หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 9
บทที่ 9
เจ้าวาดเป็น? ฉือชั่นจ้องหน้าเฉียวเจา รูปตาของเขาเรียวยาวชี้ขึ้นน้อยๆ ต่อให้มีแววเย้ยหยันฉายอยู่ในนั้นจางๆ ก็ยากจะกลบรัศมีความงามของมันได้
แล้วอย่างไรต่อ หรือเจ้าจะวาดให้ข้าภาพหนึ่งให้ข้าเอากลับไปรายงานตัว?
หยางโฮ่วเฉิงยืนอยู่ข้างหลังเฉียวเจา เขาไอเสียงเบาๆ เสียงหนึ่งเป็นเชิงเตือนแม่นางน้อยว่าอย่าพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า
ขืนยั่วโทสะของเจ้าคนผู้นี้จริงๆ ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย เด็กน้อยหรือคนชรา ก็โดนเขาไล่ลงจากเรือเหมือนกันหมดโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น ถึงเวลานั้นแม่นางน้อยจะไม่น่าสงสารหรือไร
จูเยี่ยนกล่าวเตือนเสียงนุ่ม คนที่เคยเรียนวาดภาพล้วนวาดรูปเป็ดได้ ทว่า ‘วาดได้’ กับ ‘วาดเป็น’ ต่างกันนะ…
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม พี่จู ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ ว่าแล้วก็มองไปทางฉือชั่นอีกครา
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งหากเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ข้าวาดภาพเป็ดเล่นน้ำให้พี่ฉือภาพหนึ่ง ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณที่พี่ฉือยื่นมือช่วยเอาไว้
ฉือชั่นกำลังหงุดหงิดใจอยู่แต่เดิม ในสายตาเขาตอนนี้ ความจริงใจของเฉียวเจาจึงกลายเป็นยโสโอหังไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
เขามองนางตาเขม็ง ทั้งที่โกรธกลับยิ้ม ทว่าน้ำเสียงเย็นกระด้าง อย่างนั้นก็ได้ เจ้าวาดสิ
ชายหนุ่มหยุดเว้นจังหวะก่อนพูดต่ออีกคำหนึ่ง หากทำให้ข้ากลับไปรายงานตัวไม่ได้ พอเรือเทียบฝั่งกลางทางเจ้าก็ขึ้นฝั่งไปเสีย
สือซี… จูเยี่ยนตบไหล่เขาเบาๆ เช่นนี้จะไม่… ไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากไปแล้ว
สุดท้ายจูเยี่ยนมิได้กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา
พวกเขาสามคนเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาย่อมแจ่มแจ้งถึงนิสัยใจคอของสหายรักดี
เรื่องขององค์หญิงใหญ่กับท่านราชบุตรเขยทำให้จิตใจของฉือชั่นเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย แต่ตอนนั้นยังไม่หนักข้อถึงเพียงนี้ ฉือชั่นยิ่งเจริญวัย ยิ่งรูปงามเด่นเหนือใคร ความวุ่นวายก็ตามมามากขึ้นทุกที
เขายังจดจำได้แม่นยำว่ามีครั้งหนึ่งฉือชั่นใจดีช่วยสตรีที่โดนอันธพาลลวนลามนางหนึ่ง สตรีผู้นั้นเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็จะตามฉือชั่นกลับวัง ฉือชั่นย่อมปฏิเสธเป็นธรรมดา คิดไม่ถึงว่าวันต่อมานางจะผูกคอตายใต้ต้นไม้นอกประตูวังองค์หญิงใหญ่ ทั้งยังทิ้งคำพูดไว้ว่า ‘ยามอยู่ขอเป็นคนของฉือชั่น ยามตายขอเป็นผีของฉือชั่น’
อันว่าเรื่องดีไม่ออกนอกเรือน เรื่องร้ายสะพัดไกลพันลี้ ชั่วพริบตาเดียวเรื่องนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทุกตรอกซอกซอยในเมืองหลวง จนภายหลังใครยังจะจดจำได้ว่าฉือชั่นช่วยคนไว้ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเขาต้องเป็นฝ่ายเกี้ยวพาราสี แต่ตอนท้ายไม่รับผิดชอบถึงเป็นตัวการทำให้สตรีผู้นั้นคิดสั้น
ปีนั้นฉือชั่นเพิ่งย่างสิบสาม แต่อานุภาพลมปากคนน่ากลัวนัก ประหนึ่งภูเขาลูกใหญ่กดทับเด็กหนุ่มไว้จนหายใจไม่ออก แล้วมารดาของเขาองค์หญิงใหญ่ฉางหรงก็คว้าแส้ประเคนใส่บุตรชายฝากรอยแผลไว้ทั่วร่าง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉือชั่นกลายเป็นคนขวางโลกมากขึ้นทุกวัน
กล่าวตามสัตย์จริง วันนั้นตอนหลีซานขอความช่วยเหลือจากสหายรักกลับไม่ถูกปฏิเสธ เขายังรู้สึกประหลาดใจอยู่เลย
จูเยี่ยนถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
ช่างเถิด ถ้าคุณหนูหลีถูกขับไล่ลงจากเรือ อย่างมากเขาก็คอยช่วยเหลือดูแลลับๆ จะปล่อยให้เด็กสาวหมดหนทางกลับเรือนจริงๆ ก็คงไม่ได้
พวกเจ้าอย่าเข้ามายุ่ง นี่เป็นนางรนหาที่เอง ฉือชั่นพูดอย่างเย็นชา
พวกสตรีล้วนเป็นเยี่ยงนี้ ตั้งแต่สามขวบจนอายุแปดสิบ ละโมบ ฟุ้งเฟ้อ ยโสโอหัง ไม่รู้จักตนเองดี…
ในหัวของฉือชั่นสรรหาคำติติงได้นับสิบ ช่ำชองเชี่ยวชาญสุดจะเปรียบ
เฉียวเจากะพริบตาปริบๆ คนผู้นี้ไม่เหมือนกับภาพในความทรงจำนางสักเท่าไร ยามนั้นเขาแค่หน้าด้านหน้าทนแท้ๆ ดูไม่ออกว่าจะใจแคบใจดำเช่นนี้
ที่แท้พี่ฉือช่วยคนไม่หวังผลตอบแทนนั่นเอง เฉียวเจากล่าวถ้อยคำหนึ่ง
ฉือชั่นหรี่ตาลงอย่างไม่ใคร่เข้าใจความหมายของนางนักในชั่วประเดี๋ยว
จูเยี่ยนเป็นผู้ชมกลับอ่านหมากได้ปรุโปร่ง เขาหยุดคิดเล็กน้อยก็กระจ่างแจ้งแล้วหัวร่อเบาๆ อย่างสุดระงับ
หยางโฮ่วเฉิงกระตุกมือจูเยี่ยนทีหนึ่งพลางกระซิบถาม พูดเป็นปริศนาอะไรกันรึ
จูเยี่ยนส่ายหน้าไม่เอื้อนเอ่ย
ฉือชั่นมองคนทั้งคู่แวบหนึ่ง ค่อยพิศดูสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ของเฉียวเจาอีกทีก็แจ่มแจ้งในบัดดล
แม่นางน้อยจะบอกว่าตอนแรกเขารับปากพานางกลับเมืองหลวง พอนางจะวาดภาพให้เขาเพราะต้องการทดแทนคุณกลับต้องเสี่ยงโดนไล่ลงจากเรือ เห็นได้ว่าเขามิได้หวังให้นางตอบแทน
แท้จริงแล้วนี่เป็นการประชดประชันเขาว่าเป็นคนใจดำนั่นเอง
ฉือชั่นอดถลึงตาใส่แม่นางน้อยอย่างดุดันไม่ได้
แม่นางน้อยอายุเพียงสิบสองปีจริงหรือ ตอนนี้ก็มีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายมากถึงเพียงนี้ พูดคำหนึ่งยังทำให้ผู้อื่นต้องขบคิดนานสองนาน วันหน้าจะร้ายกาจเพียงใด!
นัยน์ตาทั้งคู่ที่ตาดำและตาขาวตัดกันชัดของเฉียวเจาจับจ้องอยู่ที่ฉือชั่น นางรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับตนเสียเลย ก็แค่พูดตามความจริงเท่านั้น เหตุใดจึงโดนมองตาขวางอีกแล้ว
ฉือชั่นเบนสายตาออกแล้วเอ่ยเสียงเย็น นึกเสียใจภายหลังตอนนี้ก็สายเสียแล้ว นี่ปู่รอเจ้าวาดภาพอยู่นะ
ยามนี้เฉียวเจาทนฟังคำว่า ‘ปู่’ ไม่ได้เป็นพิเศษ นางสะกดความไม่พอใจไว้ กล่าวขึ้น ท่านปู่ข้าล่วงลับไปนานแล้ว
ฉือชั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดือดดาลเป็นการใหญ่ ยกมือชี้หน้าเฉียวเจา เจ้า…เจ้า…
หลังพูด ‘เจ้า’ ซ้ำๆ อยู่เป็นนาน เขาเห็นขอบตานางแดงเรื่อ ถึงกับเค้นคำพูดไม่ออกสักคำ
จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงฟังออกว่าเฉียวเจาเจตนาเหน็บแนมฉือชั่น เผอิญว่านางเหน็บแนมได้อย่างมีชั้นเชิง ยั่วให้คนโกรธแต่ระบายออกไม่ได้ พาให้ทั้งคู่หัวร่อเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่
ฉือชั่นได้ยินแล้วโมโหมากยิ่งขึ้น
แต่ไรมาเฉียวเจามิใช่คนหน้าบาง บัดนี้อยู่ในร่างเด็กสาวอ่อนต่อโลกก็ยิ่งไม่เอาใจใส่ นางไต่ถามอย่างเยือกเย็น บนเรือมีหมึกพู่กันกับสีหรือไม่เจ้าคะ
มีหมด ข้าพาเจ้าไปเอง จูเยี่ยนหวั่นเกรงว่าบรรยากาศจะตึงเครียดเกินไป จึงขันอาสานำทางเฉียวเจาไปที่ห้องพักใต้ห้องในตัวเรือ
เดิมทีเรือลำนี้สามารถบรรทุกคนได้สิบกว่าคน แต่สามคนนี้เป็นพวกเจ้าบุญทุ่ม ควักเงินเหมาทั้งลำและใช้ห้องพักว่างห้องหนึ่งทำเป็นห้องหนังสือ
เฉียวเจาเดินตามจูเยี่ยนเข้าไปแล้วมองไปรอบๆ มาตรว่าภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย แต่สิ่งที่พึงมีดังเช่นโต๊ะหนังสือหรือตั่งนั่งเตี้ยล้วนไม่ตกหล่นสักชิ้น
พู่กัน กระดาษ แท่งหมึก จานฝนหมึกพวกนี้ เจ้าใช้ได้ตามใจชอบเลยนะ จูเยี่ยนพานางเข้าไปข้างในพลางพูด แต่อย่ารื้อค้นตำราพวกนี้ส่งเดช ไม่เช่นนั้นจะทำให้สือซีโกรธอีก
ขอบคุณพี่จูมาก ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เฉียวเจายอบกายคำนับเขาเป็นการแสดงความขอบคุณ
อย่างนั้นข้าออกไปก่อนนะ
ตามธรรมดาคนวาดภาพไม่ชอบให้มีคนอยู่รบกวนด้านข้าง อีกประการหนึ่งจะอย่างไรชายหญิงก็ต่างกัน อยู่ในห้องตามลำพังสองต่อสองไม่ใคร่เหมาะสม
เฉียวเจาผงกศีรษะเล็กน้อย เชิญพี่จูตามสบายเจ้าค่ะ
จูเยี่ยนเห็นเด็กสาวนั่งตัวตรงหน้าโต๊ะหนังสือ เอากระดาษเซวียนจื่อ* คลี่วางบนนั้น ยกมือขาวผ่องขึ้นแล้วเริ่มต้นฝนหมึกอย่างนุ่มนวล เขาชะงักฝีเท้ากล่าวเสียงเบา ไม่ต้องกังวลใจนะ สือซีเป็นคนปากร้ายใจดี
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นสบตากับจูเยี่ยนอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง แต่แล้วก็ยกยิ้มมุมปาก ขอบคุณพี่จูมาก ข้าไม่กังวลใจเจ้าค่ะ
ฉือชั่นปากร้ายใจดีเป็นคำเท็จ ส่วนพี่จูท่านนี้ใจดีมากกลับเป็นความจริง
นางไม่มีอะไรต้องกังวลใจ รอเมื่อชดใช้หนี้บุญคุณที่ติดค้างพวกเขา วันหน้านางน่าจะไม่ได้ข้องแวะใดๆ กับสามคนนี้แล้ว
น้ำเสียงของเด็กสาวสงบนิ่ง สีหน้าก็เยือกเย็นเหลือเกิน บันดาลให้จูเยี่ยนเก้อกระดากอยู่สักหน่อย เขาพยักหน้ากับนางแล้วก้าวขาเดินออกไป
ฉือชั่นได้ยินเสียงฝีเท้าแล้วหันหน้ามา พูดด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ไฉนออกมาแล้ว
จูเยี่ยนเดินมาถึงข้างกาย เงื้อมือทุบเขาทีหนึ่งเบาๆ พูดอะไรของเจ้า
ฉือชั่นหลุบตาหยักยิ้มแล้วแลมองไปทางท้องน้ำ
ทิวทัศน์ของวสันตฤดูงดงามเหลือหลาย ต้นหลิวสองฝั่งน้ำสะบัดกิ่งพลิ้วไหวสะท้อนเงาอยู่เหนือผิวน้ำ ละม้ายสาวน้อยอยู่หน้าคันฉ่องประทินโฉมเผยความงามอ่อนหวานละมุนละไมออกมาอย่างเต็มที่ เพียงแต่ริ้วคลื่นกระเพื่อมไหวยามเรือเคลื่อนผ่านทำลายความสงบงดงามนี้ลง
ไม่มีอะไร แค่กลัวเจ้าจะสร้างปัญหาโดยใช่เหตุเท่านั้นเอง บุรุษผู้มีรูปโฉมเจิดจรัสกว่าฤดูใบไม้ผลิกล่าวอย่างเนิบนาบ
จูเยี่ยนอึ้งงันไปแล้วก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ สือซี เจ้าคิดมากไปแล้ว
ภาพเด็กสาวในท่วงท่านั่งหลังเหยียดตรงยิ่งกว่าต้นไป๋หยาง* ผู้นั้นผ่านวาบเข้ามาในห้วงความคิด รอยยิ้มของเขายิ่งกว้างขึ้น
เกรงว่าแม่นางน้อยผู้นั้นอยากให้ทั้งสองฝ่ายไม่ติดค้างกันและกันใจจะขาดมากกว่านะ
เรือแล่นไปเอื่อยๆ ดวงอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตกทีละน้อย
สายตาของหยางโฮ่วเฉิงมองไปทางห้องในตัวเรือบ่อยๆ
แม่นางน้อยอยู่ในนั้นครึ่งค่อนวันแล้ว กระทั่งอาหารกลางวันก็มิได้ออกมากิน คงจะมิใช่วาดไม่ได้แล้วกลัวถูกสือซีไล่ลงจากเรือ เลยไม่กล้าออกออกมากระมัง
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนสบตากัน
ดูเหมือนเป็นไปได้มากเลยทีเดียว!
ข้าจะไปดูสักหน่อย จูเยี่ยนพูดเบาๆ
ฉือชั่นห้ามเขาไว้ เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มเยาะ ข้าไปเอง ดูสิว่านางจะหลบไปถึงเมื่อไร
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังลอยมา ทั้งสามหันไปตามเสียง เห็นเฉียวเจาเดินมาหา
ฉือชั่นเลื่อนสายตาลงเห็นสองมือนางว่างเปล่า เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ภาพวาดเล่า ถูกเจ้ากินไปแล้วรึ
* กระดาษเซวียนจื่อ เป็นกระดาษคุณภาพสูง เนื้อกระดาษนิ่มเหนียวไม่ขาดง่าย ดูดซึมหมึกสม่ำเสมอ
* ต้นไป๋หยาง เป็นไม้ยืนต้น ลำต้นตรงสูง ใบค่อนข้างใหญ่ ทนต่อความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง