หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 96
ในห้องหนังสือจุดโคมแล้ว แต่เพราะมีแค่ดวงเดียว แสงไฟจึงสลัวๆ
เซ่าหมิงยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำไม้ทำมือบอกให้เซ่าจือเริ่มพูดได้
เซ่าจือสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง กล่าวด้วยสุ้มเสียงเบาลงว่า “ท่านแม่ทัพ หลายวันก่อนข้าได้พบปะพูดคุยกับองครักษ์ในจวนที่อารักขาฮูหยินไปแดนเหนือ ทหารหน่วยอวี่หลิน ทั้งยังมีคนของสำนักคุ้มภัยหย่วนเวย พบคนผู้หนึ่งที่น่าสนใจขอรับ”
“ผู้ใด” เซ่าหมิงยวนนั่งหันหลังให้แสง ยากจะอ่านความรู้สึกบนใบหน้าได้ ใต้แสงไฟเลือนรางสุ้มเสียงของเขาห้าวทุ้มนุ่มลึกยิ่งขึ้น
“รองหัวหน้าผู้คุ้มภัยของสำนักคุ้มภัยหย่วนเวยนามว่าหลินคุนขอรับ หลินคุนเป็นผู้นำขบวนคุ้มภัยที่พาฮูหยินไปส่งทางแดนเหนือหนนี้ ข้าสืบได้ความว่าตอนนั้นซูลั่วเฟิงเปลี่ยนเส้นทางของขบวนอารักขาฮูหยิน หลินคุนเคยคัดค้านต่อหน้าคนอื่น อีกทั้งใช้วาจารุนแรงจนเกือบจะวิวาทกับองครักษ์ประจำตัวของซูลั่วเฟิงด้วย”
“เขาอยู่ที่ใด”
“หลังจากผู้คุ้มภัยกลุ่มนี้กลับมา หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหย่วนเวยก็ให้พวกเขาหยุดพัก ส่วนหลินคุนกลับบ้านเดิมไป ข้าสืบถามได้แล้วว่าบ้านเดิมของเขาอยู่ที่ใด จึงตั้งใจมารายงานให้ท่านรับทราบสักคำ จะได้รีบรุดไปหาเขาทันทีเลยขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้าเล็กน้อย “ไปเถอะ พาคนไปด้วยสักสองสามคน ระหว่างทางระวังความปลอดภัยด้วย”
“น้อมรับคำสั่งขอรับ” เซ่าจือถอยออกไป
ยามที่ประตูห้องเปิดแล้วปิด มีสายลมลอดผ่านเข้ามาพัดเปลวเทียนไหววูบวาบ พาให้แสงไฟในห้องประเดี๋ยวสว่างประเดี๋ยวมืดคละเคล้าไปกับเสียงฝนซู่ซ่าๆ จากนอกห้อง
เซ่าหมิงยวนมิได้กลับห้องนอน เขาเดินเข้าห้องชำระกายล้างเนื้อล้างตัวแล้วสวมเสื้อตัวในสีขาวสะอาด จากนั้นย้อนกลับไปที่ห้องหนังสือ เอนกายลงบนตั่งแล้วหลับใหลไป
หลังฝนตกลมพัดแรงตลอดคืน เช้าวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าสดใสปลอดโปร่งแล้ว
กอกล้วยนอกหน้าต่างถูกสายฝนซัดสาด แลดูเขียวชอุ่มเป็นมันวาวยิ่งขึ้น ดอกทับทิมร่วงจากต้นตรงริมกำแพงเกลื่อนทั่วพื้น แต่ปลายยอดกิ่งยังออกดอกพราวเป็นสีแดงเพลิง
เฉียวเจาตื่นนอนแต่เช้าตรู่ นางผลักหน้าต่างเปิดออก ปล่อยให้อากาศสดชื่นเย็นเฉียบไหลกรูเข้ามาขับไล่ความง่วงเหงาเฉื่อยชาของยามราตรี
“วันนี้ไม่ต้องไปสำนักศึกษาหญิงไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดท่านตื่นเช้าจริง” ปิงลวี่เดินเข้ามายืนขยี้ตาอยู่ข้างกายนาง มองไปนอกหน้าต่างแล้วอดอุทานเบาๆ ไม่ได้ “โธ่ ดอกทับทิมร่วงไปตั้งเยอะ น่าเสียดายแท้ๆ”
เฉียวเจากล่าวยิ้มๆ “ไม่น่าเสียดายหรอก ดอกทับทิมที่ร่วงไปพวกนี้ส่วนใหญ่จะไม่ติดผล ถ้าเป็นในเรือนคนทั่วไปก็ต้องเด็ดทิ้งอยู่แล้ว เช่นนั้นถึงจะได้ผลทับทิมลูกใหญ่รสหวาน”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ปิงลวี่สองตาเป็นประกาย “คุณหนู ท่านรู้อะไรๆ มากมายจริงๆ”
เฉียวเจาเบนหน้ามองนาง ยื่นมือไปหยิกแก้มแดงเรื่อๆ ของสาวใช้น้อย “อ่านหนังสือมากก็รู้มากไปเอง คนฉลาดได้จากหนังสือตำรานะ”
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่พยักหน้าอย่างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
เฉียวเจาหัวเราะนาง
อันที่จริงเป็นเช่นปิงลวี่นี้ก็ดีไม่น้อย ร่าเริงแจ่มใส ไร้ทุกข์ไร้โศก ใช้ชีวิตตามประสาสาวใช้ผู้หนึ่งอย่างมีรสชาติสีสัน
“คุณหนู โจ๊กกลีบหัวไป่เหอเสร็จแล้ว ท่านกินสักนิดก่อนนะเจ้าคะ” เวลานี้เองอาจูยกชามใบเล็กสีเขียวครามเข้ามา โจ๊กข้นๆ เนื้อเนียนละเอียดในนั้นส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ว
กินโจ๊กกลีบหัวไป่เหอช่วยกล่อมอารมณ์ให้สงบ แก้อาการนอนไม่หลับได้
ใช่แล้ว เมื่อคืนเฉียวเจานอนไม่หลับ
นางชำระกายบ้วนปากเสร็จแล้วขึ้นเตียงเข้านอนแต่หัวค่ำ เดิมทีก็สะลึมสะลือหลับไปแล้ว ใครจะรู้ว่ากลับฝันถึงเหตุการณ์ทหารบุกประชิดเมืองวันนั้น
นางยืนอยู่บนกำแพงเมือง เสียงหัวเราะชั่วร้ายของพวกต๋าจื่อดังก้องอยู่ริมหู บนนั้นลมพัดแรงกว่าพื้นเบื้องล่างมากจนผมหน้าม้าของนางปลิวลู่ไปข้างหลังอวดหน้าผากเนียนเกลี้ยง
เซ่าหมิงยวนขี่ม้าหยุดยืนตรงเชิงกำแพง ด้านหลังเขาเป็นทหารต้าเหลียงเรียงเป็นแผงเต็มพรืดกับริ้วธงชูสูงกางสะบัดตามแรงลม
ชั่วพริบตานั้น นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง น้อยใจที่โชคชะตาผลักนางเข้าสู่กองเพลิง พาให้วัยสาวอันงดงามถูกเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่านในอึดใจเดียว
นางอยากบอกเขาว่าถ้าวันหน้ามีโอกาสได้พบท่านพ่อ ท่านแม่ และพี่ใหญ่ของนาง บอกพวกเขาว่านางไม่เสียใจและขอให้พวกเขาอย่าเสียใจจนเกินไป
น่าเสียดายที่ลูกธนูของคนผู้นั้นพุ่งมารวดเร็วเหลือเกินจนนางไม่ทันได้กล่าวอะไรทั้งนั้น…
เฉียวเจาสะดุ้งตื่นกลางดึก ราวกับนางยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดรุนแรงตรงกลางอกได้ ถึงขนาดที่ขณะแหงนมองตะขอเงินรูปนกกระจอกที่แขวนผ้าม่านโปร่งบางไว้ แววตาขอลุแก่โทษของเซ่าหมิงยวนยังผุดวูบขึ้นเบื้องหน้าสายตาอย่างเลือนราง
ที่แท้ในวันนั้นเขารู้สึกผิดหรือนี่…
เฉียวเจานอนราบอยู่บนเตียงหลัวฮั่นแย้มปากยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่
ตอนนั้นนางไม่ทันสังเกตเลย ดูทีว่าเพราะได้พบหน้ากันตอนกลางวันทำให้จิตใจของนางสั่นคลอนโอนเอน
หญิงสาวคิดคำนึงว่ามันอาจเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง นางไม่ได้บอกความระลึกถึงต่อพ่อแม่ญาติพี่น้องออกมา ผลปรากฏว่าเมื่อฟื้นขึ้นอีกครา บิดามารดาของนางล้วนไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว เหลือแค่พี่ชายคนโตกับน้องสาวคนเล็ก
ยามดึกสงัดเงียบเชียบ ได้ยินแต่เสียงฝนตกหนักเหมือนฟ้ารั่วจากนอกห้อง สาดซัดกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะๆ
เด็กสาวตื่นจากฝันร้ายแล้วนอนไม่หลับอีก ความคิดถึงต่อพี่ชายของนางยิ่งท่วมท้นทบทวีมากขึ้น
ไม่รู้ว่าบาดแผลที่ใบหน้าของพี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง รอเมื่อได้พบเขา นางต้องหาทางขอให้หมอเทวดาหลี่รักษาให้เขาแน่
เฉียวเจาพลิกตัวกระสับกระส่ายตลอดครึ่งราตรีหลัง แสงอรุโณทัยเพิ่งสว่างเรื่อๆ ก็ลุกลงจากเตียงอย่างทนรอไม่ไหว
“คุณหนู ท่านกินตอนยังร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ” อาจูวางโจ๊กกลีบหัวไป่เหอบนโต๊ะ
เฉียวเจาผละจากริมหน้าต่าง เดินไปนั่งลงหยิบช้อนกระเบื้องสีขาวตักกินหนึ่งคำ
ปิงลวี่พูดบ่นกระปอดกระแปด “ใส่น้ำตาลกรวดแล้วใช่หรือไม่ โจ๊กกลีบหัวไป่เหอไม่ใส่น้ำตาลกรวดจะไม่อร่อยนะ”
“ใส่แล้ว” อาจูตอบด้วยสุ้มเสียงนุ่มนวล
การเตรียมอาหารให้คุณหนูเป็นงานที่ปิงลวี่รับอาสาทำ แต่วันนี้นางตื่นสายเล็กน้อยเลยโดนอาจูชิงตัดหน้า ส่งผลให้สาวใช้น้อยผู้นี้ขุ่นเคืองสุดจะกล่าว นางกล่าวอย่างหาเรื่อง “กินโจ๊กกลีบหัวไป่เหออะไรกัน โจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าถึงจะอร่อย เจ้ามาใหม่เลยยังไม่รู้ว่าโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าฝีมือป้าหลิวของเรือนครัวใหญ่ชั้นหนึ่งเลย แต่โจ๊กกลีบหัวไป่เหอน่ะแค่ธรรมดาๆ”
น้ำเสียงของอาจูสงบนิ่ง “ไว้คราวหน้าค่อยขอให้ป้าหลิวทำโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าให้คุณหนู ส่วนโจ๊กกลีบหัวไป่เหอนี่ข้าเป็นคนทำ”
ปิงลวี่นิ่งไปเล็กน้อย “…” ทำโจ๊กกลีบหัวไป่เหอเป็นแล้วเก่งนักหรือไร
เฉียวเจากินโจ๊กเงียบๆ จนหมดแล้ววางช้อนลง เพลานี้นางถึงมองอาจูอย่างพินิจ พลางเอ่ยถามขึ้น “อาจูเข้าใจหลักการใช้ยาหรือไม่”
เมื่อคืนอาจูเป็นคนนอนเฝ้าผลัดดึกอยู่นอกห้องถึงรู้ว่านางนอนหลับไม่สนิท อีกทั้งยังรู้จักต้มโจ๊กกลีบหัวไป่เหอให้นางกิน ความละเอียดอ่อนชั้นนี้นับว่าหาได้ยากแล้ว
อาจูได้ยินคำนี้แล้วอึ้งงันไปเล็กน้อย นางมองสบสายตาเรียบเฉยของคุณหนู ตอบอย่างนอบน้อมว่า “ไม่เข้าใจเจ้าค่ะ แค่เคยอ่านจากในตำราเล็กๆ น้อยๆ อย่างผิวเผิน”
เฉียวเจายิ้มออกแล้ว
สาวใช้ที่พี่จูมอบให้นางผู้นี้เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งแท้ๆ รู้หนังสือ เดินหมากเป็น ทั้งยังเข้าใจหลักการใช้ยาเล็กน้อย หากที่หาได้ยากยิ่งกว่าคือขยันใฝ่รู้ เพิ่งสอนไม่กี่วัน ทักษะการเดินหมากของอีกฝ่ายก็รุดหน้าข้ามขั้นอย่างว่องไว
แต่ไรมาเฉียวเจาไม่คิดว่าสตรีในใต้หล้ามีเพียงตนที่ฉลาด เมื่อมีสาวใช้มากพรสวรรค์ผู้หนึ่งอยู่ข้างกาย ขอแค่อีกฝ่ายเต็มใจเรียน นางก็เต็มใจสอน
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ข้าสอนเจ้าดีหรือไม่”
อาจูนิ่งอึ้งไปเป็นคำรบที่สอง ผ่านไปนานสองนานจนแน่ใจว่าคุณหนูไม่ได้กล่าวล้อเล่น นางจึงแสดงคำนับและกล่าวว่า “ขอบคุณคุณหนูเจ้าค่ะ”
ผู้คนบนแผ่นดินนี้เกิดมาก็แบ่งเป็นชนชั้นสูงกลางต่ำ บางคนแต่งกายหรูหรา บางคนเป็นข้าทาสบริวาร แล้วก็มีบางคนที่เคยชี้นิ้วใช้งานบ่าวไพร่ทว่าอยู่มาวันหนึ่งพลัดตกจากสวรรค์กลายเป็นบ่าวรับใช้
ไม่ว่าอย่างไร คนที่อยู่ชั้นล่างสุดหมายปีนป่ายขึ้นมานั้นช่างยากเย็นเหลือแสน ถึงได้เป็นสาวใช้อาวุโสประจำตัวผู้เป็นนาย แต่วันใดที่สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้านาย เจ้านายพูดคำเดียวก็ขับไล่ไสส่งกลับไปจมปลักในโคลนตมดังเดิมได้แล้ว
แต่คนประเภทหนึ่งต่างออกไป นั่นคือบ่าวไพร่ที่รู้วิชาแพทย์ โดยเฉพาะสาวใช้ที่รู้วิชาแพทย์ ขอเพียงมีความสามารถอย่างแท้จริง แม้แต่ประมุขหญิงของเรือนยังเห็นว่าเป็นคนสำคัญและให้ความเกรงอกเกรงใจ ดังเช่นกุ้ยมามาของจวนตะวันตก รวมถึงต่งมามาของจวนตะวันออก
ปิงลวี่ได้ยินแล้วแตกตื่น คุณหนูสอนอาจูเดินหมากแล้วยังสอนหลักการใช้ยาให้ นางตัวดีอาจูยังทำโจ๊กกลีบหัวไป่เหอเป็น แล้วนางจะทำฉันใดดีเล่า
“คุณหนู ข้าก็อยากเรียนเหมือนกันเจ้าค่ะ”