หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 88
“ท่านย่า” เฉียวเจาเยื้องย่างเข้ามาด้วยกิริยาแช่มช้อย นางเรียกขานฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วยอบกายคารวะหมอเทวดาหลี่ “ท่านปู่หลี่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“แม่นางน้อย มานี่ มาให้ท่านปู่ดูหน่อยสิ” หมอเทวดาหลี่กวักมือเรียกนาง
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไปหาโดยไม่กระมิดกระเมี้ยน นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านปู่ดูสิ พักนี้ข้ากินจนอ้วนขึ้นไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
นางชำเลืองหางตาไปทางองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายหมอเทวดาแล้วชะงักกึก อดมองซ้ำอีกคราไม่ได้
เซ่าหมิงยวน?!
เหตุใดท่านปู่หลี่ถึงอยู่กับเซ่าหมิงยวน ตอนเดินทางขึ้นเหนือ นางจำได้แม่นว่าเวลาท่านปู่เอ่ยถึงเขาจะตำหนิอย่างไม่พอใจอยู่มาก
ทว่าเซ่าหมิงยวนเป็นถึงกวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ แต่งกายในสภาพนี้มาปรากฏตัวที่จวนสกุลหลีพร้อมกับท่านปู่หลี่…
เด็กสาวมีความคิดอ่านหลักแหลม นางนิ่งตรึกตรองครู่เดียวก็คาดเดาว่าต้องเป็นเซ่าหมิงยวนมีเรื่องขอร้องท่านปู่หลี่ แล้วท่านปู่หลี่ให้เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เพื่อกลั่นแกล้งเขาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ท่านปู่หลี่เป็นหมอเทวดาที่คนทั่วหล้ารู้จัก ผู้ที่มาขอร้องเขาไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากรักษาโรค หรือเซ่าหมิงยวนอยากขอให้ท่านปู่หลี่ตรวจอาการให้ใคร
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เฉียวเจามองชายหนุ่มอีกแวบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
บุรุษหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมีเรียวคิ้วเป็นระเบียบ นัยน์ตาสุกใส จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าขาวเกลี้ยงดุจหยกน้ำแข็ง พาให้สีของริมฝีปากบางซีดจางจนไร้สีสัน
ที่แท้เขาโดนพิษเย็นแทรกซึมเข้าร่างจนอาการสาหัสถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่
เขาเป็นแม่ทัพที่กรำศึกมานานหลายปีเช่นนี้ อีกทั้งอยู่ในแดนเหนืออันหนาวเหน็บ เมื่อพิษเย็นออกฤทธิ์กำเริบขึ้น เกรงว่าอาการบาดเจ็บทั้งเก่าและใหม่ที่เรื้อรังมานานคงทำให้เขาต้องเจ็บปวดทรมานแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
แต่เห็นสีหน้าแววตาสงบนิ่งของชายหนุ่มแล้ว เฉียวเจาคิดคำนึงว่า ช่างเข้มแข็งเสียจริงๆ
ด้านเซ่าหมิงยวนได้ยินว่าคุณหนูของจวนสกุลหลีกำลังจะมาที่นี่ก็รู้ว่าตนไม่พึงจับจ้องมองไป เขาหลุบตาลงต่ำอยู่ตลอด กระนั้นประสาทหูกับสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเฉียบไวกว่าคนทั่วไป มาตรว่าตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นเข้ามาจะพูดจาปราศรัยกับหมอเทวดาด้วยรอยยิ้มละไม แต่นางยังชายตามองมาทางเขาอย่างน้อยสามครั้งแล้ว
เซ่าหมิงยวนเหลือบตามองนางปราดหนึ่งอย่างว่องไวแล้วนิ่งขึงไป
เป็นเด็กสาวที่ขว้างต้นกระบองเพชรใส่ข้าผู้นั้นเองหรือนี่
อ้อ…แล้วหนก่อนที่เจอกัน นางยังยืนขวางหน้าข้ากลางถนนถามเรื่องการเก็บรักษาศพ
เซ่าหมิงยวนอดมองไปที่หมอเทวดาหลี่ไม่ได้
ยามนี้สายตาของชายชราซึ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาอ่อนละมุน แม้แต่สองคิ้วที่ย่นเข้าหากัน บนใบหน้ายังแฝงความเมตตาปรานีไว้หลายส่วน ท่าทางไม่เหมือนกับที่เขาเห็นโดยสิ้นเชิง จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่าเขารักใคร่เอ็นดูเด็กสาวผู้นี้เป็นอันมาก
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาซ้ำอีกคราอย่างห้ามไม่อยู่พลางรำพึงในใจ
ฉะนั้นนี่คงเป็นดังคำกล่าวที่ว่ากาเข้าฝูงกาหงส์เข้าฝูงหงส์สินะ ทั้งคู่ต่างเป็นคนที่มีพฤติกรรมผิดแผกจากคนทั่วไป
อากัปกิริยาระหว่างเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนตกอยู่ในสายตาของหลีเจี่ยวที่แอบอยู่หลังม่านประตู นางลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อะไรกัน กวนจวินโหวท่านนั้นถึงกับจดจำหลีซานได้ ก็เพราะว่านางทะเล่อทะล่าเข้าไปชวนเขาคุยต่อหน้าธารกำนัลน่ะหรือ
หลีซานช่างไร้ยางอายดีแท้ ก่อนหน้านี้ยังตามตื๊อญาติผู้น้องของนางอย่างไม่ลดละ ครั้นเห็นน้องเฟยหยางไม่เหลียวแลสักนิดก็หมายตาไปที่กวนจวินโหวอีกแล้วหรือ
กวนจวินโหวอยู่ในระดับใดกัน คนที่สูญสิ้นชื่อเสียงไปแล้วคนหนึ่งเช่นหลีซานก็กล้าฝันเฟื่อง ทว่าดูท่าทางกวนจวินโหวกลับจดจำหลีซานได้จริงๆ
หลีเจี่ยวยิ่งริษยาและเจ็บใจมากขึ้น นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจรดฝีเท้าย่องกลับไปที่ตั่งปัดหมอนอิงตกลงพื้น
เสียงดังในห้องดึงดูดความสนใจของคนในโถงเรือน
หมอเทวดาหลี่ตวัดสายตามองไปทางห้องด้านใน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแปลกใจพอดู นางเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรกัน”
ชั่วอึดใจต่อมา เสียงหยกพกกระทบกันดังขึ้นแผ่วเบา สาวน้อยในชุดกระโปรงผ้าพื้นสีเขียวใบไม้ลายนางฟ้าโปรยดอกไม้สีฟ้าน้ำทะเลผู้หนึ่งเลิกม่านประตูขึ้นเดินนวยนาดออกมา
ดวงตาของเด็กสาวฉ่ำปรือน้อยๆ ท่าทางละม้ายเพิ่งตื่นนอน พอเห็นคนในโถงเรือนก็ค่อยๆ หน้าแดงขึ้น นางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “หลานงีบหลับไปชั่วครู่ ไม่ทันระวังทำหมอนอิงตกพื้นเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางย่อกายคำนับหมอเทวดาหลี่ กล่าวด้วยสีหน้าขัดเขิน “คงทำให้แขกผู้ทรงเกียรติต้องหัวเราะเยาะแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นเช่นนี้แล้วจะตำหนิอีกก็ไม่เป็นการดี นางจึงพูดแนะนำกับหมอเทวดา “นี่คือหลานสาวคนโตของข้าเอง หลานเจี่ยว ท่านผู้นี้คือหมอเทวดาหลี่ ท่านปู่บุญธรรมของน้องเจาของเจ้า”
หลีเจี่ยวย่อกายคำนับหมอเทวดาอีกครา นางแย้มยิ้มพริ้มพราย “คารวะท่านปู่หลี่เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่มุ่นคิ้วทันใด เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เรียกข้าว่าหมอหลี่ก็พอ”
“อย่างนั้นจะเสียมารยาทเกินไปเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านเป็นท่านปู่บุญธรรมของน้องเจา ข้าสมควรเรียกขานท่านว่าท่านปู่เช่นกัน” หลีเจี่ยวพูดพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล
หมอเทวดาหลี่หยักยิ้ม “ข้อสำคัญคือข้าไม่คิดจะรับหลานสาวหลายคนน่ะสิ”
เขาไม่นำพาหลีเจี่ยวที่หน้าแดงก่ำในพริบตา หันไปตบศีรษะเฉียวเจาเบาๆ “มีแม่หนูหลีผู้เดียวก็พอแล้ว”
แต่คล้ายว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ จึงยิ้มตาหยีเอ่ยต่อขึ้น “ไม่ถูกสิ ในจวนมีคนที่เรียกว่าแม่หนูหลีได้ตั้งหลายคน วันหน้าเรียกเจ้าว่าแม่หนูเจาก็แล้วกัน”
เฉียวเจาดีใจมาก เทียบกับ ‘แม่หนูหลี’ แล้ว ‘แม่หนูเจา’ ทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเองมากกว่าแน่นอน
“ท่านจะเรียกข้าว่าเจาเจาก็ได้เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองกะทันหัน
เจาเจา?
สตรีที่ใช้ชื่อว่า ‘เจา’ มีอยู่ไม่มาก เขากลับไม่รู้ว่าชื่อของนางเป็นคำว่า ‘เจา’ ตัวใด…
เมื่อรับรู้ได้ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นชำเลืองหางตามา ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำทันที เขาคิดคำนึงอย่างกระดากใจพอสมควร ดูทีว่าเพราะเด็กสาวที่ชื่อว่าเจาเจาผู้นี้มักทำให้ผู้อื่นจดจำได้แม่นยำทุกครั้งที่พบกัน เป็นเหตุให้เขาจับตาดูนางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เช่นนี้หาได้เหมาะสมไม่ วันหน้าสมควรระวังจึงจะถูก
เซ่าหมิงยวนคิดได้อย่างนี้แล้วก็มิได้เหลือบตาขึ้นอีก ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างหมอเทวดาหลี่เฉกเดียวกับองครักษ์ทั่วไป
ฝ่ายเฉียวเจากลับใจกระตุกวูบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนได้ยินชื่อของนางแล้วมีท่าทีตอบสนอง
เขากับนางแต่งงานกันตามที่ผู้อาวุโสของสองตระกูลจัดการให้ ทั้งคู่ไม่เคยมีโอกาสพบหน้ากันมาก่อน
นางดูแลคนป่วยอยู่ทางทิศใต้ ส่วนเขาออกรบอยู่ทางทิศเหนือ
นางรีรอไม่ออกเรือนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของท่านปู่ ส่วนเขารีรอไม่ตบแต่งภรรยาเพื่อขับไล่ชาวต๋าจื่อ
จนกระทั่งผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายอดรนทนไม่ไหว ท่านปู่โมโหนางและจิ้งอันโหวไปทูลขอพระราชโองการถึงได้มีพิธีมงคลงานนั้น น่าขันที่หลังจบพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น เซ่าหมิงยวนยังไม่ทันได้เข้าห้องหอก็ต้องสวมชุดนักรบกลับไปแดนเหนือแล้ว
นางไม่คิดว่าเขาจะรู้ชื่อของนาง ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นไปมาเป็นร้อยตลบก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ต้องเป็นพี่ใหญ่บอกเขาแน่
เซ่าหมิงยวนเคยพบพี่ชายของนาง พวกเขาคุยอะไรกันบ้าง ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นอย่างไรกันแน่ แล้วเหตุเพลิงไหม้จวนสกุลเฉียวมีเงื่อนงำหรือไม่
เฉียวเจามีคำถามอยากถามคนตรงหน้ามากมายเหลือเกิน แต่เผอิญว่าฐานะและจังหวะเวลาล้วนไม่เหมาะไม่ควร
หมอเทวดาหลี่นิ่งขึงไปเช่นกัน นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “ใช่ ยังเรียกเจ้าว่าเจาเจาได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มกว้างจนตายิบหยี “ท่านหมอเทวดาจะเรียกเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น มีท่านปู่อย่างท่านเป็นวาสนาของหลานเจา”
หญิงชรามองหลีเจี่ยวแวบหนึ่งแล้วพูดแก้สถานการณ์ให้หลานสาวคนโต “ท่านโปรดอย่าได้ตำหนิโทษที่หลานข้าผู้นี้ละลาบละล้วง ท่านปู่ของนางจากไปนานแล้ว นับแต่พวกนางลืมตาดูโลกก็ไม่มีโอกาสเรียกคำว่า ‘ท่านปู่’ เลย”
“อ้อ” หมอเทวดาเปล่งเสียงตอบคำหนึ่งอย่างเฉยชายิ่ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นคนที่ใช้ลูกไม้นานาสารพัดเพื่อเข้ามาใกล้ชิดตนจนชาชิน หากมิใช่เห็นแก่หน้าหลานสาวบุญธรรม เขาจะพูดอย่างไม่เกรงใจยิ่งกว่านี้
เวลานี้ชิงอวิ๋นเดินเข้ามากระซิบบอกที่ข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเซียงจวินทางจวนตะวันออกมาที่นี่เจ้าค่ะ”
ท่านเซียงจวินมาที่นี่? ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคาดไม่ถึงอย่างมาก
ในกาลก่อนพี่สะใภ้ของนางผู้นี้ไม่เคยเหยียบย่างเข้าประตูจวนตะวันตก ถ้ามีเรื่องอะไรก็แค่ส่งสาวใช้คนหนึ่งมาบอกความ
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าจับไปที่ตัวหมอเทวดาหลี่ นางคาดเดาว่าเป็นเรื่องใดได้รางๆ แล้วจึงเอ่ยสั่งชิงอวิ๋นเสียงเบา “บอกว่าข้าพบแขกอยู่ไม่ใคร่สะดวก เชิญท่านเซียงจวินไปรอที่โถงรับรองก่อน”บทที่ 88
“ท่านย่า” เฉียวเจาเยื้องย่างเข้ามาด้วยกิริยาแช่มช้อย นางเรียกขานฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแล้วยอบกายคารวะหมอเทวดาหลี่ “ท่านปู่หลี่ ท่านมาแล้วหรือเจ้าคะ”
“แม่นางน้อย มานี่ มาให้ท่านปู่ดูหน่อยสิ” หมอเทวดาหลี่กวักมือเรียกนาง
เฉียวเจาสาวเท้าเข้าไปหาโดยไม่กระมิดกระเมี้ยน นางกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านปู่ดูสิ พักนี้ข้ากินจนอ้วนขึ้นไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
นางชำเลืองหางตาไปทางองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างกายหมอเทวดาแล้วชะงักกึก อดมองซ้ำอีกคราไม่ได้
เซ่าหมิงยวน?!
เหตุใดท่านปู่หลี่ถึงอยู่กับเซ่าหมิงยวน ตอนเดินทางขึ้นเหนือ นางจำได้แม่นว่าเวลาท่านปู่เอ่ยถึงเขาจะตำหนิอย่างไม่พอใจอยู่มาก
ทว่าเซ่าหมิงยวนเป็นถึงกวนจวินโหวผู้ทรงเกียรติ แต่งกายในสภาพนี้มาปรากฏตัวที่จวนสกุลหลีพร้อมกับท่านปู่หลี่…
เด็กสาวมีความคิดอ่านหลักแหลม นางนิ่งตรึกตรองครู่เดียวก็คาดเดาว่าต้องเป็นเซ่าหมิงยวนมีเรื่องขอร้องท่านปู่หลี่ แล้วท่านปู่หลี่ให้เขาปลอมตัวเป็นองครักษ์เพื่อกลั่นแกล้งเขาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
ท่านปู่หลี่เป็นหมอเทวดาที่คนทั่วหล้ารู้จัก ผู้ที่มาขอร้องเขาไม่มีเรื่องอื่นใดนอกจากรักษาโรค หรือเซ่าหมิงยวนอยากขอให้ท่านปู่หลี่ตรวจอาการให้ใคร
เมื่อคิดไปเช่นนี้ เฉียวเจามองชายหนุ่มอีกแวบหนึ่งอย่างอดใจไม่อยู่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
บุรุษหนุ่มที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมีเรียวคิ้วเป็นระเบียบ นัยน์ตาสุกใส จมูกโด่งเป็นสัน ใบหน้าขาวเกลี้ยงดุจหยกน้ำแข็ง พาให้สีของริมฝีปากบางซีดจางจนไร้สีสัน
ที่แท้เขาโดนพิษเย็นแทรกซึมเข้าร่างจนอาการสาหัสถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่
เขาเป็นแม่ทัพที่กรำศึกมานานหลายปีเช่นนี้ อีกทั้งอยู่ในแดนเหนืออันหนาวเหน็บ เมื่อพิษเย็นออกฤทธิ์กำเริบขึ้น เกรงว่าอาการบาดเจ็บทั้งเก่าและใหม่ที่เรื้อรังมานานคงทำให้เขาต้องเจ็บปวดทรมานแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
แต่เห็นสีหน้าแววตาสงบนิ่งของชายหนุ่มแล้ว เฉียวเจาคิดคำนึงว่า ช่างเข้มแข็งเสียจริงๆ
ด้านเซ่าหมิงยวนได้ยินว่าคุณหนูของจวนสกุลหลีกำลังจะมาที่นี่ก็รู้ว่าตนไม่พึงจับจ้องมองไป เขาหลุบตาลงต่ำอยู่ตลอด กระนั้นประสาทหูกับสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ล้วนเฉียบไวกว่าคนทั่วไป มาตรว่าตั้งแต่เด็กสาวคนนั้นเข้ามาจะพูดจาปราศรัยกับหมอเทวดาด้วยรอยยิ้มละไม แต่นางยังชายตามองมาทางเขาอย่างน้อยสามครั้งแล้ว
เซ่าหมิงยวนเหลือบตามองนางปราดหนึ่งอย่างว่องไวแล้วนิ่งขึงไป
เป็นเด็กสาวที่ขว้างต้นกระบองเพชรใส่ข้าผู้นั้นเองหรือนี่
อ้อ…แล้วหนก่อนที่เจอกัน นางยังยืนขวางหน้าข้ากลางถนนถามเรื่องการเก็บรักษาศพ
เซ่าหมิงยวนอดมองไปที่หมอเทวดาหลี่ไม่ได้
ยามนี้สายตาของชายชราซึ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลาอ่อนละมุน แม้แต่สองคิ้วที่ย่นเข้าหากัน บนใบหน้ายังแฝงความเมตตาปรานีไว้หลายส่วน ท่าทางไม่เหมือนกับที่เขาเห็นโดยสิ้นเชิง จากจุดนี้ก็รู้ได้ว่าเขารักใคร่เอ็นดูเด็กสาวผู้นี้เป็นอันมาก
เซ่าหมิงยวนมองเฉียวเจาซ้ำอีกคราอย่างห้ามไม่อยู่พลางรำพึงในใจ
ฉะนั้นนี่คงเป็นดังคำกล่าวที่ว่ากาเข้าฝูงกาหงส์เข้าฝูงหงส์สินะ ทั้งคู่ต่างเป็นคนที่มีพฤติกรรมผิดแผกจากคนทั่วไป
อากัปกิริยาระหว่างเฉียวเจากับเซ่าหมิงยวนตกอยู่ในสายตาของหลีเจี่ยวที่แอบอยู่หลังม่านประตู นางลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
อะไรกัน กวนจวินโหวท่านนั้นถึงกับจดจำหลีซานได้ ก็เพราะว่านางทะเล่อทะล่าเข้าไปชวนเขาคุยต่อหน้าธารกำนัลน่ะหรือ
หลีซานช่างไร้ยางอายดีแท้ ก่อนหน้านี้ยังตามตื๊อญาติผู้น้องของนางอย่างไม่ลดละ ครั้นเห็นน้องเฟยหยางไม่เหลียวแลสักนิดก็หมายตาไปที่กวนจวินโหวอีกแล้วหรือ
กวนจวินโหวอยู่ในระดับใดกัน คนที่สูญสิ้นชื่อเสียงไปแล้วคนหนึ่งเช่นหลีซานก็กล้าฝันเฟื่อง ทว่าดูท่าทางกวนจวินโหวกลับจดจำหลีซานได้จริงๆ
หลีเจี่ยวยิ่งริษยาและเจ็บใจมากขึ้น นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วจรดฝีเท้าย่องกลับไปที่ตั่งปัดหมอนอิงตกลงพื้น
เสียงดังในห้องดึงดูดความสนใจของคนในโถงเรือน
หมอเทวดาหลี่ตวัดสายตามองไปทางห้องด้านใน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแปลกใจพอดู นางเอ่ยถามขึ้น “มีอะไรกัน”
ชั่วอึดใจต่อมา เสียงหยกพกกระทบกันดังขึ้นแผ่วเบา สาวน้อยในชุดกระโปรงผ้าพื้นสีเขียวใบไม้ลายนางฟ้าโปรยดอกไม้สีฟ้าน้ำทะเลผู้หนึ่งเลิกม่านประตูขึ้นเดินนวยนาดออกมา
ดวงตาของเด็กสาวฉ่ำปรือน้อยๆ ท่าทางละม้ายเพิ่งตื่นนอน พอเห็นคนในโถงเรือนก็ค่อยๆ หน้าแดงขึ้น นางเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “หลานงีบหลับไปชั่วครู่ ไม่ทันระวังทำหมอนอิงตกพื้นเจ้าค่ะ”
นางพูดพลางย่อกายคำนับหมอเทวดาหลี่ กล่าวด้วยสีหน้าขัดเขิน “คงทำให้แขกผู้ทรงเกียรติต้องหัวเราะเยาะแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเห็นเช่นนี้แล้วจะตำหนิอีกก็ไม่เป็นการดี นางจึงพูดแนะนำกับหมอเทวดา “นี่คือหลานสาวคนโตของข้าเอง หลานเจี่ยว ท่านผู้นี้คือหมอเทวดาหลี่ ท่านปู่บุญธรรมของน้องเจาของเจ้า”
หลีเจี่ยวย่อกายคำนับหมอเทวดาอีกครา นางแย้มยิ้มพริ้มพราย “คารวะท่านปู่หลี่เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่มุ่นคิ้วทันใด เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เรียกข้าว่าหมอหลี่ก็พอ”
“อย่างนั้นจะเสียมารยาทเกินไปเจ้าค่ะ ในเมื่อท่านเป็นท่านปู่บุญธรรมของน้องเจา ข้าสมควรเรียกขานท่านว่าท่านปู่เช่นกัน” หลีเจี่ยวพูดพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวล
หมอเทวดาหลี่หยักยิ้ม “ข้อสำคัญคือข้าไม่คิดจะรับหลานสาวหลายคนน่ะสิ”
เขาไม่นำพาหลีเจี่ยวที่หน้าแดงก่ำในพริบตา หันไปตบศีรษะเฉียวเจาเบาๆ “มีแม่หนูหลีผู้เดียวก็พอแล้ว”
แต่คล้ายว่าเขานึกอะไรขึ้นได้ จึงยิ้มตาหยีเอ่ยต่อขึ้น “ไม่ถูกสิ ในจวนมีคนที่เรียกว่าแม่หนูหลีได้ตั้งหลายคน วันหน้าเรียกเจ้าว่าแม่หนูเจาก็แล้วกัน”
เฉียวเจาดีใจมาก เทียบกับ ‘แม่หนูหลี’ แล้ว ‘แม่หนูเจา’ ทำให้นางรู้สึกใกล้ชิดเป็นกันเองมากกว่าแน่นอน
“ท่านจะเรียกข้าว่าเจาเจาก็ได้เจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองกะทันหัน
เจาเจา?
สตรีที่ใช้ชื่อว่า ‘เจา’ มีอยู่ไม่มาก เขากลับไม่รู้ว่าชื่อของนางเป็นคำว่า ‘เจา’ ตัวใด…
เมื่อรับรู้ได้ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นชำเลืองหางตามา ชายหนุ่มหลุบตาลงต่ำทันที เขาคิดคำนึงอย่างกระดากใจพอสมควร ดูทีว่าเพราะเด็กสาวที่ชื่อว่าเจาเจาผู้นี้มักทำให้ผู้อื่นจดจำได้แม่นยำทุกครั้งที่พบกัน เป็นเหตุให้เขาจับตาดูนางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เช่นนี้หาได้เหมาะสมไม่ วันหน้าสมควรระวังจึงจะถูก
เซ่าหมิงยวนคิดได้อย่างนี้แล้วก็มิได้เหลือบตาขึ้นอีก ยืนสงบเสงี่ยมอยู่ด้านข้างหมอเทวดาหลี่เฉกเดียวกับองครักษ์ทั่วไป
ฝ่ายเฉียวเจากลับใจกระตุกวูบหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนได้ยินชื่อของนางแล้วมีท่าทีตอบสนอง
เขากับนางแต่งงานกันตามที่ผู้อาวุโสของสองตระกูลจัดการให้ ทั้งคู่ไม่เคยมีโอกาสพบหน้ากันมาก่อน
นางดูแลคนป่วยอยู่ทางทิศใต้ ส่วนเขาออกรบอยู่ทางทิศเหนือ
นางรีรอไม่ออกเรือนเพื่อฟื้นฟูสุขภาพของท่านปู่ ส่วนเขารีรอไม่ตบแต่งภรรยาเพื่อขับไล่ชาวต๋าจื่อ
จนกระทั่งผู้อาวุโสทั้งสองฝ่ายอดรนทนไม่ไหว ท่านปู่โมโหนางและจิ้งอันโหวไปทูลขอพระราชโองการถึงได้มีพิธีมงคลงานนั้น น่าขันที่หลังจบพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเท่านั้น เซ่าหมิงยวนยังไม่ทันได้เข้าห้องหอก็ต้องสวมชุดนักรบกลับไปแดนเหนือแล้ว
นางไม่คิดว่าเขาจะรู้ชื่อของนาง ความคิดในหัวเฉียวเจาแล่นไปมาเป็นร้อยตลบก่อนจะได้ข้อสรุปว่า ต้องเป็นพี่ใหญ่บอกเขาแน่
เซ่าหมิงยวนเคยพบพี่ชายของนาง พวกเขาคุยอะไรกันบ้าง ตอนนี้พี่ใหญ่เป็นอย่างไรกันแน่ แล้วเหตุเพลิงไหม้จวนสกุลเฉียวมีเงื่อนงำหรือไม่
เฉียวเจามีคำถามอยากถามคนตรงหน้ามากมายเหลือเกิน แต่เผอิญว่าฐานะและจังหวะเวลาล้วนไม่เหมาะไม่ควร
หมอเทวดาหลี่นิ่งขึงไปเช่นกัน นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “ใช่ ยังเรียกเจ้าว่าเจาเจาได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยิ้มกว้างจนตายิบหยี “ท่านหมอเทวดาจะเรียกเช่นไรก็ได้ทั้งนั้น มีท่านปู่อย่างท่านเป็นวาสนาของหลานเจา”
หญิงชรามองหลีเจี่ยวแวบหนึ่งแล้วพูดแก้สถานการณ์ให้หลานสาวคนโต “ท่านโปรดอย่าได้ตำหนิโทษที่หลานข้าผู้นี้ละลาบละล้วง ท่านปู่ของนางจากไปนานแล้ว นับแต่พวกนางลืมตาดูโลกก็ไม่มีโอกาสเรียกคำว่า ‘ท่านปู่’ เลย”
“อ้อ” หมอเทวดาเปล่งเสียงตอบคำหนึ่งอย่างเฉยชายิ่ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเห็นคนที่ใช้ลูกไม้นานาสารพัดเพื่อเข้ามาใกล้ชิดตนจนชาชิน หากมิใช่เห็นแก่หน้าหลานสาวบุญธรรม เขาจะพูดอย่างไม่เกรงใจยิ่งกว่านี้
เวลานี้ชิงอวิ๋นเดินเข้ามากระซิบบอกที่ข้างหูฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเซียงจวินทางจวนตะวันออกมาที่นี่เจ้าค่ะ”
ท่านเซียงจวินมาที่นี่? ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคาดไม่ถึงอย่างมาก
ในกาลก่อนพี่สะใภ้ของนางผู้นี้ไม่เคยเหยียบย่างเข้าประตูจวนตะวันตก ถ้ามีเรื่องอะไรก็แค่ส่งสาวใช้คนหนึ่งมาบอกความ
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่าจับไปที่ตัวหมอเทวดาหลี่ นางคาดเดาว่าเป็นเรื่องใดได้รางๆ แล้วจึงเอ่ยสั่งชิงอวิ๋นเสียงเบา “บอกว่าข้าพบแขกอยู่ไม่ใคร่สะดวก เชิญท่านเซียงจวินไปรอที่โถงรับรองก่อน”