวนมองออกไปไกลๆ แวบหนึ่งก่อนกระโดดลงจากต้นไม้อย่างปราดเปรียว เดินฉับๆ ไม่กี่ก้าวไปที่ข้างกายเฉียวเจา
ด้านรุ่ยอ๋องเห็นเปลวไฟแล้ววิ่งออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว เห็นเซ่าหมิงยวนก็เข้าไปจับแขนเสื้อเขาไว้ “ท่านโหว ทีนี้จะทำฉันใดกันดี”
เซ่าหมิงยวนดึงแขนเสื้อคืนทว่าไม่สำเร็จ เขาทำหน้าตึงเล็กน้อย “ลูกธนูไม่มีตา ท่านอ๋องเสด็จเข้าเรือนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
รุ่ยอ๋องสั่นศีรษะไม่หยุด ซ้ำยังจับแขนเสื้อเขาแน่นขึ้น “ข้าทนอยู่ในเรือนไม่ได้ อยู่ข้างๆ ท่านโหวยังคงรู้สึกสบายใจกว่า”
เขาพูดจบไม่ทันไรลูกธนูเพลิงดอกหนึ่งก็พุ่งมา เขาก้มตัวลงทันใดด้วยความตกใจ
พอหัวธนูปักลงบนพื้นสะเก็ดไฟก็กระเด็นไปติดใบไม้แห้งที่หล่นกระจัดกระจายอยู่แล้วลุกไหม้รวมกันเป็นกองไฟ
“คนพวกนั้นเตรียมการมาเป็นอย่างดีดังคาด ทาไขสัตว์ไว้บนหัวลูกธนูด้วย” เมื่อเห็นเปลวเพลิงลุกลามจนยากจะดับได้แล้ว มีคนร้องอุทานอย่างเสียขวัญไม่น้อย
“ท่านโหว ตอนนี้ควรทำอย่างไรกันแน่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราคงถูกไฟคลอกตายในนี้กันหมดแล้ว” รุ่ยอ๋องถามอย่างอับจนหนทาง
ตกลงว่าทัพหนุนสมควรตายกองนั้นจะมาถึงเมื่อไร!
ไหนก่อนหน้านี้บอกว่าชาวแดนเหนือรู้จักแต่กวนจวินโหว ไม่รู้ว่ามีฮ่องเต้หมิงคังอยู่ ไฉนตอนนี้จะเรียกทัพหนุนมาช่วยถึงได้ยากเย็นถึงเพียงนี้เล่า
ล้วนเป็นเสียงเล่าลือเท่านั้นจริงๆ!
รุ่ยอ๋องแสนชิงชังที่คำเล่าลือเหล่านั้นเชื่อถือมิได้ ถึงเป็นต้นเหตุให้ตนตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ เขากำมือแรงขึ้นจนดึงแขนเสื้อของเซ่าหมิงยวนขาดท่อนหนึ่ง
ท่ามกลางความโกลาหลไม่มีคนสังเกตเห็นทั้งหมดนี้ มีเพียงเฉียวเจาที่ลอบเม้มมุมปากที่สั่นระริกสะกดความขบขันไว้เมื่อเห็นสีหน้าของชายหนุ่มบึ้งตึงไปในพริบตา
เสียงตะโกนพูดดังขึ้นที่ด้านนอก “นายน้อยของพวกข้าบอกว่าขอเพียงพวกเจ้ามอบตัวรุ่ยอ๋องออกมา เมื่อนั้นจะไม่มีการไล่เลียงเอาผิดผู้ใดใด และหลังจากนายน้อยขึ้นครองราชย์แล้วจะได้เลื่อนตำแหน่งสองขั้นกับบรรดาศักดิ์หนึ่งชั้น!”
สมุหราชเลขาธิการสวี่ได้ยินแล้วด่าทอไม่ยั้งปาก “เจ้าพวกโจรกบฏ! เห็นพวกข้าเป็นคนอย่างไร เว้นแต่พวกข้าตายจนหมดแล้ว ไม่เช่นนั้นอย่าหมายว่าจะได้แตะแม้แต่ชายเสื้อของท่านอ๋อง”
จากนั้นก็มีคนผสมโรงร้องด่าตามไม่น้อย
“นายน้อย คนพวกนั้นไม่รับไมตรีขอรับ”
ใต้เปลวเพลิงสีหน้าของเจียงหย่วนเฉาแลดูเย็นชามากขึ้น “ก็แค่พวกจอมปลอมหวังในชื่อเสียง โจมตีด้วยไฟเต็มกำลังเดี๋ยวนี้ ในเมื่อพวกเขาดื้อด้านดันทุรังนัก เช่นนั้นก็ให้ตายพร้อมกับรุ่ยอ๋องทั้งหมดแล้วกัน”
“ใต้เท้า…” เจียงเฮ่ออดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เจียงหย่วนเฉาปรายตามองเขาอย่างเฉยชา “มีเรื่องอันใด”
“คือว่า…ด้านในยังมีคนอื่นอีกไม่ใช่หรือ…”
ใต้เท้าชมชอบคุณหนูหลีซาน หรือลืมไปแล้วว่านางยังอยู่ในนั้น
“ปากมาก” สีหน้าของเจียงหย่วนเฉาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับเป็นปกติทันที เขาออกคำสั่งเสียงห้วน “ปฏิบัติตามคำสั่งข้า”
ลูกธนูจุดไฟนับไม่ถ้วนลอยพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
กองเพลิงลุกโชติช่วงตามแรงลมโหม สาดแสงส่องกระทบผืนฟ้ากลายเป็นสีแดง
ควันไฟหนาทึบตลบอบอวลทำให้คนในเรือนเริ่มไออย่างรุนแรง
“ทุกท่านยกแขนเสื้อปิดปากกับจมูกไว้แล้วไปทางนี้!” เซ่าหมิงยวนตะโกนบอก
ทุกคนวิ่งฝ่าม่านควันตามเซ่าหมิงยวนไปทางด้านหลัง แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่หมดสติเพราะสูดควันเข้าไปมากเกินไป
พวกนางกำนัลขันทีวิ่งหนีอลหม่านประหนึ่งมดแตกรัง
“ชายารอง ด้านนอกเกิดไฟไหม้รุนแรง พวกท่านอ๋องหนีตายตามกวนจวินโหวไปแล้ว ทรงรีบหนีเถอะเพคะ…” เสี่ยวเถาวิ่งร้องไห้เข้ามา
หลีเจี่ยวเฝ้าดูความเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ตลอด นางได้ยินเสี่ยวเถาบอกเช่นนี้แล้วตัวเซวูบ “ท่านอ๋องไปแล้วจริงๆ หรือ”
เสี่ยวเถาพยักหน้าถี่รัว “เพคะชายารอง ทรงรีบตามหม่อมฉันไปเถอะเพคะ ขืนไม่ไปอีกจะไม่ทันกาลแล้ว”
“ได้ พวกเราไปกัน” หลีเจี่ยวกลั้นน้ำตาที่ปริ่มซึมทางหางตาไว้ ให้เสี่ยวเถากับซิ่งเอ๋อร์ช่วยพยุงวิ่งหนีออกไปด้านนอก
ด้านนอกกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว ควันไฟฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณจนมองไม่เห็นทาง
นายบ่าวสามคนวิ่งหกล้มหกลุกไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นมีไม้คานท่อนหนึ่งร่วงหล่นลงมา
“ชายารองระวังเพคะ!” ซิ่งเอ๋อร์ร้องบอกเสียงแหลมพร้อมกับผลักหลีเจี่ยวออก
หลีเจี่ยวล้มลงบนพื้น เสี่ยวเถารีบเข้าไปประคอง “ชายารอง ทรงไม่เป็นไรนะเพคะ…”
จากนั้นเสียงพูดของเสี่ยวเถาก็กลายเป็นเสียงตะโกนลั่น “ซิ่งเอ๋อร์!”
เวลานี้ซิ่งเอ๋อร์มีไม้คานติดไฟทับอยู่บนตัว ชั่วอึดใจเดียวเปลวเพลิงก็ลุกไหม้ไปทั้งร่างกาย
“ซิ่งเอ๋อร์…” หลีเจี่ยวตะกายตัวลุกขึ้นร้องเรียก ริมฝีปากนางสั่นเทา
มาตรว่าความรู้สึกที่นางมีต่อเสี่ยวเถากับซิ่งเอ๋อร์จะจืดจางมาโดยตลอด แต่ขณะนี้เห็นคนที่มีเลือดมีเนื้อต้องตายอย่างน่าอนาถต่อหน้าต่อตา หากจะพูดว่าในใจไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักนิดก็คงเป็นไปไม่ได้
“ชะ…ชายารอง…รีบเสด็จ…” ซิ่งเอ๋อร์กล่าวประโยคนี้อย่างกระท่อนกระแท่น ใบหน้านางบิดเบ้จนน่ากลัวด้วยความเจ็บปวดทรมาน
เสี่ยวเถาลุกลนฉุดหลีเจี่ยวขึ้น “ชายารอง ชักช้าไม่ได้แล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ หาไม่แล้วซิ่งเอ๋อร์จะตายเปล่านะเพคะ”
หลีเจี่ยวกัดฟันแน่น “ไป”
ชั่วเสี้ยวเวลานี้ในใจนางท่วมท้นไปด้วยความชิงชังถึงขีดสุด
นางชิงชังที่สวรรค์อยุติธรรมถึงให้นางพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ และยิ่งชิงชังในความโชคดีของหลีซาน แต่ที่นางชิงชังที่สุดคือรุ่ยอ๋องที่ทิ้งนางเอาตัวรอดไปผู้เดียวอย่างปราศจากเยื่อใยใดๆ
บุรุษผู้นี้แสนจะใจไม้ไส้ระกำเหลือเกิน ดีชั่วนางก็มีบุตรสาวให้เขา เฝ้าป้อยอเอาอกเอาใจทุกวันทุกคืน หรือนี่แลกไม่ได้แม้แต่ความเอื้ออาทรสักเศษเสี้ยวจากเขา
นางเข้าใจแล้ว ความรักความใคร่ระหว่างชายหญิงอันใดล้วนเป็นเรื่องน่าขัน เสียทีที่ในกาลก่อนนางยังตั้งความหวังอยู่ลึกๆ ในใจด้วยรู้สึกว่าท่านอ๋องปฏิบัติต่อนางต่างจากคนอื่น บัดนี้เห็นทีว่าล้วนละเมอเพ้อพกเท่านั้นเอง
เชื้อพระวงศ์แล้งน้ำใจ เมื่อเทียบกับบัลลังก์ เทียบกับหญิงงามสามพันคน ชายารองผู้หนึ่งเช่นนางจะมีความสำคัญอะไร
นัยน์ตาลุกวาวของหลีเจี่ยวมองฝ่าเปลวเพลิงไปเบื้องหน้า
ข้างหน้ามีเงาคนเคลื่อนไหวไปมานับไม่ถ้วนคละเคล้าเสียงร้องโหยหวนไม่ขาดสาย
มีคนล้มลงเป็นระยะ บางคนตะเกียกตะกายลุกขึ้น บางคนก็ลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป สถานการณ์สับสนวุ่นวายยิ่งขึ้นตามลำดับ
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปากสุดแรง เหลียวไปมองพระตำหนักกลางกองไฟโหมแรงที่ดูเปราะบางสุดจะเปรียบ
ขอเพียงนางมีชีวิตรอดไปได้ นางจะไม่เป็นสตรีที่เพ้อฝันถึงความรักฉันชายหญิงคนนั้นอีกต่อไป ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ขวางอยู่ตรงหน้านางจะกำจัดทิ้งให้หมดสิ้น รวมถึงบุรุษผู้นั้น!
กลุ่มคนที่หนีรอดออกมาทางประตูหลังมองเห็นหน้าผาที่อยู่ห่างไปครึ่งจั้ง แววสิ้นหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ท่านโหว ตอนนี้จะทำอย่างไรดี” รุ่ยอ๋องเอ่ยถามเสียงสั่น
เซ่าหมิงยวนสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าวมองลงไปข้างล่างปราดหนึ่ง
บนหน้าผามีสายน้ำตกเชี่ยวกรากทิ้งตัวดิ่งลง แตกกระเซ็นเป็นละอองฝอยดุจเม็ดหยกเล็กๆ นับไม่ถ้วน มองดูแล้วชวนให้วิงเวียนตาลาย
ชายหนุ่มมองสำรวจครู่หนึ่งก่อนจะกวาดตามองคนที่ตามมารอบหนึ่ง
ทุกคนต่างกลั้นหายใจด้วยความระทึกขวัญ เปล่งเสียงพูดไม่ออกสักคำ
ยามนี้พวกเขาเพียงรู้สึกโชคดีที่บอกให้คนในครอบครัวรั้งอยู่ในเรือนส่วนนอกก่อนจะไปที่หน้าประตูพระตำหนัก บริเวณนั้นยังปลอดภัยชั่วคราวในเวลานี้ หวังว่าโจรกบฏจะละเว้นครอบครัวของพวกเขา
เซ่าหมิงยวนมองไปทางฉือชั่นซึ่งอยู่ในกลุ่มคน “สือซี เจ้ามานี่”
ฉือชั่นเดินไปหาเขา
เซ่าหมิงยวนออกแรงดึงแขนเสื้อครึ่งท่อนของเขาออกจากมือรุ่ยอ๋อง กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นดังเดิม “ถ้าหากถึงคราวจำเป็นเจ้าพาท่านอ๋องกระโดดลงน้ำจากตรงนี้”
ฉือชั่นพยักหน้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ได้”