หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 797
บทที่ 797
แน่นอนว่าสำหรับรุ่ยอ๋องแล้วความละอายใจเล็กน้อยเท่านี้เกิดขึ้นเพียงวูบเดียว
เขากำลังจะได้เป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว ขี้ลืมสักหน่อยจะเป็นไรไป
รุ่ยอ๋องปลอบตนเองในใจ เขากระแอมให้คอโล่งก่อนเอ่ยขึ้น “ชายารอง ข้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตามข้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
ท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของรุ่ยอ๋องทำให้หลีเจี่ยวเจ็บแปลบตรงกลางอก นางรีบยิ้มน้อยๆ กลบเกลื่อนไว้ “เห็นท่านอ๋องทรงปลอดภัย หม่อมฉันวางใจได้เสียทีเพคะ”
รุ่ยอ๋องมองเซ่าหมิงยวนอย่างอาลัยอาวรณ์แวบหนึ่งค่อยพานางไปยังที่พำนักใหม่
เรื่องเก็บกวาดห้องกับเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งย่อมมีขันทีจัดการ รุ่ยอ๋องชำระกายจนสาแก่ใจ แล้วผลัดอาภรณ์ชุดใหม่สบายตัว ถึงรู้สึกว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอย่างแท้จริง
แผ่นดินจะขาดประมุขไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพียงรอกองกำลังรักษาวังเดินทางมาอารักขาเขากลับเมืองหลวงเขาก็จะได้เป็นฮ่องเต้ทันที
เป็นฮ่องเต้…
รุ่ยอ๋องยิ่งคิดยิ่งฝันหวาน จากนั้นเข้าสู่ภวังค์ฝันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
กองเพลิงลุกโชนทั่วทุกหนแห่งสกัดกั้นหนทางรอดชีวิต รุ่ยอ๋องหันรีหันขวางอย่างสับสนงุนงง จู่ๆ ความรู้สึกแสบร้อนก็แผ่ลามมา
เขาก้มหน้ามองเห็นชายเสื้อถูกไฟไหม้ก็พลันสะดุ้งโหยงสุดตัวอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะลุกลนใช้มือตบให้ดับ
เสียงซ่าดังขึ้น น้ำอ่างหนึ่งถูกสาดมาที่ตัวเขาดับเปลวไฟมอดลง
สุ้มเสียงแกมแตกตื่นน้อยๆ ดังลอยมา “ท่านอ๋อง ทรงไม่เป็นไรกระมังเพคะ”
ดวงหน้าร้อนรนของหลีเจี่ยวสะท้อนเข้าคลองจักษุ
“น้ำมาจากที่ใด” รุ่ยอ๋องกล่าวโพล่งขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดตอนนี้ตนเองต้องสนใจเรื่องนี้ด้วย
“ก็น้ำที่ล้างพระบาทของพระองค์เมื่อครู่น่ะสิเพคะ”
รุ่ยอ๋องทำสีหน้ารังเกียจฉับพลัน
“ท่านอ๋อง พวกเรารีบไปกันเถอะ ขืนไม่ไปอีกจะออกไปไม่ได้แล้วเพคะ”
พอเห็นรุ่ยอ๋องยืนนิ่งไม่ขยับ หลีเจี่ยวรีบคว้ามือเขาแล้วฉุดให้ออกวิ่งไปด้านนอก
ไม่รู้เพราะอะไรตรงจุดที่ยังเป็นทะเลเพลิงก่อนหน้านี้พลันมีทางสายหนึ่งปรากฏขึ้น
รุ่ยอ๋องวิ่งตะบึงไปตามแรงดึงของนาง พอหนีไปถึงทางออกบานประตูที่โดนไฟเผาอยู่ก็พังล้มลงกะทันหัน
“ท่านอ๋องระวังเพคะ” หลีเจี่ยวดึงเขาไปด้านข้างแล้วผลักออกไปนอกประตู
รอดแล้ว!
รุ่ยอ๋องเพิ่งระบายลมหายใจเฮือกหนึ่ง จู่ๆ ความเจ็บปวดพลันแล่นปราดมา เขาก้มลงมอง มีมีดคมกริบเสียบลึกเข้าไปในท้องน้อย ครั้นเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นใบหน้าแสยะยิ้มของมู่อ๋อง
“อ่า…” รุ่ยอ๋องร้องโหยหวน
“ท่านอ๋องทรงเป็นอะไรไปเพคะ”
รุ่ยอ๋องพลันลุกพรวดขึ้นนั่ง ใบหน้าเขียวซีดละม้ายเห็นผี เขาหายใจหอบเฮือกๆ เสียงดัง
เขาเห็นหลีเจี่ยวแล้วมองดูรอบตัว จากนั้นนิ่งขึงไป “ไม่ได้ไฟไหม้หรือ”
“ไฟไหม้? เปล่าเพคะ ทรงพระสุบินร้ายใช่หรือไม่”
รุ่ยอ๋องถอนหายใจอย่างโล่งอก “ใช่ๆ ข้าฝันร้าย”
หลีเจี่ยวแย้มยิ้มอ่อนโยนทันใด “ท่านอ๋องเพิ่งทรงผ่านพ้นเคราะห์ภัยมา ทรงพระสุบินร้ายก็ช่วยไม่ได้ ดีที่ท่านอ๋องทรงมีบุญบารมีล้นฟ้า สิ่งพวกนั้นทำร้ายท่านอ๋องไม่ได้แม้สักกระผีก เห็นได้ว่าพระองค์คือผู้มีบุญญาธิการจากสวรรค์…”
รุ่ยอ๋องได้ยินถ้อยคำนี้แล้วแสนจะรื่นหู แต่ไม่รู้เหตุใดเขาคิดไปถึงน้ำอ่างนั้นในความฝันเสียได้
สตรีผู้นี้ถึงกับเอาน้ำล้างเท้าสาดใส่เขา!
ซ้ำยังมิใช่เท่านี้ พอนางผลักเขาอย่างนั้นเลยเป็นต้นเหตุให้เขาถูกเจ้าหกสังหาร
รุ่ยอ๋องเห็นสตรีตรงหน้าแล้วขัดหูขัดตาขึ้นมาทันใด
ครั้นสลัดความรู้สึกหวาดกลัวในฝันออกไปไม่ได้ รุ่ยอ๋องก็ทำหน้าบึ้งพลางเอ่ยสั่งขันที “ไปเชิญกวนจวินโหวมา”
อื้อ มีกวนจวินโหวอยู่ข้างๆ ยังคงรู้สึกสบายใจมากกว่าอยู่ดี
ผ่านไปครู่หนึ่งรุ่ยอ๋องชำเลืองมองนางพลางไต่ถาม “ไฉนเจ้ายังไม่ไปอีก”
หลีเจี่ยวงงงัน “…” นี่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรชัดๆ!
“เอาล่ะ เจ้าออกไปเถอะ” รุ่ยอ๋องหลับตาลงแล้วกล่าวเสียงเนือยๆ
ชายารองหลีที่คล้ายโดนธนูปักอกหลายดอกข่มไฟโทสะถอยออกไปเงียบๆ
พวกเฉียวเจาสามคนนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ในโถงรับรองนานครู่หนึ่งก็ไม่มีใครปริปากพูด
“เอาล่ะ เลิกจ้องตากันได้แล้ว คนที่ควรตายก็ตายหมด คนที่ควรรอดชีวิตก็รอดชีวิตหมด พวกเรานอนหลับให้เต็มตาสักตื่นแล้วค่อยว่ากัน ข้าจะอยู่ห้องเดิมไม่ย้ายแล้ว แต่ให้คนจัดเก็บห้องด้านข้างเตรียมไว้ให้ก็พักสองสามวันแก้ขัดเถอะ”
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นข้าพาเจาเจาไปพักผ่อนก่อน ประเดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที”
มาตรว่าจะเป็นห้องด้านข้าง แต่สะอาดสะอ้านและอยู่สบายพอดู เฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนมิใช่คนจู้จี้ เพียงล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ เสร็จก็นั่งลงกินอาหารตามสบาย
“ไม่กินอีกสักนิดหรือ” พอเห็นนางวางตะเกียบลง เซ่าหมิงยวนก็เอ่ยถามขึ้น
เฉียวเจาส่ายหน้า “ไม่แล้ว อันที่จริงข้าไม่ค่อยหิว”
แทนที่จะพูดว่าไม่หิว มิสู้บอกว่าไม่อยากอาหารจะดีกว่า
คนมิใช่ต้นไม้ใบหญ้า มีผู้คนจบชีวิตบนเขาชิงเหลียงแห่งนี้ตั้งมากมายอย่างนั้น คงมีแต่ท่านอ๋องพระองค์นั้นที่ยังอารมณ์ดีอยู่ได้ในขณะนี้
สายตาของเซ่าหมิงยวนจับจ้องที่ตะเกียบหุ้มเงินหกเหลี่ยมแท่งเรียวยาว เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ที่แท้เจ้ากับเขารู้จักกันมาตั้งนานแล้ว”
“ใช่ ครั้งนั้นตอนยังไม่แต่งงานกับท่านก็ได้รู้จักกันโดยบังเอิญแล้ว” เฉียวเจาฝืนยิ้ม
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปวางทาบหลังมือนาง “อย่าทุกข์ใจเลย สำหรับคนอย่างเจียงหย่วนเฉา บทลงเอยเช่นนี้เป็นการรักษาศักดิ์ศรีตามที่เขาปรารถนา เขายอมตายอย่างนี้ดีกว่ามีชีวิตอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ”
“ใช่ เขาก็เป็นคนเช่นนี้เอง”
ยามนี้เองเสียงของอาจูดังมาจากนอกประตู “ท่านโหว รุ่ยอ๋องส่งคนมาเชิญเจ้าค่ะ”
“ข้าไปดูก่อนนะ” เซ่าหมิงยวนมาถึงนอกประตูแล้วกระซิบสั่งอาจู “คอยอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินด้วย”
ฉือชั่นรออยู่ด้านนอก เห็นเขาออกมาก็ไต่ถาม “ญาติผู้พี่คนนั้นของข้าไม่นอนพักให้ดีๆ ในเวลานี้ ยังจะเรียกเจ้าไปหาอีกด้วยเหตุใดกัน”
เซ่าหมิงยวนมีสีหน้าฉงนใจดุจเดียวกัน “ไปถึงก็รู้เอง”
“ท่านอ๋อง ท่านโหวมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบเชิญท่านโหวเข้ามา”
ตอนเซ่าหมิงยวนก้าวเข้ามาก็เห็นรุ่ยอ๋องยืนอยู่หน้าประตูมองออกมาด้านนอกอย่างตั้งตารอคอย
“ท่านอ๋อง…”
รุ่ยอ๋องรีบประคองเขาลุกขึ้น “ท่านโหวไม่ต้องมากพิธี เข้าไปนั่งด้านในเถอะ”
ท่าทางกระตือรือร้นของรุ่ยอ๋องสร้างความอึดอัดให้เซ่าหมิงยวนอยู่มาก เขาวางท่าเคร่งขรึมฉับพลัน “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องทรงเรียกกระหม่อมมาด้วยเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่นอนไม่หลับ…”
หนังตาของท่านแม่ทัพหนุ่มกระตุกริก นอนไม่หลับแล้วเรียกเขามาด้วยเหตุใด
“ท่านโหว…” รุ่ยอ๋องยิ้มแห้งๆ กับเขา
เซ่าหมิงยวนรอฟังด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“หรือไม่พวกเราคุยเล่นกันเถอะ”
เซ่าหมิงยวนพูดไม่ออกไปชั่วขณะ “…”
เพราะอะไรข้าถึงไม่อยู่ในเรือนนอนกอดภรรยาคนงาม กลับวิ่งโร่มาคุยเล่นเป็นเพื่อนบุรุษผู้หนึ่ง
เมื่อเห็นเซ่าหมิงยวนมีสีหน้าไม่สู้ดี รุ่ยอ๋องจึงรีบเอ่ยขึ้น “ข้าคิดไปถึงปัญหาวุ่นวายพวกนั้นหลังกลับถึงเมืองหลวงแล้วก็ปวดเศียรเวียนเกล้า หวังว่าพอถึงเวลาท่านโหวจะช่วยแบ่งเบาภาระให้ข้าได้…”
เกือบครึ่งชั่วยามต่อมาเซ่าหมิงยวนย่างเท้าออกจากที่พำนักของรุ่ยอ๋อง เขาเริ่มใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างจริงจัง หากรุ่ยอ๋องเรียกเขามาคุยเล่นอย่างในวันนี้บ่อยๆ ล่ะก็ ตกลงเขาจะก่อกบฏดีหรือไม่ก่อกบฏดี
พักนี้ขุนนางทางเมืองหลวงล้วนเอื่อยเฉื่อยเป็นอันมาก
ฮ่องเต้รวมถึงผู้บังคับบัญชาออกจากเมืองหลวงไปนานเดือนเศษแล้ว วันเวลาอันรื่นรมย์ได้อู้งานกัดจิ้งหรีดนี้แสนสุขสำราญใจเหลือเกิน
กระนั้นสองวันมานี้คนที่ช่างสังเกตสังกาเริ่มได้กลิ่นทะแม่งๆ บ้างแล้ว ไฉนจู่ๆ กองกำลังรักษาวังถึงออกไปที่อื่นเล่า
หลีกวงเหวินเอ่ยขึ้นมาอย่างอดใจไม่อยู่ตอนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งในยามเช้า “ท่านแม่ ข้ารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปกติ ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงประทับอยู่ในเมืองหลวง เหตุใดกองกำลังรักษาวังถึงเคลื่อนพลได้เล่า หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นที่ทางเขาชิงเหลียงแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งไม่ทันได้เปล่งเสียงสักแอะ เขาก็กล่าวต่อ “แน่นอนว่าฮ่องเต้จะทรงเป็นอย่างไรก็ช่าง แต่เจาเจากับบุตรเขยก็อยู่ที่นั่นด้วยนะขอรับ”
หญิงชราลอบกลอกตาขึ้น
เจ้าลูกเบาปัญญาผู้นี้ พูดความจริงให้น้อยลงสักสองคำจะตายหรือไม่