หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 82
บทที่ 82
ยามทั้งคู่คิดถึงมารดาของตน ต่างรู้สึกหดหู่อยู่บ้าง
มือของเซ่าหมิงยวนไม่เรียวยาวขาวกระจ่างเหมือนกับมือของคุณชายสูงศักดิ์ที่จับพู่กันหรือดีดพิณพวกนั้น หากแต่เห็นข้อนิ้วชัดเจน ผิวหนังตรงปลายนิ้วก็สากด้านเป็นแผ่น
เขาลูบจอกสุราในมือเบาๆ พลางพูด “ไม่ต้อง ข้ายังจัดการได้”
ฉือชั่นพูดเยาะ “อย่าฝืนทนเลย รับไม่ไหวก็บอกออกมา”
เขารู้อยู่แล้วว่าเจ้าคนผู้นี้เป็นลูกกตัญญูแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่อยากกระทำเรื่องฉีกหน้าฮูหยินของจิ้งอันโหวด้วยการขอตัวผู้ดูแลกับสาวใช้มาจากเรือนอื่น
เซ่าหมิงยวนหาได้ถือสากับทีท่าของฉือชั่นไม่ เขาวางจอกสุราลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “รู้แล้ว ถ้ารับไม่ไหวจริงๆ ข้าจะบอกกับพวกเจ้า”
“ถิงเฉวียน ไฉนเจ้า…” จะอย่างไรก็เป็นมารดาของสหายรัก สุดท้ายฉือชั่นจึงมิได้พูดต่อ
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้น ย้อนถามว่า “สือซี แล้วเหตุใดเจ้า…”
ทั้งคู่ล้วนไม่ได้กล่าวถ้อยความหลังจนจบ กลับประจักษ์แก่ใจกันและกันดี
ฉือชั่นอยากถามเซ่าหมิงยวนว่าไฉนเขาต้องกตัญญูต่อมารดาที่ใจดำกับเขามากอย่างนั้น ส่วนเซ่าหมิงยวนจะย้อนถามว่าเหตุใดฉือชั่นมีน้ำอดน้ำทนต่อองค์หญิงใหญ่ฉางหรงที่อารมณ์ปรวนแปรได้
สหายรักแต่วัยเยาว์สองคนที่ไม่ได้เปิดอกพูดคุยกันมานานหลายปีประสานสายตากัน ฉือชั่นเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าไม่มีวันกล่าวโทษท่านแม่…”
เรื่องอดีตเหล่านั้นเป็นความลับที่คนนอกไม่ล่วงรู้ เขาอาจเสียใจ อาจระลึกถึง แต่ไม่คับแค้นใจ
เซ่าหมิงยวนยื่นมือไปตบไหล่สหายรัก พูดอย่างจนปัญญาว่า “เราสองคนเป็นเหมือนๆ กัน”
ฉือชั่นหมดคำพูดแล้ว เขารำพึงในใจ นี่คงเป็นดังคำกล่าวว่าทุกเรือนมีปัญหาของตนเองกระมัง จวนจิ้งอันโหวดูภายนอกโอ่อ่าทรงเกียรติ ใครจะรู้ว่าภายในเป็นเช่นไรเล่า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้ข้าไปช่วยถามให้เจ้า เจ้ารอฟังข่าวแล้วกัน รอเมื่องานศพของจวนเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราค่อยพบปะสังสรรค์กันให้เต็มที่วันหน้า”
ทั้งคู่ชนจอกกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วต่างคนต่างกลับเรือน
เช้าวันรุ่งขึ้นกลับมีฝนพรำลงมาจากฟ้า
สายพิรุณต้นฤดูร้อนเป็นละอองฝอยบางๆ ดุจปลายเข็มปรอยโปรยลงมาไม่ขาดสาย ฉือชั่นถือร่มไม้ไผ่สีเขียวคันหนึ่งเดินไปยังวังรุ่ยอ๋องซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวังองค์หญิงใหญ่ฉางหรง
“คุณชายฉือ ท่านมาได้อย่างไรขอรับ” ยามเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นฉือชั่นก็รีบออกมาต้อนรับพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า เขามองไปทางข้างหลังพร้อมกล่าว “ไฉนไม่ให้เด็กรับใช้ตามมาถือร่มให้ท่านสักคนละขอรับ ดูหัวไหล่ท่านสิเปียกเป็นวงเลย…”
ฉือชั่นปรายตามองเขา กล่าวเสียงเรียบๆ “พูดมาก”
ยามเฝ้าประตูไม่ถือสาแม้แต่น้อย เขายังยิ้มไม่หยุด “ท่านรีบเข้าไปนั่งพักข้างในเถอะขอรับ ข้าจะไปรายงานท่านอ๋อง”
“ไปเถอะ” ฉือชั่นหุบร่มแล้วส่งให้ข้ารับใช้
ในเรือนหลังเล็กเงียบสงบแห่งหนึ่ง รุ่ยอ๋องในอาภรณ์ลำลองกำลังขอคำชี้แนะจากหมอเทวดาหลี่อย่างสุภาพเกรงใจ “ท่านหมอเทวดา วันนี้ไม่ต้องฝังเข็มแล้วใช่หรือไม่”
หมอเทวดาหลี่ปรือตาขึ้น “ไม่ต้องแล้ว ข้าเขียนใบสั่งยาให้ขนานหนึ่งไปแล้วไม่ใช่หรือ ท่านอ๋องเริ่มแช่ตัวในน้ำตามใบสั่งยาตั้งแต่คืนนี้ได้เลย ขอแค่อาบน้ำสมุนไพรอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งปีจะฟื้นฟูร่างกายได้ ถึงเวลาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มใจเรื่องทายาทสืบสกุลแล้ว”
รุ่ยอ๋องยินดียกใหญ่ ประสานมือคำนับหมอเทวดาหลี่ “ขอบคุณมาก ท่านหมอเทวดามีวิชาแพทย์สูงส่งล้ำเลิศ ข้าจะจดจำบุญคุณของท่านไว้ในใจไม่มีวันลืม…”
หมอเทวดาโบกมือไปมา ในเวลานี้เขาเพิ่งลืมตาขึ้นมองรุ่ยอ๋องนิ่งๆ เปล่งเสียงพูดสองคำ “แต่ว่า…”
รุ่ยอ๋องได้ยินแล้วใจสั่นกระตุก
เรื่องต่างๆ ในใต้หล้านี้มักจะพังครืนเพราะคำว่า ‘แต่ว่า’ นี่เอง
เขาได้ยินหมอเทวดากล่าวเนิบนาบไม่ผิดจากที่คาดไว้ “แต่ว่าท่านอ๋องต้องจำไว้ว่าภายในหนึ่งปีนี้จะใกล้ชิดสตรีไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้ว…”
“หาไม่แล้วจะเป็นอย่างไร”
“ความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดจะสูญเปล่า เสียใจภายหลังก็สายเกินการณ์”
รุ่ยอ๋องหน้าซีดเผือดทันใด
ภายในหนึ่งปีนี้จะใกล้ชิดสตรีไม่ได้?
เขาเป็นบุรุษปกติและอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ก่อนหน้านี้เพื่อมีทายาทสืบสกุล เขาชุบเลี้ยงนางบำเรอโฉมงามปานบุปผาไว้ในวังอ๋องไม่น้อย หากไม่แตะต้องสตรีนานหนึ่งปีจริงๆ มันช่าง…
หมอเทวดาหลี่จับตาดูสีหน้าเขาแล้วแค่นเสียงเยาะ “หากท่านอ๋องทำไม่ได้ ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องอาบน้ำสมุนไพรแล้ว”
รุ่ยอ๋องรีบตั้งสติ กล่าวละล่ำละลัก “ทำได้ๆ”
หมอเทวดาถึงคลายความหงุดหงิดลงบ้าง เอ่ยปากขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”
เขาพูดไม่ทันจบ มีข้ารับใช้พูดรายงานอยู่นอกประตู “ท่านอ๋อง คุณชายฉือมาที่นี่ขอรับ”
ญาติผู้น้อง?
รุ่ยอ๋องเอ่ยขอตัวกับหมอเทวดาหลี่ “ท่านหมอเทวดา เชิญท่านพักผ่อนก่อน ข้าจะไปรับรองแขก อีกประเดี๋ยวค่อยมาขอคำชี้แนะใหม่”
“ท่านอ๋องเชิญตามสบาย” หมอเทวดาคิดๆ แล้วเห็นว่ารอรุ่ยอ๋องพบแขกเสร็จแล้วค่อยบอกเรื่องที่จะอำลาจากไปอีกที
รุ่ยอ๋องกล่าวลาหมอเทวดากลับถึงเรือนใหญ่ เขาเดินเข้าสู่โถงรับรองแขก เห็นฉือชั่นยืนอยู่อย่างสง่าผึ่งผายก็คลี่ยิ้ม “เหตุใดญาติผู้น้องถึงมาเยือนในวันฝนตกได้เล่า”
“ท่านอ๋อง” ฉือชั่นแสดงคารวะ
รุ่ยอ๋องสาวเท้าเร็วรี่เข้าไปดึงฉือชั่นให้นั่งลง “พวกเราเป็นญาติกันยังจะพูดจาสุภาพเกรงใจเช่นนี้ไปด้วยเหตุใด เรียกข้าว่าญาติผู้พี่ก็ได้”
นับแต่เสด็จพ่อหมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญเพียรก็ให้เขากับมู่อ๋องเข้าเฝ้าน้อยครั้งมาก กลับเป็นไทเฮากับอาหญิงฉางหรงที่ยังได้พบหน้าเสด็จพ่อบ้าง ในขณะที่ยังไม่กำหนดตัวผู้รับตำแหน่งรัชทายาท ยามอยู่กับฉือชั่นบุตรชายโทนขององค์หญิงใหญ่ฉางหรงผู้นี้ รุ่ยอ๋องไม่กล้าวางอำนาจเกินไปจริงๆ
“ธรรมเนียมมารยาทจะละทิ้งมิได้ เรียกท่านอ๋องยังคงคล่องปากกว่า” ฉือชั่นกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ
มิใช่แค่คล่องปาก ข้อสำคัญคือปลอดภัย
พระโอรสสองพระองค์คือรุ่ยอ๋องกับมู่อ๋องมีวัยไล่เลี่ยกัน ภายภาคหน้าบัลลังก์จะตกอยู่ในมือผู้ใดยังบอกได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะสนิทสนมหรือล่วงเกินคนใดล้วนมิใช่การกระทำที่ชาญฉลาด
มาตรว่านิสัยใจคอของฉือชั่นจะไม่ดีสักเท่าไร แต่กลับรู้ขอบเขตในเรื่องนี้ดี เขาไม่เอนเอียงไปทางรุ่ยอ๋องหรือมู่อ๋อง ล้วนวางตัวในฐานะญาติธรรมดาๆ เหมือนกัน
“ท่านอ๋อง ข้ามาในวันนี้เพื่อขอยืมคนจากท่าน”
“ยืมคน?” รุ่ยอ๋องฟังแล้วคลายยิ้ม “ญาติผู้น้องเห็นเป็นคนอื่นคนไกลแล้ว ถูกใจคนใด ญาติผู้พี่ส่งไปให้ถึงวังเป็นอันสิ้นเรื่อง”
สีหน้าของฉือชั่นบูดบึ้ง
ที่แท้ญาติผู้พี่คนนี้นึกว่าเขาติดเนื้อพึงใจนางบำเรอบางคนถึงได้มาเพื่อหาความสำราญ
ภายภาคหน้าคนผู้นี้ได้สืบราชบัลลังก์จริงๆ ก็คงเป็นฮ่องเต้ทรราช ต่อให้เขาเป็นพวกมัวเมานารีแล้วจะติดเนื้อพึงใจนางบำเรอของท่านอ๋องได้หรือ
เขาโกรธจนเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ มัวเมานารีอะไรกัน ทุกครั้งที่เขาส่องคันฉ่อง เห็นสตรีโฉมงามปานใดล้วนไม่บังเกิดความสนใจได้เลย
เพื่อจะได้ไม่ต้องได้ยินวาจาไร้สาระอันใดจากปากรุ่ยอ๋องอีก ฉือชั่นรีบกล่าวขึ้น “ข้ามาเพื่อยืมตัวหมอเทวดา”
รุ่ยอ๋องฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสี เขาพูดเสียงหลงขึ้นว่า “หมอเทวดา?”
“อื้อ” ฉือชั่นเพียงรู้สึกน่าขัน
ทั้งที่รู้กันไปทั้งเมืองหลวงแล้วว่าหมอเทวดาหลี่อยู่ที่วังรุ่ยอ๋อง เขายังจะแสร้งทำไขสืออะไรอีก
“ท่านอ๋องหักใจไม่ลงหรือ” เมื่อเห็นรุ่ยอ๋องไม่เอื้อนเอ่ยคำใด ฉือชั่นนึกถึงคำไหว้วานของสหายรักแล้วลองรุกฆาต
“มีที่ใดกัน” รุ่ยอ๋องยิ้มอย่างจืดเจื่อน “ไม่รู้ว่าญาติผู้น้องจะยืมตัวหมอเทวดา…เอ่อ…ไม่สิ จะเชิญท่านหมอไปนานเท่าไรหรือ”
ขืนให้หมอเทวดาหลี่รู้ว่าพวกเขาใช้คำว่า ‘ยืม’ ล่ะก็ จะเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
ฉือชั่นใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนตัดสินใจเผยความจริงบางส่วนต่อรุ่ยอ๋อง เขาลดสุ้มเสียงลงกล่าว “จริงๆ แล้วเป็นกวนจวินโหวอยากพบท่านหมอเทวดา”
รุ่ยอ๋องได้ยินว่าเป็นกวนจวินโหว สีหน้าท่าทางไม่เหมือนเดิมทันใด
เป็นกวนจวินโหวเองหรือนี่!
เขามองฉือชั่นอย่างพินิจปราดหนึ่งแล้วนึกอัศจรรย์ใจนักหนา
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าญาติผู้น้องคนนี้เป็นสหายรักวัยเยาว์ของกวนจวินโหวด้วย
นี่มิใช่หมายความว่าขอแค่ผูกไมตรีกับญาติผู้นี้ ก็เท่ากับดึงกวนจวินโหวมาอยู่ฝ่ายเขาได้ทางอ้อม ซ้ำยังไม่ทำให้เสด็จพ่อเกิดความระแวงรวมถึงเสียงครหาของพวกขุนนางใหญ่…
รุ่ยอ๋องคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วสีหน้าผ่อนคลายลงในพริบตา เขาพูดพลางยิ้มอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง “กวนจวินโหวออกศึกเพื่อบ้านเมืองและอาณาประชาราษฎร์มาหลายปี คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเป็นแน่ เขาอยากพบหมอเทวดา ข้าย่อมไม่ขัดข้องแน่นอน”
ว่าแล้วเขาก็สั่งให้คนไปเชิญหมอเทวดาหลี่
หมอเทวดาหลี่ซึ่งตั้งใจจะจากไปอยู่แล้วเก็บสัมภาระเสร็จเรียบร้อย พอได้ยินว่ารุ่ยอ๋องเชิญตัว เขาก็หิ้วห่อผ้าใบเล็กออกไปโดยไม่ลังเลใจ