หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 807
บทที่ 807
เฉียวเจาหยุดพักหายใจฟื้นฟูกำลังคืนมาได้บ้างค่อยกล่าวอธิบายช้าๆ “ท่านหมอเทวดาหลี่เคยบอกกับข้าว่าคนที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีนี้ ถึงจะดูท่าทางหายดีเป็นปกติ ทว่าภายในเวลาสองเดือนอาจสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ”
“เพราะอะไร”
“แม้ว่าของต่างๆ เช่นมีดล้วนเช็ดด้วยสุราฤทธิ์แรง แต่บาดแผลจากการผ่าท้องมีความเสี่ยงที่จะเป็นหนองเน่าเปื่อยได้ ต้องผ่านไปสองเดือนแล้วถึงแน่ใจได้ว่าแผลข้างในสมานกันสนิท หากไม่เป็นเช่นนั้นทันทีที่เป็นหนองก็จะหมดทางเยียวยา…”
คำอธิบายของเฉียวเจาทำให้ฉือชั่นมีสีหน้าไม่ดีมากยิ่งขึ้น
“พี่ฉือ เดิมทีข้าควรบอกเรื่องพวกนี้กับท่านก่อนผ่าท้อง แต่พระอาการขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงในขณะนั้นเข้าขั้นวิกฤตแล้ว ไม่มีจังหวะให้อธิบายได้เลย การใช้วิธีผ่าท้องตอนนั้นองค์หญิงใหญ่ฉางหรงกับทารกในครรภ์ยังมีโอกาสรอดชีวิต หากชักช้าไปเรื่อยๆ มีแต่จะพบกับบทลงเอยด้วยหนึ่งศพสองชีวิตเจ้าค่ะ”
ฉือชั่นยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน “เจ้าไม่ต้องอธิบาย ข้าย่อมจะเชื่อใจเจ้า”
เฉียวเจาเผยรอยยิ้มโล่งอก
ถ้าไม่ใช่ฉือชั่นแต่เปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้นางมีความเมตตาการุณย์ของผู้เป็นแพทย์ก็ไม่มีทางลงมือทำโดยที่ไม่บอกกล่าวให้กระจ่างชัดล่วงหน้า
“เช่นนั้นท่านแม่ข้ามีโอกาสฝ่าด่านอันตรายไปได้มากเพียงใด” ฉือชั่นมององค์หญิงใหญ่ฉางหรงที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง
เฉียวเจานิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนตอบ “สองส่วนเจ้าค่ะ”
เขาทำหน้าตะลึงงัน นานพักหนึ่งถึงกล่าวพึมพำ “แค่สองส่วนเองหรือ”
นางหลุบตาลง “ข้า…ไม่มั่นใจจริงๆ…”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางใช้วิธีผ่าท้อง ทำได้ถึงขั้นนี้นับว่าเป็นบุญล้นเหลือแล้ว
กล่าวจบหญิงสาวจัดเก็บหีบยาแล้วยกขึ้นสะพายไหล่ “พี่ฉือ ท่านเรียกให้คนเข้ามาดูแลองค์หญิงใหญ่ได้แล้ว ข้าจะกำชับพวกนางว่าพึงระวังเรื่องใดบ้าง”
ฉือชั่นพยักหน้า ตอนนี้เขาถึงก้าวขาเดินไปที่หน้าห้องด้วยฝีเท้าหนักอึ้งแล้วเปิดประตูออก
“คุณชาย…”
“ตงอวี๋กูกู พวกท่านเข้ามาเถอะ”
นางข้าหลวงตงอวี๋พาสาวใช้สองคนเดินเข้ามา
กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งในห้องทำให้ตงอวี๋แข้งขาสั่นไม่หยุด ครั้นเห็นคราบโลหิตทั่วเตียงนางแทบยืนทรงตัวไม่อยู่ เปล่งเสียงเรียกอย่างลนลานว่า “องค์หญิง!”
ส่วนสาวใช้สองคนก็ถลันเข้าไปพลางร้องเรียก
“จะร้องไห้ด้วยเหตุใดกัน ท่านแม่ข้ายังไม่ตาย!” ฉือชั่นตวาดเสียงห้วน
เสียงร้องคร่ำครวญเงียบลง
เขามองตงอวี๋ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตงอวี๋กูกู พวกท่านฟังคำสั่งกำชับของฮูหยินท่านโหวให้ดีๆ แล้วทำไปตามนั้นทุกอย่าง”
ตงอวี๋ทำท่าอิดเอื้อน แต่พอมองสบดวงตาเครียดขรึมของฉือชั่น นางก็ย่อเข่าขานรับ “เจ้าค่ะ”
นางเดินไปตรงหน้าเฉียวเจา ข่มความรู้สึกพลุ่งพล่านในใจไว้ กล่าวเสียงอ่อนน้อมว่า “เชิญฮูหยินท่านโหวออกคำสั่งได้เลยเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาอธิบายสิ่งที่พึงใส่ใจอย่างละเอียดลออแล้วกล่าวตบท้าย “อีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยากับข้อควรระวังสำคัญๆ แล้วให้คนส่งมาให้ หากองค์หญิงใหญ่ทรงมีอะไรผิดปกติก็ส่งคนไปบอกข้าได้”
“ขอบคุณฮูหยินท่านโหวอย่างมากเจ้าค่ะ” ตงอวี๋กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ข้าออกไปส่งเจ้า” ฉือชั่นสาวเท้ามา
เซ่าหมิงยวนซึ่งรออยู่ในลานเรือนเห็นนางออกจากห้องแล้ว ตวัดสายตามองรอยเลือดตรงชายเสื้อคลุมของนางก่อนจะเดินไปหา “ทุกอย่างราบรื่นดีกระมัง”
“เวลานี้ยังนับว่าราบรื่น”
หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่ปรี่เข้ามาพูดด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฮูหยินท่านโหว ไม่ทราบว่าท่านใช้วิธีการใดทำให้องค์หญิงใหญ่มีพระประสูติกาลได้อย่างราบรื่น”
แพทย์หลวงคนอื่นๆ ก็ล้อมวงเข้ามา
ถึงแม้เมื่อครู่นี้พวกเขาไม่ได้เข้าไป แต่หัวหน้าแพทย์หลวงหลี่เล่าสถานการณ์ให้พวกเขาฟังแล้ว อีกทั้งหมอตำแยพวกนั้นก็ยืนยันแล้วว่าองค์หญิงใหญ่หมดทางรักษา ไฉนหลังฮูหยินของกวนจวินโหวเข้าไป ไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไรดังขึ้นด้านในก็อุ้มทารกน้อยออกมาคนหนึ่งแล้วเล่า
หญิงสาวถูกเหล่าแพทย์หลวงรุมล้อมก็ขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ เรื่องที่ฟังดูน่าสะพรึงกลัวอย่างการผ่าท้องคลอดบุตรพรรค์นี้นางย่อมพูดไม่ได้แน่นอน
“ใต้เท้าทุกท่านจะถามเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใด ไม่รู้หรือว่ามีเคล็ดวิชาลับมากมายที่ถ่ายทอดให้แต่บุตรชายไม่ถ่ายทอดให้บุตรสาว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะบอกต่อคนนอก” ฉือชั่นเอ่ยด้วยสีหน้าปึ่งชา
แพทย์หลวงทั้งหลายมองหน้ากันไปมา มาตรว่าจะกระหายใคร่รู้เหลือทน แต่กลับพูดไม่ออกเพราะคำกล่าวติงนี้
“เอาล่ะ ใต้เท้าทุกท่านกลับไปได้แล้ว”
พอเห็นฉือชั่นออกปากไล่แขก พวกเขาจะรั้งอยู่ต่อก็ไม่เป็นการดี ต่างประสานมือกล่าวอำลากลับไป
“ถิงเฉวียน หลีซาน วันนี้ขอบใจพวกเจ้ามาก”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ระหว่างพวกเรายังต้องเกรงใจเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าพาเจาเจากลับไปชำระกายผลัดอาภรณ์ก่อน มีเรื่องอะไรเจ้าส่งคนมาบอกกล่าวสักคำเท่านั้นเป็นพอ”
ฉือชั่นพยักหน้าแล้วตั้งท่าจะออกไปส่ง แต่เซ่าหมิงยวนโบกมือห้ามไว้ เขารอจนคนทั้งคู่ออกไปแล้วเหลียวมองห้องคลอดปราดหนึ่ง
เวลานี้บ่าวไพร่กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้องค์หญิงใหญ่อยู่ ชายหนุ่มไม่สะดวกจะเข้าไป เขาคิดๆ แล้วสาวเท้าไปที่ห้องติดกัน เพิ่งก้าวเข้าประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้อุแว้ๆ ของทารก
“คุณชาย…” พวกแม่นมกับสาวใช้ในห้องรีบลุกขึ้นยืน
เขาเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองทารกในผ้าห่อตัวครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง”
“เป็นคุณหนูเจ้าค่ะ” แม่นมกล่าวตอบ
เขาเบนสายตาลงมองพินิจดวงหน้าน้อยๆ ของทารก
ทารกแรกเกิดไม่ชวนมองสักเท่าไร หน้าผากย่นยู่ยี่ ดูไปแล้วคล้ายลูกวานรก็ไม่ปาน
ขี้เหร่ดีแท้
ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวฉือชั่น เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
ชะรอยจะเห็นเองกับตาว่าเด็กผู้นี้ออกมาลืมตาดูโลกอย่างไร อีกทั้งตนเป็นคนอุ้มไปส่งให้คนอื่น เขานึกประหลาดใจเมื่อพบว่าตอนเห็นเด็กผู้นี้หาได้รังเกียจเดียดฉันท์อย่างที่คิดไว้ นอกจากเห็นว่าขี้เหร่เหลือเกินแล้วกลับไม่มีความรู้สึกอื่นใด
มิหนำซ้ำเพราะคิดว่าเด็กหญิงผู้หนึ่งขี้เหร่เช่นนี้ กลับบังเกิดความเอ็นดูสงสารอยู่หลายส่วนโดยไร้สาเหตุ
วันหน้าเด็กผู้นี้คงไม่ได้ออกเรือนเป็นแน่กระมัง
“ดูแลเด็กให้ดี” ฉือชั่นทำหน้าขรึมเอ่ยสั่งคำหนึ่ง เขามองเจ้าวานรขี้เหร่ซ้ำอีกทีก่อนเอามือไพล่หลังเดินออกไป
“องค์หญิงใหญ่กับบุตรสาวปลอดภัยดีหรือ” หยางไทเฮาได้ยินคำรายงานจากไหลสี่แล้วคลายใจลงได้ครึ่งหนึ่ง แต่พอคิดถึงว่าเด็กผู้นั้นมีชีวิตอยู่ก็กลุ้มใจขึ้นมาอีก
เด็กหญิงผู้หนึ่งมีชาติกำเนิดอย่างนั้น มิสู้ตายไปตอนคลอดยังดีกว่า…
“เอาเถอะ ห่อรังนกส่งไปที่วังองค์หญิงใหญ่” หยางไทเฮานวดๆ ขมับอย่างอ่อนล้าพลางกล่าวสั่ง “ทางฮ่องเต้นั่นไม่จำเป็นต้องกราบทูลแล้ว”
เดิมทีก็อยู่ในช่วงไว้ทุกข์ถวายความอาลัย ทั้งยังเป็นเรื่องพรรค์นี้ อยากปิดบังยังแทบไม่ทัน จะมีอะไรน่ากราบทูลอีก
หยางไทเฮาอยากให้เรื่ององค์หญิงใหญ่ฉางหรงให้กำเนิดบุตรสาวเงียบหายไปกับสายลมใจจะขาด แต่นางหาได้รู้ไม่ว่าชาวเมืองหลวงรอชมดูเรื่องสนุกแต่แรก ยังไม่ถึงวันที่สองทุกๆ จวนก็รู้กันหมดแล้วว่าวังองค์หญิงใหญ่มีคุณหนูเพิ่มขึ้นหนึ่งคน
เพราะหมอตำแยพวกนั้นล้วนเป็นมือหนึ่ง ได้เข้านอกออกในตามจวนต่างๆ เป็นประจำ เรื่องที่ฮูหยินของกวนจวินโหวแสดงฝีมือในครั้งนี้จึงแพร่กระจายไปทั่วในชั่วเวลาสั้นๆ ส่งผลให้มีคนคิดจะเชิญตัวนางมากตั้งเท่าไรก็สุดรู้
จนใจที่บัดนี้ศักดิ์ฐานะฮูหยินของกวนจวินโหวนั้นสูงส่งมาก ถึงอยากเชิญกลับทำไม่ได้แล้ว
ในระหว่างนี้อาการขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงทรุดลงกะทันหันหลายครั้ง แต่ได้เฉียวเจาช่วยประคับประคองไว้จนผ่านพ้นมาได้ หลังเป็นอยู่อย่างนี้เจ็ดแปดวันนางก็สามารถลงจากเตียงเดินเหินไปมาได้ช้าๆ แล้ว
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงรู้สึกมีกำลังวังชามากขึ้นพอสมควรแล้วจึงเดินเล่นครู่หนึ่ง ก่อนจะให้ข้ารับใช้พยุงเอนกายลงช้าๆ นางพิงหมอนอิงพลางพูดว่า “ตงอวี๋ เชิญคุณชายมาที”
ไม่นานนักฉือชั่นก็เดินเข้ามา
“ท่านแม่เรียกหาข้าหรือขอรับ”
องค์หญิงใหญ่ฉางหรงเหลือบตาขึ้นมองเขานิ่งๆ
“ท่านแม่รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดใช่หรือไม่ขอรับ” เขารอคอยประเดี๋ยวหนึ่งก็ถามขึ้นอีก
“ไม่ใช่” องค์หญิงใหญ่ฉางหรงนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ถึงเผยรอยยิ้มบางๆ “แค่อยากเห็นหน้าเจ้า”