หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 8
บทที่ 8
เด็กสาวกัดริมฝีปากเผยให้เห็นฟันขาวราวไข่มุกบนดวงหน้าซีดขาว มีเพียงแต้มสีแดงเข้มตรงหว่างคิ้วนั่นที่เด่นชัดยิ่งขึ้น ละม้ายดอกซิ่งปลิวลอยละลิ่วในป่าต้นซิ่งหล่นลงบนพื้นแล้วถูกกลบทับด้วยหิมะเห็นกลีบสีแดงสดยามแรกแย้มบานได้เลือนราง ดูน่าสงสารและน่าทะนุถนอมอย่างปราศจากเหตุผล
เผอิญว่าสิ่งที่คนอย่างฉือชั่นขาดมากที่สุดก็คืออารมณ์อ่อนโยนอยากทะนุถนอมสตรี เขาเหล่ตามองเฉียวเจา พูดอย่างไม่พึงใจว่า ตอนนี้ถามเรื่องนี้ยังมีประโยชน์อันใด
พี่ฉือไม่สะดวกใจจะบอกหรือ เฉียวเจาเหยียดมุมปากไปตามอารมณ์
คนผู้นี้จะมาเยี่ยมคารวะท่านพ่อ หากพินิจจากศักดิ์ฐานะและอายุของเขาต้องมิใช่เรื่องงานเป็นแน่ เช่นนั้นเป็นไปได้เก้าในสิบส่วนว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ที่เขามาเยือนเมื่อสามปีก่อน
ถ้าเป็นเช่นนั้นบางทีนางอาจช่วยให้ความปรารถนาของเขาลุล่วงได้ มิใช่นางจะอวดตน ก็แค่อยากตอบแทนบุญคุณที่อีกฝ่ายช่วยเอาไว้
ส่วนนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของคนผู้นี้…อืม นางจะถือสาหาความอะไรกับพวกสติไม่ดีคนหนึ่ง
ที่เฉียวเจาว่าฉือชั่นเป็นคนสติไม่ดี ไม่นับเป็นการด่าคนจริงๆ
นางรู้จักภูมิหลังของผู้คนในเมืองหลวงน้อยนิด แต่ฉือชั่นเป็นข้อยกเว้น ทางหนึ่งเพราะเขาเคยมาเยี่ยมคารวะท่านปู่ กระนั้นเหตุผลที่สำคัญกว่าคือเรื่องราวเล่าขานของบิดามารดาเขานั้นลือลั่นเหลือเกิน
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเป็นพระขนิษฐาสายพระโลหิตเดียวกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เมื่อครั้งเยาว์วัยนางได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาและฮ่องเต้มากพอดู พอถึงวัยอันควรแต่งงานออกเรือน องค์หญิงใหญ่เฟ้นหาคู่ครองอย่างพิถีพิถัน สุดท้ายเลือกบัณฑิตยากจนทว่ารูปงามไม่เป็นสองรองใครด้วยตนเอง
ตามคำกล่าวในยามนั้นขององค์หญิงใหญ่ บัณฑิตยากจนมักถือดีจองหองน้อยกว่าบุตรหลานขุนนางผู้มีอำนาจราชศักดิ์หลายส่วน อีกทั้งใจคอหนักแน่นพึ่งพาได้
บางทีอาจจะเป็นการพิสูจน์ยืนยันถ้อยคำขององค์หญิงใหญ่ หลังแต่งงานกันแล้วทั้งสองเคารพให้เกียรติกันและกัน พริบตาเดียวผ่านไปสิบกว่าปี อย่าว่าแต่ทะเลาะเบาะแว้ง แม้กระทั่งมีปากเสียงกันก็น้อยมาก องค์หญิงใหญ่มีฐานะสูงศักดิ์ ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องมีเหตุผลมาจากการรู้จักให้อภัยและอดกลั้นผ่อนปรนของท่านราชบุตรเขยอย่างขาดเสียไม่ได้
ชั่วขณะเดียว คู่สามีภรรยาดั่งสวรรค์สรรค์สร้างคู่นี้กลายเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนมากมายเท่าใดก็สุดรู้ บรรดาองค์หญิงที่ไม่เข้าใจทางเลือกขององค์หญิงใหญ่ในตอนแรกยิ่งพากันเลื่อมใสในความเฉียบแหลมของนางมิใช่แค่ครั้งเดียว
ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงตื่นเต้นมีสีสันกว่าบทละครเสมอ ท่านราชบุตรเขยลาจากโลกนี้ไปอย่างไม่คาดคิด ในช่วงที่องค์หญิงใหญ่กำลังทุกข์ระทมใจอย่างแสนสาหัส มีสตรีนางหนึ่งพาบุตรชายบุตรสาวคู่หนึ่งมาหาถึงที่ เป็นอนุที่ท่านราชบุตรเขยเลี้ยงดูไว้ข้างนอก
หากสิ่งที่องค์หญิงใหญ่ทำใจยอมรับไม่ได้มากกว่าคือบุตรชายบุตรสาวของอนุคู่นั้นอ่อนวัยกว่าฉือชั่นบุตรชายโทนของตนไม่มากนัก
หากความสุขและความภาคภูมิใจตลอดสิบปีที่ผ่านมายิ่งหวานชื่นน่าอิจฉา เสียงฝ่ามือตบหน้าองค์หญิงใหญ่ฉางหรงฉาดใหญ่ก็ยิ่งดังกังวาน ใบหน้านางเห่อชาจนกระทั่งความเจ็บปวดหลงเหลืออยู่ไม่มากเท่าไร เผอิญว่าคนผู้นั้นตายไปแล้วทำให้นางไม่มีแม้แต่ที่ที่จะระบายความโกรธ
ต่อมาไม่นาน องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเริ่มเลี้ยงดูชายบำเรออย่างเปิดเผย ได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงในวังองค์หญิงทุกค่ำคืน
ฉือชั่นที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ต้องเผชิญกับเหตุพลิกผันในครอบครัวอย่างไม่คาดฝันต่อๆ กัน รวมถึงพวกคนที่แฝงเจตนาร้ายต่างๆ นานาแม้ว่าจะอำพรางไว้ได้อย่างดีก็ตาม ส่งผลให้เขากลายเป็นคนขวางโลกมากขึ้นทุกวัน กอปรกับรูปโฉมที่ถอดแบบมาจากบิดา ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งหล่อเหลาสง่างาม ด้านองค์หญิงใหญ่ก็ประเดี๋ยวใกล้ชิดประเดี๋ยวห่างเหินกับบุตรชายผู้นี้ แต่พวกหญิงสาวในเมืองหลวงกลับวิ่งไล่ตามอย่างคลั่งไคล้ ทำให้เขามีนิสัยแปลกประหลาดมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเสียงซุบซิบนินทาซึ่งได้ยินมาบ้างหลังแต่งเข้าจวนจิ้งอันโหว นางดึงความคิดคืนมาแล้วอดมองไปทางฉือชั่นด้วยสายตาแกมเห็นใจจางๆ อย่างช่วยไม่ได้
เทียบกับเขาแล้ว บิดามารดาของนางแสนจะปกติปานใดหนอ!
ฉือชั่นสัมผัสได้อย่างเฉียบไวเป็นพิเศษ แววตาแปลกๆ ของเด็กสาวนั้นทิ่มแทงใจเขา
มีอะไรไม่สะดวกใจกัน เขากล่าวอย่างเย็นชาแล้วปรายตามองเฉียวเจาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งยังเผยรอยยิ้มดูแคลนตรงมุมปากที่เหยียดยกขึ้น บอกเจ้าแล้วจะมีประโยชน์อันใด
เฉียวเจาเป็นคนใจคอกว้างขวาง หากเปลี่ยนเป็นยามปกติบางทีนางอาจพูดล้อเล่นตามสบายสองสามคำผ่อนคลายบรรยากาศกระอักกระอ่วน แต่ครอบครัวนางเพิ่งประสบเภทภัยใหญ่หลวง จะเป็นคนเปิดเผยรู้จักปล่อยวางเพียงใดก็ไม่มีแก่ใจพูดคุยเรื่อยเปื่อยในเวลานี้ เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีจะบอก นางก็ไม่คะยั้นคะยออีก เปล่งเสียงรับในลำคอเอื่อยๆ แล้วหยิบเม็ดหมากที่ฉือชั่นโยนกลับลงโถมาเดินหมากที่ค้างคาอยู่กับตนเองต่อไป
เดิมทีฉือชั่นรอนางกล่าวตอบอยู่ ปรากฏว่าได้ยินเสียง อ้อ ในลำคอคำเดียว แม่นางน้อยก็เริ่มเดินหมากคนเดียวอย่างเพลิดเพลิน พลันความรู้สึกโกรธก็พลุ่งขึ้นมาจุกติดกลางลำคอกลืนก็ไม่เข้าคายก็ไม่ออก พาให้ดวงหน้าหล่อเหลาง้ำงอไปหมด
‘อ้อ’ ต้องเป็นเสียงตอบที่น่าชิงชังมากที่สุดอย่างที่ไม่มีคำใดเทียบได้เด็ดขาด! ฉือชั่นคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จูเยี่ยนทนดูต่อไปไม่ไหว เขากำมือจ่อริมฝีปากแล้วส่งเสียงไอเบาๆ สือซี ขอโทษด้วย ถ้ามิใช่ข้าอยากดูภาพวาดของอาจารย์เฉียว ภาพนั้นคงไม่เสียหาย แล้วก็คงไม่เป็นต้นเหตุทำให้เจ้าต้องเดินทางไกลเป็นพันลี้อย่างสูญเปล่า…
กระนั้นฉือชั่นใจกว้างกับสหายรักเป็นพิเศษ เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว ตอนนี้พูดเรื่องนี้ไปก็ไร้ความหมาย ข้าคิดหาหนทางอื่นเป็นอันสิ้นเรื่อง
ท่านพ่อข้ายังมี ‘ภาพโคห้าตัว’ ของท่านปรมาจารย์หานในมืออีกภาพหนึ่ง…
ฉือชั่นตัดบทจูเยี่ยน มารดาข้าไม่สนใจภาพวาดของจิตรกรเอกราชวงศ์ก่อนพวกนั้นเลย นางชมชอบแต่ภาพวาดของอาจารย์เฉียว
ดวงตาของเฉียวเจาทอประกายวูบ
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงชมชอบภาพวาดของท่านปู่?
เฉียวเจามีปฏิภาณไหวพริบดี ฉุกคิดถึงเรื่องที่ฉือชั่นมาเยือนถึงที่ขอร้องให้ท่านปู่ชี้แนะทักษะการวาดภาพให้เขาเมื่อสามปีก่อนได้อย่างว่องไว
คนทั่วหล้าล้วนล่วงรู้ว่าช่วงบั้นปลายชีวิตท่านปู่สุขภาพอ่อนแอ ไม่มีแรงกายแรงใจสอนใครมานานแล้ว หรือว่าคนผู้นี้ขอร้องให้ท่านปู่ชี้แนะทักษะวาดภาพเป็นคำเท็จ จุดมุ่งหมายแท้จริงคือขอภาพวาดจากท่านปู่ต่างหาก
ด้วยชื่อเสียงฐานะของท่านปู่ในหมู่บัณฑิตนักปราชญ์ หากเวลานั้นฉือชั่นขอภาพวาดตรงๆ เป็นไปได้มากว่าจะถูกปฏิเสธทันที แต่คนผู้นี้เอ่ยอ้างเหตุผลขอคำชี้แนะและตามตื๊อท่านปู่ไม่เลิกรา ท้ายที่สุดท่านต้องยอมยกภาพวาดภาพหนึ่งให้เป็นการไล่เขากลับไป
เฉียวเจาอดมองฉือชั่นอย่างพินิจไม่ได้
ปีนั้นคนผู้นี้เพิ่งอายุสิบห้าสิบหกกระมัง มิใช่พวกชั้นสามัญดังคาด
ครั้นคิดต่อไปถึงข่าวลือเหล่านั้น เฉียวเจายิ่งฉงนใจ
มิใช่พูดกันว่าความสัมพันธ์ระหว่างฉือชั่นกับองค์หญิงใหญ่ฉางหรงสองคนแม่ลูกมึนตึงกันหรือ ไฉนเขาต้องทุ่มเทความคิดจิตใจถึงเพียงนี้เพราะว่ามารดาชมชอบภาพวาดภาพหนึ่ง
ขณะเฉียวเจานิ่งตรึกตรองโดยไม่รู้ตัว เห็นหยางโฮ่วเฉิงตบหน้าผากตนเองพร้อมพูดเสียงดัง ข้านึกขึ้นได้แล้ว ท่านพ่อข้ามีภาพวาดของอาจารย์เฉียวเก็บสะสมไว้ภาพหนึ่ง เป็นของพระราชทานจากไทเฮาเมื่อครั้งวัยหนุ่ม
หยางโฮ่วเฉิงเป็นซื่อจื่อของหลิวซิ่งโหว ส่วนจวนหลิวซิ่งโหวเป็นสกุลเดิมของหยางไทเฮา นับตามลำดับศักดิ์แล้วเขาสมควรเรียกขานไทเฮาว่าท่านย่าใหญ่ด้วยซ้ำไป
ฉือชั่นชายตามองหยางโฮ่วเฉิง พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เพิ่งนึกขึ้นได้หรือ
หยางโฮ่วเฉิงเกาท้ายทอย ก็ข้าคิดว่าถ้าขอลอกแบบภาพจากใต้เท้าเฉียวได้แล้วก็ไม่ต้องยุ่งกับของของท่านพ่อข้ามิใช่หรือ นั่นน่ะเป็นของพระราชทานจากไทเฮาเชียวนะ ทั้งยังเป็นภาพวาดของอาจารย์เฉียว ท่านพ่อข้าหวงแหนยิ่งนัก ถ้ารู้ว่าถูกข้าขโมยไป ต้องหักขาข้าแน่…
แต่ว่าใต้เท้าเฉียวไม่เชี่ยวชาญการวาดภาพ เฉียวเจาสอดปากขึ้นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด เป็นเหตุให้ทั้งสามคนหันสายตามามองทันควัน
เจ้ารู้ได้อย่างไร ฉือชั่นไม่ชอบใจที่นางพูดแทรก เขาเอ่ยถามอย่างรำคาญ
เด็กสาวเบิกตากว้างเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจังอย่างมาก ข้าชื่นชมเลื่อมใสอาจารย์เฉียวน่ะสิเจ้าคะ ข้าลอกแบบภาพวาดของท่านเสมอ อีกทั้งยังติดตามเรื่องเล่าขานต่างๆ ของท่าน แต่ไม่มีเรื่องที่ใต้เท้าเฉียวเชี่ยวชาญการวาดภาพเล่าลือมาเลยสักนิด
สิ้นเสียงนาง ทั้งสามคนอดมองหน้ากันไปมาไม่ได้
ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ใต้เท้าเฉียวเป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงหลายปี ไม่เคยมีภาพวาดเผยแพร่ออกมา พวกเขาแค่คิดว่าใต้เท้าเฉียวเป็นบุตรชายของอาจารย์เฉียว ย่อมเชี่ยวชาญการวาดภาพแน่นอน กลับกลายเป็นว่าผู้เดินหมากอ่านสถานการณ์ไม่ทะลุปรุโปร่ง
ข้าขอดูภาพที่ถูกทำลายไปภาพนั้นได้หรือไม่เจ้าคะ เฉียวเจาถาม
ฉือชั่นมองจูเยี่ยนแวบหนึ่ง เขาเป็นคนขอภาพวาดนั่นไปให้มารดาเมื่อสามปีที่แล้ว ครั้นสหายรักอยากเห็น เขาจึงหยิบออกมา พอภาพวาดเสียหายก็หมดราคาไปเป็นธรรมดา
จูเยี่ยนหัวเราะฝืดๆ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องในตัวเรือ ไม่นานนักก็ย้อนกลับมา พร้อมกับกล่องยาวๆ ใบหนึ่งติดมือมาด้วย
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นคนทะนุถนอมภาพวาด หลังเปิดกล่องออก เขาเอาผ้าขาวสะอาดรองมือตอนหยิบมันออกมา จากนั้นก็คลี่กางออกตรงหน้าเฉียวเจาอย่างระมัดระวัง
บึงน้ำสีเขียวมรกตใต้แสงสนธยาครองพื้นที่ภาพฝั่งหนึ่ง มีสะพานเล็กๆ ตั้งเด่นเคียงคู่กับเงาสะท้อนของมันในน้ำ รวมถึงเป็ดเจ็ดแปดตัวที่สมจริงดุจมีชีวิตราวกับว่าหากมันตีปีกก็จะแหวกว่ายออกมาจากภาพได้ เพียงน่าเสียดายที่คราบหมึกวงหนึ่งเปรอะเปื้อนบนภาพ
ประกายตาของเฉียวเจาเข้มขึ้น
เป็นภาพวาดที่ท่านปู่มอบให้ฉือชั่นดังคาด
ท่านปู่สมัยวัยหนุ่มสร้างชื่อจากการวาดภาพเป็ด เพราะพวกเด็กๆ มักถูกใจภาพเป็ด ตอนนางเริ่มต้นเรียน ภาพที่วาดได้ดีที่สุดก็คือภาพนี้
เมื่อเฉียวเจามั่นใจแล้วจึงเอ่ยขึ้น ภาพนี้ข้าวาดเป็น