หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 804
บทที่ 804
จูเยี่ยนกล่าวพลางเดินไปที่ริมตลิ่งกับเซ่าหมิงยวน “ข้าเห็นเรือนเขาตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น เลยยังไม่ได้บอกเขาว่าเจ้ากลับมาถึงวันนี้”
“ประเดี๋ยวข้าส่งข่าวให้เขารู้สักหน่อยดีกว่า”
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจองโต๊ะเลี้ยงสุราไว้ที่หอเต๋อเซิ่งต้อนรับพวกเจ้ากลับมา” จูเยี่ยนบอกยิ้มๆ
คนทั้งกลุ่มไปที่หอเต๋อเซิ่งฟังเซ่าหมิงยวนบอกเล่าเรื่องการเดินทางไปทิศใต้ เฉียวโม่ก็พูดถึงความเคลื่อนไหวในเมืองหลวงในช่วงที่ผ่านมา เมื่อกินอาหารเสร็จถึงต่างคนต่างแยกย้ายกันไป
เพราะกลับจากการเดินทางไกล เซ่าหมิงยวนจึงพาเฉียวเจากลับไปที่สกุลเดิมก่อน ทั้งคู่ได้รับการต้อนรับจากชาวสกุลหลีอย่างอบอุ่น
หลังกลับจากจวนสกุลหลีเขากับนางเพิ่งอยู่อย่างสบายๆ อยากตื่นนอนเมื่อไรก็ตื่นได้ไม่กี่วัน เซ่าหมิงยวนก็ถูกฮ่องเต้พระองค์ใหม่เรียกตัวเข้าเฝ้า
“ท่านโหวกลับมาแล้วไฉนไม่บอกกล่าวเราสักคำเล่า” เสียงถามอย่างกังขาของฮ่องเต้ดังขึ้นเหนือศีรษะ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเซ่าหมิงยวนจับน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจได้หลายส่วน
“กระหม่อมคิดว่าฮ่องเต้ทรงมีราชกิจรัดตัว มิบังอาจรบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้พ่ะย่ะค่ะ”
โดยปกติหลังลาราชการออกเดินทางท่องเที่ยวกลับมาแล้วไม่จำเป็นต้องเข้าวังกราบทูลฮ่องเต้กระมัง เขามิใช่ขุนนางคนสำคัญในสภาขุนนาง หากทุกคนต้องมารายงานตัวเพราะเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งกันหมด เช่นนั้นเกรงว่าฮ่องเต้คงไม่มีแม้แต่เวลาเสวยพระกระยาหารแล้ว
“นั่นจะเป็นการรบกวนได้อย่างไรกัน ท่านโหวเป็นขุนนางคู่ใจของเรา ไม่ว่าเรื่องใดๆ ของท่านโหวเราก็ไม่รู้สึกว่าเป็นการรบกวน”
เซ่าหมิงยวนได้แต่ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน เขายังจะพูดอะไรได้อีก
“ไม่พบท่านโหวมานานมากแล้ว วันนี้อยู่กินอาหารเช้ากับเราเถอะ” ฮ่องเต้พลันกล่าวคำนี้ขึ้น จากนั้นเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เว่ยอู๋เสีย สั่งให้ตั้งโต๊ะอาหาร”
“ฝ่าบาท เวลานี้…” เซ่าหมิงยวนมีสีหน้างุนงง ตอนนี้ฮ่องเต้ยังไม่กินอาหารเช้าอีกหรือ
ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน “เราคิดอยู่ว่าท่านโหวจะเข้าวังมาพอดีก็เลยรอกินร่วมกับท่าน”
เซ่าหมิงยวนพูดไม่ออก “…” ท่านหมอเทวดากล่าวได้ถูกต้อง ฮ่องเต้พระองค์ใหม่น่าจะประชวรอยู่ ซ้ำยังอาการหนักด้วย
เมื่อร่วมกินอาหารอย่างไร้รสชาติประหนึ่งเคี้ยวเทียนกับฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว เซ่าหมิงยวนก็ขอตัวกลับจวนได้ในที่สุด
“กลับมาแล้วหรือ” เฉียวเจากำลังเล่นกับเจ้านกขุนทองเอ้อร์ปิ่งอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มพร้อมกล่าวทักทาย
“กลับมาแล้วหรือ” เสียงพูดแบบเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนดังขึ้น เจ้าเอ้อร์ปิ่งหันคอมาทักทายเขาเหมือนกัน
ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปใช้นิ้วแตะๆ หัวของมันพร้อมกับกล่าวเตือน “ขืนพูดเลียนเสียงฮูหยินอีก ข้าจะถอนขนเจ้าให้เกลี้ยงเลย”
เอ้อร์ปิ่งกระโดดโหยงๆ โผเข้าไปหาเฉียวเจา แล้วเอาหัวซุกกับทรวงอกอวบอิ่มของนายหญิงของมัน “น้องหญิง ท่านพี่กลัว…”
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนบูดบึ้งในพริบตา
เจ้านกตัวแสบ ทั้งใช้วาจาแทะโลมทั้งฉวยโอกาสลวนลามภรรยาข้า ใครจะไปทานทนได้ไหว!
แม่ทัพเซ่าถกแขนเสื้อยื่นสองมือไปจับ แต่เจ้าเอ้อร์ปิ่งโผบินขึ้นฟ้าไปอย่างฉับไว ด้วยเหตุนี้ฝ่ามือใหญ่คู่หนึ่งของคนบางคนเลยคว้าหมับที่เนินเนื้อนุ่มนิ่มนั่นแทน
“ว้าย! ข้ามองอะไรไม่เห็นทั้งนั้นเจ้าค่ะ” ปิงลวี่ซึ่งยกถาดผลไม้เข้ามาร้องอุทานแล้วหันหลังวิ่งออกไป
น่ากลุ้มใจนัก ท่านเขยยิ่งมายิ่งไม่สำรวมแล้ว ตอนนี้ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลย
ข้าถึงบอกว่าเป็นสาวใช้นั้นยากแท้
อะ ลืมวางถาดผลไม้
ปิงลวี่หมุนกายขวับ ลุกลี้ลุกลนวางถาดลงแล้ววิ่งปรู๊ดออกไป
“ยังไม่ปล่อยมืออีก” เฉียวเจาพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เซ่าหมิงยวนกะพริบตาปริบๆ เขาได้ทีบีบคลึงทีหนึ่งถึงดึงมือกลับก่อนจะตีหน้าซื่อกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ เจ้าเอ้อร์ปิ่งเป็นตัวการก่อเรื่องขึ้น”
เจ้าเอ้อร์ปิ่งเกาะอยู่บนยอดไม้โก่งคอร้องเพลงเจื้อยแจ้ว “ยื่น…อือ…มือ…อือออ…ปะ…ปาย…ลูบหัวพี่…สาว…เออ...เอย…หัว…พี่…สาว…เอย…หอม…ดอกกุ้ย…อุย…”
นี่คือ…สิบแปดโลม*?
เซ่าหมิงยวนค่อยๆ นึกขึ้นได้แล้วทำหน้างอเป็นจวักในพริบตา
เป็นเจ้าบัดซบคนใดกันที่สอนนกขุนทองร้องเพลงนี้ สมควรตายนัก!
ครั้นสัมผัสได้ถึงไอสังหารอย่างรุนแรง เอ้อร์ปิ่งกระพือปีกบินหนีไปอย่างว่องไว แต่ปากยังครวญเพลงท่อนต่อไป “ยื่น…อือ…มือ…อือ…ปะ…ปาย…”
เซ่าหมิงยวนหันไปหัวเราะเก้อๆ กับเฉียวเจา “แหะๆ”
นางยกมือลูบเส้นผมที่รุ่ยลงมาข้างจอน พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ที่แท้ตอนอยู่แดนเหนือพวกท่านชมชอบร้องเพลงนี้ด้วย”
เพลานี้ชายหนุ่มบังเกิดความคิดอยากจับเจ้าเอ้อร์ปิ่งมาถอนขนทิ้งจริงๆ แล้ว เขายิ้มเจื่อนๆ กล่าวว่า “ทหารในกองทัพมีหลายคนมาจากทิศใต้ ยามคิดถึงบ้านก็ชอบครวญเพลงท่อนสองท่อน นานวันเข้าเจ้าเด็กหนุ่มคึกคะนองพวกนั้นก็ร้องเป็นกันหมด…”
คล้อยหลังภรรยาเซ่าหมิงยวนก็ลากตัวเฉินกวงมาเทศนายกหนึ่ง “ทำงานไว้ใจไม่ได้สักนิด มีของไร้สาระอะไรก็ส่งไปให้ฮูหยินหมด”
เฉินกวงทำหน้าเหลอหลา “พักนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นนะขอรับ แล้วก็ไม่ได้เอาของอะไรไปมอบให้ฮูหยินด้วย”
ฮูหยินก็แต่งเข้ามาแล้ว ถ้าข้าจะมอบอะไรให้ได้อีกนั่นคงมิใช่สิ่งของ แต่เป็นชีวิตแล้ว!
“ไม่ใช่ตอนนี้ เมื่อก่อน” เซ่าหมิงยวนเอ่ยเตือนความจำด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“เมื่อก่อน?” เฉินกวงขบคิดอย่างละเอียดแล้วทำหน้าเหลอหลามากขึ้น “เมื่อก่อนจะมอบของอะไรล้วนเป็นคำสั่งของท่านนะขอรับ”
ฟ้าดินเป็นพยาน เมื่อก่อนท่านแม่ทัพให้ข้านำเงินหยวนเป่าไปมอบให้ฮูหยินหีบแล้วหีบเล่า ข้าไม่แม้แต่หยิบจับเลยด้วยซ้ำ
“นกขุนทองที่มอบให้ฮูหยินตัวนั้นมิใช่ความคิดของเจ้ารึ!” เซ่าหมิงยวนอดพูดออกมาอย่างพาลพาโลไม่ได้ในที่สุด
เฉินกวงทำตาปริบๆ อย่างไม่เข้าใจเป็นอันมาก “ฮูหยินชมชอบเจ้าเอ้อร์ปิ่งมากนะขอรับ มันเป็นนกตลกชวนหัวช่วยคลายความเบื่อหน่ายได้”
“เจ้าเอ้อร์ปิ่งร้องเพลงสิบแปดโลมเป็นด้วย” ท่านแม่ทัพกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อะไรนะ!” เฉินกวงตัวเซแทบล้มลง
“ที่เจ้าเอ้อร์ปิ่งร้องเพลงนี้เป็น เจ้ากล้าพูดว่าพวกเจ้าไม่ใช่คนสอนหรือไม่”
“ไม่ใช่จริงๆ นะขอรับ” เฉินกวงแทบยกมือสาบานต่อฟ้า “ท่านแม่ทัพ พวกข้ามิได้อยู่ว่างๆ จนเสียสติไปแล้ว ถึงได้สอนนกขุนทองตัวหนึ่งร้องเพลงสิบแปดโลม!”
เซ่าหมิงยวนทำเสียงฮึขึ้นจมูก
ความคิดในหัวเฉินกวงแล่นเร็วรี่ เขาตบมืออย่างฉุกคิดขึ้นได้แล้วกล่าวขึ้น “ข้าทราบแล้วขอรับ ต้องเป็นเมื่อก่อนตอนที่พวกเซ่าจือร้องเพลงส่งเดชแล้วเจ้าเอ้อร์ปิ่งแอบเลียนแบบเอง เจ้านกขุนทองตัวนี้น้ำนิ่งไหลลึกน่าดู ท่านแม่ทัพอย่าโมโหไปเลย ข้าจะไปถอนขนของมันเดี๋ยวนี้!”
“ไม่จำเป็น เอ้อร์ปิ่งเป็นนกตัวโปรดของฮูหยิน เจ้ากล้าแตะต้องมันจริงๆ ฮูหยินจะไม่พอใจ”
“เช่นนั้นจะแล้วกันไปแค่นี้หรือขอรับ”
“ไม่แน่นอน” เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วสูง “หักเบี้ยหวัดเจ้าถึงปีหน้า”
“ทะ…ท่านแม่ทัพ!” พอเห็นท่านแม่ทัพที่เคารพหมุนกายจากไปอย่างไร้น้ำใจไมตรี เฉินกวงเหยียดมือไปข้างหน้า ใบหน้าทอแววสิ้นหวัง
พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง อากาศในยามราตรีจะค่อนข้างเย็น เฉียวเจาซุกตัวอยู่ในอ้อมอกของเซ่าหมิงยวน พูดคุยเรื่องที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่เรียกตัวเขาไปเข้าเฝ้าเมื่อตอนกลางวัน
“ท่านพูดว่าฮ่องเต้ตั้งใจรอกินอาหารเช้ากับท่านหรือ”
“ใช่ เจาเจา ตามความเห็นของคนเป็นหมอ เจ้าว่าที่ฮ่องเต้ทรงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งกำชับของท่านหมอเทวดาส่งผลถึงตรงนี้หรือไม่” เขาชี้ที่ศีรษะตนเอง
ไม่ว่าเขาคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าพฤติกรรมของฮ่องเต้คล้ายคนปัญญาอ่อนอยู่สักหน่อย
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว หากท่านเห็นว่าท่านผู้นั้นมีปัญหาที่ตรงนี้…” เฉียวเจาหลุดหัวเราะพรืด นางชี้ที่ศีรษะพลางพูด “นั่นแสดงว่าเขามีปัญหาที่ตรงนี้มาโดยตลอด ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของท่านปู่หลี่อย่างเด็ดขาด”
“อ้อ เป็นมาแต่กำเนิด” เซ่าหมิงยวนแจ่มแจ้งในบัดดล แต่เขายังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี “แต่พักนี้ดูเหมือนอาการหนักขึ้น”
หญิงสาวครุ่นคิดอย่างเอาจริงเอาจังแล้วกล่าวตอบ “เป็นไปได้ว่าพอได้นั่งบนตำแหน่งนั้นก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังแล้วกระมัง”
“มีเหตุผล” หลังได้คุยถกกับภรรยา ข้อสงสัยของเขาก็คลี่คลายลง
* สิบแปดโลม เป็นลำนำเพลงพื้นบ้าน เนื้อเพลงบรรยายถึงการแสดงความรักโดยการลูบจับส่วนต่างๆ ของร่างกาย มักใช้ในการเกี้ยวพาราสี