หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่128 นางรู้แล้วว่านางเป็นเขา!
บทที่128 นางรู้แล้วว่านางเป็นเขา!
“เสื้อผ้าเหล่านี้คือที่ซื้อมาทีหลังใช่หรือไม่? ตาดีนี่ ค่อนข้างสวยเชียว ชุดนี้มันเหมือนชุดของผู้ชาย นี่ท่าน….”
เสียงของฮัวหยู่อันชะงักที่ตรงนั้น
ยังไงก็ตามนางกำลังทำอะไรกรอบแกรบอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่านางกำลังทำอะไร
โดยรวมก็ดูเหมือนว่าจะสงบลงได้
หลานเยาเยากำลังกินองุ่นอย่างตื่นเต้นดีใจ ทั้งตัวและจิตวิญญาณของนางทุ่มไปที่องุ่นแสนอร่อย ไม่มีที่ว่างเหลือให้พินิจว่าจู่ๆทำไมฮัวหยู่อันถึงได้เงียบไป
ผ่านไปสักพัก
ฮัวหยู่อันก็นั่งลงด้วยสมองที่เต็มไปด้วยความคิด ดวงตาจ้องไปที่นาง จ้องนางจนกลัว
นางจึงแบ่งองุ่นที่เหลืออยู่ส่วนนึงให้พลางพูด:
“ไม่ต้องจ้องข้าขนาดนั้น อ่ะข้าให้แล้ว!”
ใครจะรู้……
นางจับแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ มองด้วยดวงตาไม่อาจจะเชื่อ ในใจเต็มไปด้วยความสับสนงวยงง แต่นางก็ค่อยๆเปิดปากถามออกไป:
“หลานเยาเยา ท่านมีพี่ชายแท้ๆหรือว่าน้องชายแท้ๆหรือไม่?”
“ไม่มี!”
ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมถึงถามแบบนี้ แต่นางก็ตอบไปตามความจริง
“ก่อนที่จะแต่งงาน ท่านคงไม่แต่งกายเป็นชายออกไปเล่นบ่อยใช่ไหม?” ฮัวหยู่อันกลืนน้ำลาย
“ก็ไม่บ่อย เป็นบางครั้งบางคราวหน่ะ!”
พอถึงตรงนี้ ตัวฮัวหยู่อันก็ดูแข็งทื่อไป จู่ๆก็มีน้ำตาคลออยู่ตรงนัยน์ตา “งั้นท่านเคยไปเที่ยวที่ป่าดงพงไพรไหม?”
นางนึกออกแล้ว
นางกับเขาเจอกันในวันนั้น เป็นวันที่หลานเฉินมู๋พาหลานเยาเยาไปจุดธูปที่วัด นอกจากได้พบเขาแล้วนั้น ก็ยังได้เห็นความกระหายเลือดของอ๋องเย่ด้วย
ในวันนี้ที่ตู้เสื้อผ้าของหลานเยาเยา ก็ได้พบกับชุดที่เขาเคยใส่ ดังนั้นเรื่องมันจึงปะติดปะต่อขึ้นมา……
แย่แล้ว!
รู้สึกราวกับความลับถูกเปิดเผย
หลานเยาเยารีบมองไปที่นาง เมื่อเห็นสีหน้าอาการของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกริมฝีปากขึ้น
น้ำตาคลอเบ้าของนางนี่มันจริงหรือนี่?
“ข้าพูดว่า ไม่ ได้ไหม?”
“ได้สิ” ฮัวหยู่อันเริ่มเบะปาก น้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ
“แต่ความจริงหน่ะข้าเคยไป ทั้งยังใส่เสื้อผู้ชายด้วย” หลานเยาเยาพูดอย่างจริงจัง
“อย่าโหดร้ายแบบนั้นได้มั้ย?”
ตามหาเขามาเนิ่นนาน นางเองก็เคยคิดว่า เขาอาจจะหนีจากนางไปเพราะมีลูกมีภรรยาแล้ว หรือไม่ก็มีคนที่ถูกใจแล้ว
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าความจริงแล้วจะเป็นเช่นนี้……
ฮื่อๆๆ……
นางรับไม่ได้ นางไม่สามารถที่จะยอมรับอะไรได้ทั้งนั้นแล้ว
“ถึงจะโหดร้ายแต่ก็เป็นความจริง เจ้ายอมรับไม่ได้ก็จำต้องยอมรับให้ได้”
ในบางครั้งความจริงมันก็โหดร้ายตอนที่ควรจะหนีก็ต้องหนี แต่ถ้าหนีไม่ได้ งั้นก็ยอมรับความจริงเถอะ!
แต่ว่า!
นางไม่เคยคิดเลยจริงๆ
ตอนที่อยู่ในป่า พวกนางเจอกันเพียงประเดี๋ยว ไม่ถึงสองชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ
นางจะมอบความรักให้ได้อย่างไร?
ในตอนนี้เมื่อรู้ความจริงแล้ว แล้วทำไมถึงได้เศร้าใจหล่ะ?
“แต่ทำไมมันถึงได้กะทันหันแบบนั้น? ข้ายังไม่ได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้ อยู่ๆมาทำให้ข้าหัวหมุนแบบนี้ ข้าไม่อยากอยู่แล้ว ฮื่อ……”
ฮัวหยู่อันล้มตัวลงบนโต๊ะใหญ่และร้องไห้ออกมา เม็ดน้ำตาก้อนโตที่หลั่งไหลนั้นไม่ใช่แกล้งหลอกเลย
หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะเกาหัวตัวเอง
จะทำอย่างไรดีหล่ะ?
จะปลอบหรือไม่ปลอบนางดี?
นางคิดๆ ท้ายที่สุดก็เพราะตัวเอง เมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจขนาดนั้น ก็ควรจะต้องปลอบใจเสียหน่อย
“เอาอย่างนี้มั้ย……เจ้าออกไปร้องข้างนอกมั้ย?”
“ฮื่อๆๆ……แง……”
เอ่อ……
ทำไมถึงได้ร้องหนักกว่าเดิมได้หล่ะ? นางไม่ใช่ว่าปลอบไปแล้วเหรอ?
“ช่างเถอะ งั้นเจ้าก็ร้องอยู่ในนี้ก็แล้วกันนะ!” ทำอะไรไม่ได้ แต่นางหลบไปได้
ใครจะรู้หล่ะว่าในตอนที่นางกำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง
มือของฮัวหยู่อันก็คว้าแขนนางไว้ มองมาที่นางอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็พูดเคล้าสะอื้น “ข้าไปนอนร้องที่เตียงของท่านได้มั้ย?”
“……”
ร้องไห้ที่ไหนก็คือร้องไห้ ทำไมจะต้องขึ้นไปร้องไห้ถึงบนเตียง?
คงไม่ได้คิดที่จะเอาผ้าห่มของนางไปใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าหรอกนะ!
ในจุดนี้ทำให้หลานเยาเยาคิดหนัก
จนกระทั่งฮัวหยู่อันเอนตัวนอน และค่อยๆหลับลงไปบนเตียง หลานเยาเยาถึงได้โล่งใจ โชคดีภายใต้การปลอบ ผ้าห่มและเตียงของนางยังอยู่ดี
แต่ในขณะที่นางหันตัวจะออกนั่นเอง!
“ฟืดฟาด ฟืดฟาด……”
หลานเยาเยาที่กำลังยกเท้าขึ้น ในเวลานั้นก็เอาเท้าลงตามเดิม ก่อนจะหันหลังกลับไปมอง ก็เห็นฮัวหยู่อันเอาหน้าทั้งหน้าของนางถูไปกับผ้าห่ม แล้วก็เช็ดไปเช็ดมาไม่หยุด
“……”
ชาติก่อนข้าเคยไปทำเวรทำกรรมที่ไหนมาอย่างนั้นเหรอ?
ทำไมจะต้องให้นางมาอยู่ข้างกาย? แน่นอนหล่ะว่าไม่ใช่เพราะนางบอกว่าตัวนางหาเงินได้
แน่นอนว่าไม่ใช่!
หลานเยาเยาที่โมโหอยู่นั้นก็เดินออกไปที่ห้องข้างๆ ห้องข้างๆซึ่งเป็นห้องของสาวใช้อย่างฮัวหยู่อัน
ตอนนี้ก็ดีแล้ว นางจึงมุดเข้าไปนอน
นางไม่ใช่คนถือตัวอะไร ดังนั้นจึงไม่ได้รักสบาย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในกองทัพหรือว่าจะทำภารกิจ ถิ่นทุรกันดารหรือป่านางก็นอนมาหมด หรือบรรยากาศรอบด้านจะมีความชั่วร้ายอะไรนางก็ไม่กลัว
ดังนั้น!
ห้องของคนรับใช้ที่เป็นเตียงไม้แบบนี้ นางก็สามารถนอนได้อย่างสบาย
แต่พอถึงเวลากลางดึกจู่ๆนางก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
เมื่อเปิดเปลือกตาขึ้นมา ชั่วครู่รอบด้านเต็มไปด้วยความมืด ทั้งห้องเงียบไปหมด แม้แต่แสงของดวงจันทร์ก็ไม่มี
แต่นางกลับรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตพยาบาทที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาหานาง……
“กริ๊ง……”
เหมือนเป็นเสียงของระฆังที่ดังขึ้นมาไม่ห่างจากนางมากนัก หลานเยาเยาขมวดคิ้วออกจากเตียงทันที
ได้ยินเพียง ‘ตุ้ม ตุ้ม ตุ้ม’ ดังขึ้นกังวานอยู่หลายครั้ง ราวกับเป็นเสียงเหล็กที่ตีลงบนผ้าห่มคลุมเตียง
หลังจากเห็นว่าไม่มีใครแล้วนั้น
ก็มีเสียงคนดังขึ้น แต่พูดออกมาเป็นภาษาที่นางเองไม่เข้าใจ
ถึงแม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่นางก็พอจะเดาได้ว่าพวกเขาพูดว่าอะไร น่าจะประมาณว่าไม่เห็นมีคนเลย
หลานเยาเยาเอามุกเย่หมิงออกมา ทันใดนั้นนางก็เห็นว่ามีชายสวมชุดแปลกๆยืนอยู่ไม่ห่างไปจากนางเท่าไหร่ ริมฝีปากของนางกระตุกขึ้นทันที พลางเก็บมุกเย่หมิงลงไปในระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ
แสงของมุกเย่หมิงทำให้พวกคนสวมชุดประหลาดตกใจ แต่ก็ยังไม่ได้ตอบสนองอะไร แสงนั้นก็พลันหายวับไป
แต่!
ต่อมาพวกเขาก็ได้ยินเสียงดัง “ผลัก” ก่อนจะมีคนในนั้นล้มลงไปกับพื้น
ตอนนี้ก็ทำให้คนแปลกๆนั้นระวังตัวขึ้นมาทันที แต่ด้วยความรวดเร็ว แสงของมุกเย่หมิงได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งแต่โผล่ขึ้นมาในที่ใหม่ แต่ในชั่ววิก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
“ผลัก……”
มีคนล้มลงไปแล้วอีกหนึ่ง
มันเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งหลายครานั่นจึงสร้างความสับสนให้แก่ชายใส่ชุดประหลาดนั่น
และครั้งนี้ หลานเยาเยาพาตัวไปด้านหน้าคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าของคนเหล่านั้น
แสงปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หลานเยาเยาประจันสายตาเข้ากับคนคนนั้น และนั่นก็ทำให้ทั้งสองชะงักกันไปทั้งคู่
ให้ตายเถอะ!
ชายคนนี้สูงใหญ่เกินไปแล้วมั้ย?
แต่ไม่ว่าจะยังไง หลานเยาเยาก็เลือกที่จะใช้มือของตนแทนมีด ตัดฉับไปที่คอของอีกฝ่าย
จากนั้น……
หลังจากที่แสงหายไปแล้ว นางกลับไม่ได้ยินเสียงของหนักๆหล่นพื้นอีก ในใจก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
หรือว่าเป็นเพราะคนคนนี้ตัวสูงใหญ่จนเกินไป ดังนั้นจึงเหมือนว่าแรงของนางน้อยไปก็เลยไม่สลบนะ?
ดังนั้น!
หลานเยาเยาจึงตัดสินใจที่จะต่อสู้กับเขา
แสงมุกเย่หมิงส่องสว่างขึ้นอีกครั้ง แล้วชายร่างใหญ่นั่นก็ถูกนางฟันเข้าด้วยมืออยู่หลายครั้ง หลังจากทำแบบนั้นอยู่สิบกว่าครั้งแล้ว
คนอื่นๆที่เหลือก็เป็นเพียงผู้ชมที่ยืนดูชายร่างใหญ่ถูกหลานเยาเยาฟันด้วยมือ