หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 799
บทที่ 799
ด้านเซ่าหมิงยวนกำลังกังวลใจว่าจะถูกท่านพ่อตาจับผิด กลับไม่รู้ว่าในใจหลีกวงเหวินยามนี้เป็นความรู้สึกพึงพอใจ
เขาเป็นบุรุษ ย่อมรู้ว่าบุรุษที่รักและหวงแหนสตรีผู้หนึ่งจะมีท่าทีอย่างไร มาตรว่าเห็นบุตรเขยแล้วขัดนัยน์ตา แต่เทียบกับความสุขของบุตรสาวก็ไม่นับว่ามีอะไร
ช่างเถิด รอเจ้าหนุ่มผู้นี้มีบุตรสาว วันหน้าก็ต้องมีสักวันที่จะได้รู้ซึ้งถึงหัวอกข้า
คนทั้งครอบครัวกินอาหารพร้อมหน้ากัน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกับเหอซื่อดึงตัวเฉียวเจาไว้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนเซ่าหมิงยวนดื่มน้ำชาในศาลารับลมของสวนดอกไม้เป็นเพื่อนท่านพ่อตา
เขายกกาน้ำชารินถ้วยหนึ่งแล้วยกประคองด้วยสองมือส่งให้หลีกวงเหวิน
หลีกวงเหวินหรี่ตาลงดื่มคำหนึ่งก่อนจะถอนใจอย่างอิ่มเอม
ตอนนี้ยังไม่เข้าสู่ฤดูหนาวเต็มตัว ศาลารับลมกับแมกไม้ช่วยบดบังแสงแดดไปได้มากกว่าครึ่ง ทั้งยังได้กลิ่นดอกไม้หอมรวยริน สร้างความรื่นรมย์ให้แก่ผู้ที่อยู่ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้
“ท่านเขย พวกเจ้าไปเขาชิงเหลียงครั้งนี้มิได้เกิดเรื่องใดขึ้นกระมัง”
เซ่าหมิงยวนชั่งใจเล็กน้อย
มีขุนนางผู้สูงศักดิ์ไปหลบร้อนตั้งมากถึงเพียงนั้น คนในราชสำนักต้องรู้ความจริงเรื่องฮ่องเต้หมิงคังสวรรคตไม่ช้าก็เร็ว ท่านพ่อตาเป็นหนึ่งนั้นย่อมมิใช่ข้อยกเว้นเป็นธรรมดา
หากตอนนี้เขาพูดโกหก ไม่แน่ว่าวันหน้าท่านพ่อตาที่เคารพอาจเต้นผางๆ ด่าทอเขาก็เป็นได้
“พบปัญหาเล็กน้อยขอรับ” เซ่าหมิงยวนตอบกำกวม
“ปัญหาเล็กน้อยอะไรหรือ” หลีกวงเหวินซักต่อ เขาคาดเดาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่เขาชิงเหลียงแล้ว คิดไม่ถึงว่าเป็นความจริง
“เอ่อ…ฮ่องเต้สวรรคตแล้วขอรับ”
“พรวด…” หลีกวงเหวินพ่นน้ำชาในปากออกมาแล้วไอยกใหญ่ “แค่กๆๆ…”
“ท่านพ่อตา ไม่เป็นไรกระมังขอรับ” เซ่าหมิงยวนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าที่พับอย่างเรียบร้อยออกมาส่งให้
พอเห็นหลีกวงเหวินรับไปเช็ดปากเป็นพัลวัน เขาก็นึกเสียดายขึ้นมาอีก
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นเจาเจาพับไว้ให้เขา ถึงแม้ภรรยาจะปักผ้าเช็ดหน้าไม่เป็น แต่พับได้เรียบร้อยกว่าผู้ใด!
ขณะนี้หลีกวงเหวินกำลังตกตะลึงถึงขีดสุด ลืมแม้กระทั่งรักษากิริยาไว้ พอเช็ดปากเสร็จก็โยนผ้าเช็ดหน้าทิ้ง เขาขึงตาใส่เซ่าหมิงยวนพลางถาม “ฮ่องเต้สวรรคตเป็นปัญหาเล็กหรือ”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าเหลอหลา “ข้ากลัวพูดว่าร้ายแรงแล้วจะทำให้ท่านพ่อตากังวลใจขอรับ”
หลีกวงเหวินเบะปาก เขามีอะไรต้องกังวลใจ ฟ้าถล่มลงมาใช่ว่าต้องให้อาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิตคนหนึ่งเช่นเขาค้ำยันไว้สักหน่อย
“เช่นนั้นฮ่องเต้ล้มประชวรสวรรคตสินะ คงไม่ได้ส่งผลกระทบถึงพวกเจ้ากระมัง” หลีกวงเหวินยังคงเป็นห่วงเรื่องนี้ที่สุด เขาดื่มชาคำหนึ่งสงบอารมณ์
“เอ่อ…ถูกธนูยิงปลงพระชนม์ขอรับ”
“พรวด…” หลีกวงเหวินพ่นน้ำชาในปากออกมาแล้วไอยกใหญ่เป็นคำรบที่สอง “แค่กๆๆ…”
เซ่าหมิงยวนคิดๆ แล้วหักใจหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดผืนสุดท้ายออกมาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงหยิบผืนที่ถูกโยนไว้บนโต๊ะผืนนั้นยื่นส่งให้ท่านพ่อตาที่เคารพ
หลีกวงเหวินรับมาเช็ดปากก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เล่าให้จบในรวดเดียว”
แม้นเขาไม่ใส่ใจความเป็นความตายของฮ่องเต้ แต่ได้ยินข่าวที่น่าตะลึงพรึงเพริดเพียงนี้แล้วก็ทำนิ่งเฉยไม่ไหวเหมือนกัน
เซ่าหมิงยวนเล่าเรื่องราวทั้งหมดอย่างรวบรัดตัดความ
หลีกวงเหวินกุมถ้วยน้ำชาดื่มช้าๆ พลางฟังจนจบแล้ววางถ้วยเปล่าลงบนโต๊ะหิน เขามุ่นคิ้วกล่าวว่า “นี่แสดงว่ารุ่ยอ๋องก็คือฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้วหรือ”
แย่แล้ว รุ่ยอ๋องกลายเป็นเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ บุตรสาวคนโตของข้าก็กำลังจะได้เป็นพระชายาอย่างนั้นหรือ
เพียงเรือนหลังในตระกูลสามัญชนยังมีเรื่องชิงดีชิงเด่นกันมากมาย เช่นนั้นตำหนักในก็คือสมรภูมินรกแล้ว บุตรสาวคนโตต้องอยู่ในสถานที่พรรค์นั้นจะลืมตาอ้าปากได้หรือไม่
น่ากลุ้มใจนัก!
หลีกวงเหวินทึ้งผมตนเองอย่างกลัดกลุ้ม
บุตรสาวคนโตจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนนั่นก็เป็นทางเลือกของนางเอง แต่ถ้าทำให้คนทั้งครอบครัวพลอยเดือดร้อนไปด้วยเขาจะไปร้องทุกข์กับใครได้!
“ท่านเขยมีความชอบจากการคุ้มครองเจ้านายในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่การเคลื่อนพลโดยพลการจะเป็นจุดอ่อนให้คนโจมตีได้ ข้าว่าหลังจากนี้ท่านเขยหลบไปที่อื่นสักระยะหนึ่งจะดีกว่า”
บุตรสาวเป็นพระชายา บุตรเขยเป็นทหารตำแหน่งสูงกุมอำนาจใหญ่ นี่มิใช่เรื่องดีจริงๆ!
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า “ขอรับ ข้าคิดอยู่ว่าหลังจากข่าวฮ่องเต้สวรรคตป่าวประกาศไปทั่วแผ่นดิน รอฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็จะลาราชการพาเจาเจาไปจยาเฟิงสักครั้ง”
หลีกวงเหวินงุนงง “กลับไปจยาเฟิงทำอะไรหรือ”
“ข้าแต่งงานมีครอบครัวแล้วเลยอยากไปเซ่นไหว้สกุลเฉียวสักหน่อยขอรับ” เซ่าหมิงยวนพูดจบแล้วถึงเสียใจภายหลังอยู่บ้าง
เขาเผลอลืมไปว่าสถานะของเจาเจาผิดแผกจากสามัญ ท่านพ่อตาได้ยินเขาพูดว่าจะไปเซ่นไหว้อดีตพ่อตา คะเนว่าในใจต้องไม่สบอารมณ์แล้ว
หลีกวงเหวินก็คาดไม่ถึง เขาอึ้งงันไปครู่หนึ่งแล้วเผยสีหน้าท่าทางชมเชยอยู่หลายส่วน “สมควรแล้ว”
จะพินิจว่าคนผู้หนึ่งมีนิสัยใจคอเช่นไร ดูสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อคนทั่วไปจะแม่นยำกว่าเรื่องที่เขาทำกับคนใกล้ชิด
บุตรเขยมีน้ำใจไมตรีต่อสกุลเฉียวได้ก็ต้องไม่มีวันทำไม่ดีกับสกุลหลีแน่
ระหว่างทางที่กลับจวนโหวเซ่าหมิงยวนบอกกับเฉียวเจา “ข้าเอ่ยกับท่านพ่อตาแล้วว่าอีกสักพักจะพาเจ้ากลับจยาเฟิง”
“กลับจยาเฟิง?” นางนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะมีความคิดนี้
เซ่าหมิงยวนจับมือนาง “ใช่ พวกเราแต่งงานกันนานถึงเพียงนี้แล้ว สมควรกลับไปดูสักหน่อย”
เฉียวเจาย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา นางอดคลี่ยิ้มไม่ได้
“ถึงตอนนั้นข้าค่อยพาเจ้าไปหาท่านหมอเทวดาหลี่”
“รู้ว่าท่านปู่หลี่อยู่ที่ใดแล้วหรือ” ดวงตาของหญิงสาวทอประกายตื่นเต้นยินดี
“ได้รับข่าวจากเยี่ยลั่วแล้วว่าท่านหมอเทวดาพำนักอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทั้งยังมีสหายเก่าท่านหนึ่งอยู่กับท่านด้วย เจ้าเดาสิว่าใคร”
เฉียวเจานิ่งคิดเล็กน้อยแล้วตอบยิ้มๆ “นักชันสูตรเฉียน?”
ก่อนหน้านี้นักชันสูตรเฉียนมาเป็นพยานที่เมืองหลวง ภายหลังเขาอำลาจากไปด้วยเหตุผลว่าไม่คุ้นเคยกับอากาศที่นี่
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “เป็นนักชันสูตรเฉียน”
“อย่างนี้ก็นับว่าท่านปู่หลี่มีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้ว” ในใจเฉียวเจาเริ่มหมดห่วงได้บ้าง
หลังจากสองสามีภรรยาออกจากจวนสกุลหลี หลีกวงเหวินก็ไปยังที่ว่าการด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
ได้ยินพวกสหายขุนนางวิตกกังวลถึงอาการประชวรของฮ่องเต้รวมถึงคาดเดาเป็นนัยๆ ถึงตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์แล้ว เขาก็หรี่ตาลงดื่มชาคำหนึ่ง
ฮิๆ ข้ารู้อะไรๆ หมดแล้ว แต่ข้าไม่บอกเสียอย่าง
กระนั้นนายท่านใหญ่สกุลหลีรู้สึกลำพองใจได้เพียงไม่นาน สองวันต่อมาก็มีข่าวว่าฮ่องเต้หมิงคังสวรรคตและมีพระราชโองการมอบราชสมบัติให้แก่รุ่ยอ๋องแพร่ออกมาแล้ว
แน่นอนว่าคำประกาศต่อภายนอกเช่นนี้เป็นการบอกให้ราษฎรทั้งหลายรับรู้ ส่วนพวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ล้วนล่วงรู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้กันแล้ว
เมื่อเหล่าขุนนางต่างพร่ำวิงวอนขอร้องซ้ำๆ รุ่ยอ๋องจึงสวมเสื้อคลุมมังกรขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ด้วยสีหน้าโศกเศร้าในที่สุด
เรื่องแรกที่รุ่ยอ๋องกระทำหลังก้าวขึ้นครองบัลลังก์ก็คือเตรียมลงดาบกับราชครูจาง น่าเสียดายที่กว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่จะนึกขึ้นได้ ราชครูจางก็หายตัวเข้ากลีบเมฆไปแต่แรกแล้ว
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่กริ้วโกรธเป็นอันมาก เผอิญว่าตอนนี้เป็นเวลาที่กององครักษ์จินหลิน กององครักษ์อวี่หลิน กององครักษ์จินอู๋ รวมถึงคณะผู้ดูแลจัดการงานราชการล้วนต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด จึงไม่อาจแบ่งแรงกายแรงใจไประดมพลออกสืบหาเบาะแสของราชครูจางอย่างเอาจริงเอาจัง เรื่องนี้เลยเลิกราไปเท่านี้
แต่พระองค์ขับไล่นักพรตที่อาศัยอยู่ในวังออกไปทันที ขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักแทบร่ำไห้ด้วยความปีติยินดี
ในที่สุดสวรรค์ก็มีตา ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของพวกเขาเป็นคนปกติแล้ว!
การไว้ทุกข์ของฮ่องเต้ไม่เหมือนกับสามัญชน ด้วยนับระยะเวลาเป็นเดือนแทนปีจึงไว้ทุกข์เพียงสามเดือนเท่านั้น ทว่าฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับรู้สึกว่าวันเวลาผ่านไปอย่างทรมานยากทานทน
เขายังคงฝันร้ายอยู่ นี่จะทำประการใดดี
ฮ่องเต้ซึ่งกลัดกลุ้มใจอยู่กับฝันร้ายพบว่าตนถึงกับไม่มีแก่ใจใกล้ชิดสตรี ในใจเขาคิดถึงแต่กวนจวินโหว เพราะมีเพียงยามที่กวนจวินโหวอยู่ข้างกายถึงจะมีความรู้สึกง่วงงุนอยากนอน!
แน่นอนว่าในช่วงไว้ทุกข์ไม่อาจร่วมหอกับไม่อยากร่วมหอกับพระสนมชายามันเป็นคนละเรื่องกัน
นี่เป็นปัญหาใหญ่หลวง!
ในขณะที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่กำลังกระวนกระวายใจอย่างหนักก็ได้รับรายงานว่ากวนจวินโหวขอเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้กล่าวด้วยความดีใจจนออกนอกหน้า “รีบเชิญกวนจวินโหวเข้ามา”