หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 81
บทที่ 81
สายตาของเซ่าหมิงยวนหยุดนิ่งที่หางตาข้างขวาของสหายประเดี๋ยวหนึ่ง
ฉือชั่นรู้สึกขายหน้ามากพอดู จึงยกมือจับๆ พลางพูดอธิบาย “ไม่ทันระวังเลยกระแทกโดนนิดหน่อย”
เรียวคิ้วทรงดาบของเซ่าหมิงยวนยกขึ้นเล็กน้อย “มิใช่ถูกหยางเอ้อร์ชกเอาหรือ ข้าจำได้ว่าเวลาเขาชกคนชอบใช้มือซ้าย”
ความแตกต่างระหว่างถูกคนชกกับกระแทกโดนนั้นชัดเจนอย่างมาก
ฉือชั่นขุ่นเคืองจนเส้นเลือดตรงขมับเต้นระริก เขาลืมไปเสียได้ เจ้าคนตรงหน้าผู้นี้ต่างหากคือผู้ช่ำชองการสู้รบ
ฉือชั่นก้าวปราดๆ เข้าไปยื่นมือชกเขาหมัดหนึ่ง “ไม่ได้ไสหัวกลับเมืองหลวงมาตั้งนาน จะความจำดีถึงเพียงนี้ไปด้วยเหตุใด”
เซ่าหมิงยวนนิ่วหน้า
ฉือชั่นตกใจเมื่อเห็นแววเจ็บปวดผุดขึ้นวูบหนึ่งบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาเบนสายตาไปตรงจุดที่ตนชกโดนเมื่อครู่นี้ ขบคิดอึดใจหนึ่งแล้วถามขึ้น “มีแผลหรือ”
เซ่าหมิงยวนจับหัวไหล่พลางยิ้มเจื่อนๆ “ตอนแรกตกสะเก็ดแล้ว”
ฉือชั่นย่างเท้าไปนั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วหยักยิ้มอย่างกระดากใจ เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างฉงนใจ “ใครทำเจ้า”
ไม่รอให้เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบ เขาชูนิ้วชี้ขึ้นโบกไปโบกมาตรงหน้า “อย่าบอกว่าได้มาจากสนามรบ จากทิศเหนือเดินทางมาถึงเมืองหลวงผ่านไปนานเท่าไร แผลภายนอกน่าจะหายสนิทตั้งนานแล้ว”
เซ่าหมิงยวนหลุบตาลง ใคร่ครวญดูแล้วบอกตามตรง “ถูกพี่ชายของภรรยาข้าแทง”
“พี่ชายของภรรยา?” ฉือชั่นยื่นมือไปหยิบกาสุราทำจากกระเบื้องสีขาวขึ้นรินสุราหนึ่งจอกให้คนทั้งคู่
น้ำเมรัยสีเขียวใส รสเข้มหอมฉุนเตะจมูก นี่คือจุ้ยชุนเฟิง สุราชูโรงของหอชุนเฟิง
ฉือชั่นวางกาสุราลง เขานึกขึ้นได้แล้ว “คุณชายเฉียวที่โดนไฟไหม้เสียโฉมจนโจษจันไปทั่วเมืองหลวงเมื่อไม่นานมานี้ผู้นั้นหรือ”
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เขาย้อนถาม “ไม่เช่นนั้นข้ายังมีพี่ชายของภรรยาคนใดอีกเล่า”
“เฉียวโม่เสียโฉมจริงๆ หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าตอบ
“คงมิใช่เพราะเหตุนี้ เขาเลยอยากกรีดหน้าเจ้าสักสองแผลกระมัง แต่กลับมือลื่นเลยฟันไปโดนหัวไหล่”
เซ่าหมิงยวนทำหน้าขรึม “อย่าพูดล้อเล่น”
เขาตวัดสายตามองหน้าสหายรัก เอ่ยเสียงเรียบๆ “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็สมควรฟันหน้าเจ้าจึงจะถูก”
ฉือชั่นสะอึกจนพูดไม่ออก เขายกจอกสุราขึ้นดื่มคำหนึ่งถึงกล่าวขึ้น “นัดมาพบกันที่นี่มีเรื่องใดรึ จะรออยู่ที่เรือนข้าก็ได้มิใช่หรือ”
เมื่อเช้าพวกเขาสามคนไปคำนับศพที่จวนจิ้งอันโหว ทั้งสี่คนสนทนากันสั้นๆ ไม่กี่คำ ตอนนั้นสหายรักมิได้พูดอะไรมาก
นิ้วมือเรียวยาวของเซ่าหมิงยวนกำรอบจอกสุรา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ครอบครัวข้าจัดงานศพอยู่ อย่าไปรบกวนที่วังจะดีกว่า”
ฉือชั่นคิดๆ แล้วยกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เขากล่าวกลั้วเสียงหัวร่อแผ่วๆ “เจ้าพูดถูก อยู่ข้างนอกทำตามสบายได้มากกว่า”
เซ่าหมิงยวนแจ่มแจ้งดีถึงความสัมพันธ์ที่มึนตึงระหว่างฉือชั่นกับองค์หญิงใหญ่ฉางหรง เขาลอบเยาะหยันตนเองตามประสาคนหัวอกเดียวกันอยู่ในใจลึกๆ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอให้เจ้าช่วย”
“บอกมาก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร” ฉือชั่นบังเกิดความสนใจ
เขายังนึกว่าสหายรักผู้นี้ไม่ปรารถนาสิ่งอื่นใดนอกจากการทำสงครามเสียอีก
สายตาของเซ่าหมิงยวนจับจ้องที่จอกสุราในมือ
ผิวน้ำสีเขียวในถ้วยกระเพื่อมไหวน้อยๆ ละม้ายห้วงน้ำในทะเลสาบที่เปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายวสันตฤดู
“ข้าได้ยินว่าตอนนี้มีหมอเทวดาท่านหนึ่งพำนักอยู่ในวังรุ่ยอ๋อง”
“ใช่ เป็นหมอเทวดาหลี่ผู้นั้น คนที่เคยช่วยรักษาไทเฮาในอดีต พักก่อนรุ่ยอ๋องเชิญเขาเข้าเมืองหลวง ไม่รู้ทำอย่างไรถึงเป็นข่าวครึกโครมรู้กันไปทั่วแล้ว” ฉือชั่นรู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุผลใดถึงปิดบังเรื่องหมอเทวดาหลี่เข้าเมืองหลวงเอาไว้ไม่อยู่ แต่ถึงอย่างไรจะเอ่ยถึงเหตุการณ์ตอนนั่งเรือขึ้นเหนือช่วงนั้นมากนักก็ไม่เหมาะเท่าไร
“สือซี เจ้ารู้ว่าด้วยฐานะข้าในเวลานี้ ไปเยี่ยมคารวะที่วังรุ่ยอ๋องหาได้เหมาะสมไม่ ข้าอยากไหว้วานเจ้าไปที่นั่น ช่วยเชิญหมอเทวดาหลี่ออกมาให้ข้าได้พบปะกับเขาเป็นการส่วนตัว” เซ่าหมิงยวนบอกเรื่องที่ต้องการไหว้วานสหายออกมา
“เจ้าอยากพบหมอเทวดาหลี่หรือ” ฉือชั่นตรึกตรองแล้วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู”
เขาย่อมจะเข้าใจความกริ่งเกรงกังวลของเซ่าหมิงยวนเป็นธรรมดา
ในทุกยุคทุกสมัยพระโอรสที่ข้องแวะกับขุนนางคนสำคัญล้วนเป็นข้อต้องห้ามร้ายแรงของโอรสสวรรค์ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแม่ทัพซึ่งกุมกำลังทหารจำนวนมากไว้ในมือและมีชื่อเสียงบารมีอย่างหาใครเทียบมิได้เฉกเช่นเซ่าหมิงยวน ทันทีที่มีข่าวว่าเขาไปเยือนวังรุ่ยอ๋องแพร่ออกไป รุ่ยอ๋องจะเป็นคนที่ต้องร่ำไห้จนเป็นลมก่อนผู้ใด
เพราะนั่นจะเป็นจังหวะให้พระบิดาได้สรรหาสารพัดวิธีเล่นงานอย่างแน่นอน
“ขอบใจมาก” เซ่าหมิงยวนยกจอกสุราแตะริมฝีปาก
ฉือชั่นคล้ายคิดอะไรขึ้นได้ จึงกล่าวเสริมขึ้นว่า “แต่ขอบอกให้เจ้ากระจ่างแจ้งไว้ก่อน ข้าไปวังรุ่ยอ๋องได้ไม่มีปัญหา แต่จะเชิญหมอเทวดาท่านนั้นมาได้หรือไม่ก็พูดยากแล้ว”
“หือ?”
“ตาเฒ่านั่นมีนิสัยแปลกประหลาดมาก”
เซ่าหมิงยวนหยักยิ้ม “ข้าได้ยินว่าหมอเทวดาหลี่มาจากทิศใต้ ระหว่างทางยังช่วยคุณหนูตระกูลขุนนางผู้หนึ่งจากมือโจรค้าทาสได้และรับเป็นหลานสาวบุญธรรม ดูอย่างนี้แล้วกลับเป็นผู้อาวุโสที่ใจดีมีเมตตาท่านหนึ่งนะ”
“ฮ่าๆ ไว้เจ้ามีโอกาสได้พบกับเขาจริงๆ เจ้าก็รู้ซึ้งเอง”
“ไม่ว่าอย่างไร ได้พบหน้าสักหนก่อนก็พอ”
“เป็นเมื่อไร”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี”
ฉือชั่นพยักหน้า “ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะไปที่วังรุ่ยอ๋อง”
ในฐานะบุตรชายขององค์หญิงใหญ่ ฉือชั่นกับรุ่ยอ๋องนับเป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน ยามปกติพบกันเป็นเรื่องธรรมดามาก กระทั่งองครักษ์จินหลินที่แทรกซึมอยู่ทุกหนแห่งยังคร้านจะใส่ใจ
เมื่อคุยเรื่องงานจบ การสนทนาระหว่างคนทั้งสองก็ผ่อนคลายมากขึ้น
เซ่าหมิงยวนเอ่ยถาม “สือซี เจ้ากับหยางเอ้อร์ชกต่อยกันได้อย่างไร”
พวกเขาสี่คนเล่นกันจนเคยชินมาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ว่าต่อมาเขาแทบไม่ค่อยได้อยู่เมืองหลวง แต่มิตรภาพระหว่างกันมิได้จืดจางลงเลย ส่วนพวกฉือชั่นสามคนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น
ถึงพวกเขาจะทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ แต่ลงไม้ลงมือหนักถึงเพียงนี้กลับหาได้ยาก
“มิใช่หยางเอ๋อร์ผู้เดียวนะ ยังมีจื่อเจ๋อด้วย คิดไม่ถึงจริงๆ ปกติเขาเป็นคนเรียบร้อยคร่ำครึเอาการ แต่เวลาชกต่อยคนก็แรงเยอะน่าดู” ฉือชั่นรู้สึกว่าตรงที่โดนจูเยี่ยนถีบเริ่มเจ็บแปลบๆ แล้ว
“ตกลงว่าเป็นเรื่องใดกันแน่” เซ่าหมิงยวนงุนงงมากขึ้น
พอคิดไปถึงต้นเหตุ ฉือชั่นอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้
เขาเกิดมาพร้อมรูปโฉมโนมพรรณที่ดี แต่นิสัยใจคอกลับไม่ค่อยดี น้อยครั้งนักที่มีสีหน้าอมยิ้มอย่างอ่อนโยนเยี่ยงนี้ กลับทำให้คนที่มองอยู่ด้านข้างสัมผัสถึงกลิ่นอายความรักใคร่เสน่หาได้หลายส่วน
เซ่าหมิงยวนนึกอัศจรรย์ใจ ดูท่าทางสหายรักอาจมีหญิงในดวงใจแล้วก็เป็นได้
ฉือชั่นเห็นเซ่าหมิงยวนทำสีหน้าอย่างนั้นก็โมโหกระฟัดกระเฟียด เขากลอกตาขึ้นพร้อมกล่าว “คิดเหลวไหลอะไรอยู่ ข้าแค่เปิดโปงความลับน่าอายตอนเด็กๆ ของสองคนนั่น พวกเขาเลยอับอายจนพาลโกรธก็เท่านั้นเอง”
“เปิดโปงกับใครรึ” เซ่าหมิงยวนถามตรงเข้าจุด
สหายรักสามคนขลุกอยู่ด้วยกันทั้งวัน ถ้าจะเปิดโปงก็เปิดโปงไปนานแล้ว คงไม่รอถึงวันนี้ เช่นนั้นจะต้องมีคนที่พิเศษผู้หนึ่งอยู่ด้วยเป็นแน่
บางทีอาจจะเป็นคนที่สือซีพึงใจ
ความเฉียบไวของเซ่าหมิงยวนทำให้ฉือชั่นเป็นเช่นแมวถูกเหยียบหางแล้วทำขนพองขู่ใส่ในพริบตา “ถิงเฉวียน นักรบอย่างเจ้าจะช่างคิดอ่านปานนี้ไปด้วยเหตุใดกัน”
เซ่าหมิงยวนยกจอกสุราขึ้นดื่มจนเกลี้ยง สุราล่วงเข้าปากได้รสชาติเข้มข้นนุ่มนวล แต่พอไหลลงสู่ท้องกลับร้อนวาบๆ ประหนึ่งมีไฟกองหนึ่งลุกโชนอยู่
เขากล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “เป็นแค่นักรบ ไม่อาจทำศึกชนะหรอกนะ”
“ก็แค่พบคนที่ไม่รู้กาลเทศะผู้หนึ่งโดยบังเอิญ เอาเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องไร้สาระพวกนี้เลย วันนี้หลังจากออกจากจวนของเจ้า จื่อเจ๋อยังพูดว่างานศพดูสับสนวุ่นวายอยู่บ้าง จะให้พวกข้าส่งผู้ดูแลในเรือนสักหลายๆ คนไปช่วยงานหรือไม่”
ฉือชั่นลอบทอดถอนใจ แต่ปากยังพูดอย่างอ้อมค้อม
จะว่าไปแล้วท่านแม่ของเขากลายเป็นคนเจ้าทิฐิเพราะมีปมในใจเรื่องท่านพ่อ ท่าทีกับเขาก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ทว่ามารดาของเซ่าหมิงยวนแปลกประหลาดยิ่งกว่า เห็นบุตรชายในไส้เป็นเหมือนของที่ได้รับแจกมาตอนซื้อแป้งผัดหน้าในตลาด งานศพในเรือนสหายรักสับสนวุ่นวายก็เป็นเพราะฮูหยินของท่านโหวผู้นั้นไม่เอาใจใส่ชัดๆ