หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 93
ตามธรรมเนียมแบบแผน หัวหน้าสำนักราชบัณฑิตที่สืบทอดกันมาทุกยุคของราชวงศ์ต้าเหลียงจะให้เสนาบดีกรมพิธีการรั้งตำแหน่งนี้ควบคู่กัน เป็นการให้เสนาบดีกรมพิธีการได้สั่งสมรากฐานในราชสำนักเพื่อไต่เต้าเข้าสู่คณะขุนนางผู้บริหารแผ่นดิน
หลีกวงเหวินเห็นบุตรสาวไม่พูดไม่จากลับมีท่าทางไม่ใคร่ใส่ใจนัก เขาโบกมือไปมาพลางกล่าวว่า “ถ้าเจาเจาไม่อยากตอบรับ ท่านพ่อบอกปัดไปก็ได้ ไม่มีอะไรน่าลำบากใจ ด้วยคุณสมบัติและประสบการณ์ของข้า ออกจากสำนักราชบัณฑิตไปเป็นเสมียนในกรมทั้งหกยังคงไม่เป็นปัญหา”
นี่คือคำขู่อย่างชัดเจน เฉียวเจาผู้เยือกเย็นเป็นนิจเอ่ยถามด้วยสีหน้าง้ำงอ “ท่านพ่อนัดหมายแลกเปลี่ยนความรู้กับท่านหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตที่ใดเจ้าคะ”
หลีกวงเหวินตอบอย่างกระดากใจน้อยๆ “ในเวลางานราชการจะออกไปเดินหมากกันคงจะไม่ค่อยดี ดังนั้นสถานที่นัดหมายอยู่ไม่ไกลนัก เป็นร้านน้ำชาอู่เว่ยที่อยู่ด้านนอกสำนักราชบัณฑิตนี่เอง”
เขากลัวเฉียวเจาจะเป็นห่วงจึงพูดอธิบายต่อ “ปกติคนที่ไปร้านน้ำชาอู่เว่ยล้วนเป็นปัญญาชน ไม่มีพวกเกะกะเกเรที่ใด พรุ่งนี้ท่านพ่อไม่ไปที่ว่าการแล้ว รอถึงเวลาก็ไปที่นั่นเป็นเพื่อนเจ้าเลย”
เฉียวเจาได้ยินแล้วรีบปฏิเสธ “ท่านพ่อไปที่ว่าการตามเวลาเถอะเจ้าค่ะ พอดีสองวันนี้สำนักศึกษาหญิงหยุดพัก พรุ่งนี้ข้าบอกกับท่านแม่ว่าจะไปซื้อผงชาดแป้งผัดหน้าเอง”
ถ้าท่านพ่อหนีงานไปข้างนอกเป็นเพื่อนนาง คะเนว่าเรื่องนี้ต้องรู้ไปถึงจวนตะวันออกแน่
หลีกวงเหวินฟังแล้วไม่วางใจ
บุตรสาวโฉมงามน่ารักเช่นนี้ไม่มีใครไปเป็นเพื่อน ถูกคนล่อลวงไปอีกจะทำฉันใด
ภายในใจเขาขัดแย้งกันอยู่นานถึงกล่าวขึ้นอย่างอะลุ้มอล่วย “เช่นนั้นให้ท่านแม่ออกไปเป็นเพื่อนเจ้าเถอะ ถึงตอนนั้นนางไปซื้อผงชาดแป้งผัดหน้า ส่วนเจ้ามาหาท่านพ่อ”
เฉียวเจาใคร่ครวญว่าทำอย่างนี้เหมาะสมที่สุดจึงพยักหน้าตกลง
ที่ว่าการกององครักษ์จินหลิน
เจียงหย่วนเฉาได้ยินเสียงขออนุญาตจากนอกประตู เขาวางม้วนตำราในมือลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เข้ามา”
เจียงเฮ่อเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นเต้น
เจียงหย่วนเฉาชำเลืองดูเขาแวบหนึ่ง “มีเรื่องใด”
เจียงเฮ่อสาวเท้าก้าวใหญ่เดินมาเบื้องหน้าเขา ปั้นหน้าเคร่งกล่าวขึ้น “ใต้เท้า ข้าพบว่ากวนจวินโหวมีความเคลื่อนไหวแปลกชอบกลอย่างมากขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาเหลือบตาขึ้น “ก็บอกเจ้าว่าไม่ต้องติดตามดูกวนจวินโหวแล้วมิใช่รึ”
“ข้าไม่ได้ติดตามดูกวนจวินโหวแล้ว แต่พบโดยบังเอิญตอนป้วนเปี้ยนอยู่แถวจวนสกุลหลีขอรับ”
“หือ?”
“ข้าเห็นกวนจวินโหวแต่งกายเป็นองครักษ์ไปที่จวนสกุลหลีพร้อมกับหมอเทวดา”
เจียงหย่วนเฉาได้ยินแล้วแววตาขรึมลงน้อยๆ เซ่าหมิงยวนไปที่จวนสกุลหลี?
เขาดึงความคิดคืนมา เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาทำสีหน้าเป็นเชิงรอรับความดีความชอบแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ สองสามวันนี้เจ้าจับตาดูสกุลหลีต่อไป มีอะไรผิดปกติก็กลับมารายงานทันที”
กล่าวจบเขาชายตามองเจียงเฮ่อ “เหตุไฉนเจ้าถึงไปป้วนเปี้ยนที่จวนสกุลหลี”
หลังจากกลับถึงเมืองหลวงแล้วได้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับแม่นางน้อยผู้นั้น เขาก็ไม่ได้ส่งคนจับตาดูอีกเพราะไม่มีความจำเป็น
เจียงเฮ่อหัวเราะแหะๆ ไม่หยุด “ใต้เท้าสนใจคุณหนูหลีท่านนั้นมากไม่ใช่หรือขอรับ”
เจียงหย่วนเฉายกมือชี้ไปที่หน้าประตู เปล่งคำพูดหนึ่งว่า “ไสหัวไป!”
เจียงเฮ่อเดินออกไปอย่างคับข้องหมองใจเต็มที เขานึกในใจว่า ใต้เท้าปากไม่ตรงกับใจจริงๆ
อีกด้านหนึ่ง เซ่าหมิงยวนออกจากจวนสกุลหลีแล้ว ก็พาหมอเทวดาฝ่าสายฝนกลับไปยังหอชุนเฟิงที่ถนนสายตะวันตกอีกที
องครักษ์นามเยี่ยลั่วเห็นเขากลับมาก็รีบออกมาต้อนรับ “ท่านแม่ทัพ…”
เขาดึงเสื้อคลุมรุ่มร่ามแบบบัณฑิตบนตัวอย่างอึดอัด
เซ่าหมิงยวนเห็นแล้วเผยรอยยิ้มจางๆ “ไม่เลว วันหน้าแต่งกายอย่างนี้ก็ดีนี่”
เยี่ยลั่วทำหน้าม่อยกล่าวขึ้น “อย่าเลยขอรับ ท่านแม่ทัพ ท่านถอดเสื้อคืนให้ข้าเถอะ ข้าสวมชุดองครักษ์สบายกว่า”
“เคยชินกับกลิ่นเหม็นของชุดนี้รึ”
เยี่ยลั่วอึ้งไป ท่านแม่ทัพได้กลิ่นแล้วหรือนี่!
ท่านแม่ทัพจมูกไวจริงๆ เขาแค่ไม่ได้ชำระกายมาสามวันเท่านั้น
เมื่อกลับถึงห้องส่วนตัวก่อนหน้านี้ เซ่าหมิงยวนสาวเท้าเข้าไปผลัดอาภรณ์เป็นชุดเดิมของตนเองหลังฉากกั้น เขาเดินออกมาแล้วโยนเสื้อในมือไปให้เยี่ยลั่วและออกคำสั่ง “ไปที่วังองค์หญิงใหญ่ เชิญคุณชายฉือมาที่นี่อีกครั้ง”
“ขอรับ” จากนั้นเยี่ยลั่วก็ออกไปปฏิบัติตามคำสั่ง
ชายหนุ่มเอ่ยถามหมอเทวดาหลี่อย่างสุภาพ “ท่านหมอเทวดาจะดื่มสุราหรือไม่ขอรับ”
“มัวพล่ามอะไร มาหอสุราไม่ดื่มสุราแล้วจะทำอะไร” หมอเทวดาหลี่กลอกตาขึ้น
เซ่าหมิงยวนไม่ถือสาอันใด บอกให้เสี่ยวเอ้อร์ยกสุราจุ้ยชุนเฟิงมาให้สองไห เขาเปิดผนึกด้วยตนเอง ทว่าทิ้งจอกสุราไว้ไม่ใช้ รินน้ำเมรัยสีเขียวใสลงถ้วยชาไปเลย จากนั้นยกยิ้มกล่าวขึ้น “สุรานี้มีชื่อว่า ‘จุ้ยชุนเฟิง’ ยามล่วงเข้าปากได้รสเข้มหอมฉุน ออกฤทธิ์ช้าทว่าแรงถึงใจ ไม่ทราบว่าท่านเคยลิ้มลองมาก่อนหรือไม่”
“พูดเสียเป็นคุ้งเป็นแคว” หมอเทวดาหลี่ยกถ้วยชาขึ้นดื่มรวดเดียวครึ่งถ้วย ดื่มด่ำกับรสชาติครู่หนึ่งถึงเอ่ยชม “ยังพอใช้ได้”
เขาเหลือบตาขึ้นมองชายหนุ่มที่นั่งฝั่งตรงข้ามซึ่งมีรอยยิ้มน้อยประดับมุมปากแลดูนุ่มนวลแกมเยือกเย็น มองไม่เห็นความดุดันเหี้ยมเกรียมของผู้ผาดโผนกลางสมรภูมิสักน้อยนิด กลับละม้ายคุณชายตระกูลใหญ่ที่สูงศักดิ์รูปงามดุจหยก ชายชราถอนใจเฮือกก่อนไต่ถาม “อากาศเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง”
คำถามนี้ทำให้เซ่าหมิงยวนนิ่งงันไป ที่แท้ท่านหมอเทวดาดูอาการของร่างกายเขาออกแล้ว
เขาแน่ใจว่าตนไม่ได้แสดงท่าทางผิดปกติอันใด เห็นได้ชัดว่าหมอเทวดาท่านนี้มีฝีมืออย่างแท้จริง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซ่าหมิงยวนก็โล่งอก มีฝีมือจริงๆ ก็ดี หวังว่าจะรักษาใบหน้าของพี่เฉียวโม่ให้หายดีได้
“ยังพอทนไหวขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบ
“เจ้าเป็นคนใจแข็งดี”
ทีแรกเขาคิดจะวางยาเบื่อหนูเจ้าหนุ่มนี่สักห่อเพื่อระบายความโกรธแทนแม่หนูเฉียว แต่เห็นสภาพเขาในยามนี้แล้วก็ช่างเถิด
“เจ้าไม่คิดจะขอให้ข้ารักษาอาการของเจ้ารึ”
“ท่านหมอเทวดายินดีรักษาให้ข้าหรือขอรับ” ชายหนุ่มอมยิ้มถาม
เขามิใช่พวกวิปริตชอบทรมานตนเองสักหน่อย หากไม่ต้องทรมานจากอาการเรื้อรังของพิษเย็นได้ เขาก็ปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง
“อ้อ เจ้ากับพี่ชายภรรยา ข้ารับรักษาแค่คนเดียว” หมอเทวดาหลี่กล่าวอย่างใจร้าย
เขาชมชอบมองดูท่าทางยุ่งยากใจของเจ้าหนุ่มบัดซบที่ตนชิงชังนัก
เซ่าหมิงยวนกลับเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลใดๆ “ย่อมต้องให้รักษาพี่ชายภรรยาข้าขอรับ”
หมอเทวดาหลี่มองชายหนุ่มนิ่งๆ วางถ้วยชาลงบนโต๊ะ แล้วพูดเสียงเนิบนาบว่า “เจ้าคิดดีแล้วนะ ไม่ขับพิษเย็นในตัวเจ้าออก จะมิใช่ทนเจ็บปวดทรมานแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังส่งผลต่ออายุขัยด้วย”
“ไม่ต้องคิดขอรับ ข้าเชิญท่านหมอเทวดามาก็เพื่อรักษาให้พี่ชายภรรยา”
มือเขาเปื้อนเลือดคนมานับไม่ถ้วน จึงไม่เคยละเมอเพ้อพกว่าตนจะมีจุดจบที่ดี บางทีห่อศพด้วยหนังม้าอาจเป็นบทลงเอยที่ดีที่สุดของเขา
เซ่าหมิงยวนหลุบตาต่ำดื่มสุรา
หมอเทวดาหลี่คับใจอยู่บ้าง
เจ้าหนุ่มบัดซบ ไม่รู้จักพูดขอร้องหรือไร ถ้าลองเอ่ยปาก ข้าจะใคร่ครวญดูเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้
ช่างเถอะ ตอนนี้ทำเป็นปากแข็งดีนัก ข้าจะรอดูสิว่าเจ้าหนุ่มนี่จะตายอย่างไร!
อืม ตายเสียได้ก็ดี จะได้ตามไปอยู่เป็นเพื่อนแม่หนูเฉียว
ถุยๆ…อยู่เป็นเพื่อนแม่หนูเฉียวอะไรกัน แม่หนูเฉียวไม่ต้องการหรอก น่าจะแบกกิ่งต้นจิงขอขมา* นางต่างหากจึงจะถูก
หมอเทวดาหลี่กระดกถ้วยชาดื่มสุราพรวดๆ ลงคอแล้ววางลงบนโต๊ะ “ข้าอยากกินเนื้อ”
เขาชี้ของแกล้มสุราพวกถั่วลิสงกับถั่วปากอ้าที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ กล่าวเยาะๆ ว่า “จะให้ข้ากินของพวกนี้หรืออย่างไร”
คนทั่วหล้าล้วนล่วงรู้ว่าแม้ขุนนางฝ่ายบู๊ไม่สุขสบายเท่าขุนนางฝ่ายบุ๋น ต้องใช้ชีวิตเสี่ยงตายดุจเลียเลือดบนคมดาบ กระนั้นถุงเงินก็ใบใหญ่กว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นมาก ดังเช่นเจ้าหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ ไปรบทัพจับศึกตั้งนานหลายปี เห็นทีว่าเงินทองที่สะสมไว้ยังมากมายกว่าของจวนจิ้งอันโหวด้วยซ้ำไป
“เสี่ยวเอ้อร์ ยกเนื้อรมควันมาสองชั่ง* ไก่ย่างหนึ่งตัว”
ครั้นเห็นเซ่าหมิงยวนทำสีหน้านิ่งเฉยอยู่จนแล้วจนรอด หมอเทวดาหลี่ผู้พร้อมตอบรับคำขอก็เบะปากพูดประชด “ข้าว่านะเจ้าหนุ่ม เจ้าออกรบอยู่ทุกวี่ทุกวัน ไฉนนิสัยถึงอ่อนแอเหยาะแหยะเยี่ยงนี้”
เซ่าหมิงยวนฟังแล้วคลายยิ้ม “ท่านหมอเทวดาคิดว่าหากข้าไม่ถูกหูคำเดียวก็ชักดาบฆ่าคนหรือขอรับ”
ผู้เป็นแม่ทัพนั้น ยามที่พึงเด็ดขาดฉับไวก็ต้องลงมือรวดเร็วดุจสายลม ยามที่พึงอดกลั้นก็ต้องทนในสิ่งที่คนทั่วไปทนไม่ได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งเพื่อเอาชีวิตหัวหน้าชาวต๋าจื่อที่ชอบจับเด็กของต้าเหลียงไปต้มกินเป็นพิเศษ เขานอนกลางพื้นหิมะดักซุ่มอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนรอโอกาสเหมาะที่สุดแล้วยิงธนูปลิดชีพเจ้าเดรัจฉานตนนั้นในดอกเดียว ตอนนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากหมอเทวดา เพียงโดนกลั่นแกล้งบ้างจะมีอะไรทนไม่ไหวเล่า
“ตอนเจ้ายิงภรรยาตนเองตายก็คล่องแคล่วว่องไวดีมิใช่หรือ” หมอเทวดาหลี่พลั้งปากพูดออกมา
รอยยิ้มบนริมฝีปากชายหนุ่มนิ่งค้างไปในพริบตา
เขาเม้มปากหลุบตาแล้วดื่มสุราในถ้วยชารวดเดียวหมดก่อนพูดเรียบๆ “ขอรับ”
รอบด้านตกอยู่ในบรรยากาศน่าอึดอัดกะทันหัน
ความรู้สึกในใจหมอเทวดาสับสนปนเปอยู่บ้าง
ทั้งที่คิดไว้ดิบดีว่าจะเล่นงานเจ้าหนุ่มผู้นี้ แต่พอเขาถามเรื่องที่ติดคาอยู่ในใจลึกๆ ออกมาแล้ว ไฉนยังไม่ปลอดโปร่งใจขึ้นเลยสักนิด
เวลานี้เองเสี่ยวเอ้อร์ยกเนื้อรมควันกับไก่ย่างเข้ามา หมอเทวดาหลี่ยื่นมือฉีกน่องไก่ออกมากัดคำหนึ่งเต็มแรง เขามองเซ่าหมิงยวนทางหางตาพลางเอ่ยถาม “เจ้าไม่กินหรือ”
รอยยิ้มมุมปากของชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามจืดจางกว่าก่อนหน้านี้ หากน้ำเสียงยังนุ่มนวลดุจเก่า “ท่านหมอเทวดากินเถอะขอรับ ข้าไม่หิว”
ชายชรากินเนื้อไก่สองสามคำแล้วโยนลงไปในจาน พูดบ่นพึมพำว่า “เหตุใดเจ้าหนุ่มแซ่ฉือยังไม่มาอีกนะ”
* ต้นจิง (Chaste Tree) คือพืชสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง ดอกมีสีม่วง กิ่งก้านมีหนามแหลม ‘แบกกิ่งต้นจิงขอขมา’ มีที่มาจากสมัยจั้นกั๋ว เหลียนพัวแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นจ้าวตั้งแง่อิจฉาลิ่นเซี่ยงหรูขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่อีกฝ่ายคอยแต่หลบฉาก ยอมลงให้อย่างให้เกียรติและเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน ภายหลังเหลียนพัวรู้ความจริงจึงสำนึกผิดถอดเสื้อพันตัวด้วยกิ่งต้นจิงมาขอขมาเพื่อชดใช้ความผิด
* ชั่ง (ชั่งจีน) หรือ จิน เป็นหน่วยชั่งของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม และยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน