หัตถ์เทวะธิดาพญายม - ตอนที่ 299 หนีหายไร้ร่องรอย
หัตถ์เทวะธิดาพญายม ตอนที่ 299 หนีหายไร้ร่องรอย
เมื่อรวบรวมพลังได้มากเพียงพอ การโจมตีของเกอซีพลันสร้างเสียงหวีดแหวกอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว
ติดตามมากับเสียงแหวกอากาศ เถาวัลย์ม่วงอเวจีพลันแปรเปลี่ยนสภาพเป็นสายเงาที่ลอยเคว้งกลางอากาศจํานวนมากประดุจลูกศรนับพันที่กระหน่ําเข้าหาบุรุษผู้นั้น
นัยน์ตาเขาฉายประกายแห่งความชื่นชม หากแต่มุมปากกลับยกโค้งขยักขึ้น
เสี้ยวนาทีถัดมา ฝ่ามือกว้างพลิกหงาย ธงสีน้ําเงินเข้มเกือบดําปรากฏขึ้นใจกลางอุ้งมือทันที
พลังปราณใด ๆ มิได้แผ่ซ่านกระจายออกจากผืนธงเหตุเพราะอํานาจการสูบกลืนพลังภายใต้หมอกขาวกระนั้นกระแสความเย็นเยียบที่กระจายซ่านออกโดยรอบยังสามารถทําให้ทุกผู้คนตื่นตระหนกหวาดหวัน
ปลายธงโบกสะบัด สายเถาวัลย์สีม่วงแต่ละเส้นล้วนถูกดูดกลืนเข้ามาในผืนธงอย่างฉับพลัน พวกมันทั้งหมดล้วน ถูกกลืนกินสิ้นหายอย่างเงียบเชียบหมดจดด
บุรุษผู้นั้นหัวร่อขึ้นเบา ๆ ก่อนจะก้าวตรงเข้ามาสํารวจดูหนุ่มน้อยคู่ฝึกมือ ทว่าสีหน้าของเขากลับแข็งค้างไปในทันที
ถ้วนทั่วทุกอาณาบริเวณภายใต้ม่านหมอกขาว ไร้ร่องรอยแห่งหนุ่มน้อยผู้นั้น โดยที่แท้ ช่วงจังหวะที่เถาวัลย์ม่วงอเวจีพุ่งเข้าโจมตีหนุ่มน้อยผู้นั้นก็ฉวยโอกาสหนีหายไปอย่างสิ้น
“มันคิดหนี ! กล้าหนีกระนั้นรี !” ประกายตาแวววาวเฉียบคมปรากฏขึ้นในแววตาของบุรุษผู้นั้น “คิดหรือว่าจะ รอดพ้นมือข้าไปได้ ?”
ใต้หล้านี้ หากเขาต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสมบัติสิ่งของ เขาไม่เคยปล่อยให้หลุดรอดเอื้อมมือไปได้
ทันทีที่วาจาล้วงพ้นริมฝีปาก ร่างของบุรุษผู้นั้นก็หายลับไปจากที่นั้น คงเหลือไว้เพียงหมอกขวาวหนาทึบซึ่งก่อรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนบ่งแสดงถึงความผิดปกติบางประการ ที่เกิดขึ้นกับริ้วอาคมม่านเมฆา
ช่วงขณะที่เกอซีปลดปล่อยสายเถาวัลย์ม่วงอเวจี นางก็ใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไปแล้ว
แม้เกอชีจะหยิ่งผยองสักเพียงใด นางก็มิใช่คนยโสดึงดันบุรุษในชุดดําผู้นั้นสามารถใช้อาวุธเวทขั้นสูงซึ่งไม่ต้อ งอาศัยพลังปราณใดๆทั้งประสบการณ์การต่อสู้ของคนผู้ นั้นยังโชกโชน เขาหาใช่ผู้ที่นางในยามนี้จะสามารถหาหนทางชนะได้ไม่
เดิมที่หญิงสาวยังคิดหมายทําลายริ้วนัยน์ตาอาคมตําแห น่งต่อไปทว่าด้วยเกรงจะถูกบุรุษชุดดําผู้บ้าคลั่งนั่นจับกุมได้ อีก เกอชีจึงลังเลอยู่ชั่วครู่ยามนี้นางกําลังครุ่นคิดว่าควรทํา สิ่งใดต่อไป
หลังครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หญิงสาวตัดสินใจปลดปล่อยเถาวัลย์ม่วงอเวจีเพื่อควานหาตัวกลุ่มของหนานกงยี
หากได้ความช่วยเหลือจากหนานกงยวี กู้หลิวเฟิงและพวกที่เหลือนางไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถทําลายริ้วนัยน์ตาอา คมทั้ง 64 จุดได้
ทว่าเพียงสายเถาวัลย์ม่วงอเวจีถูกปลดปล่อยออกไป สีหน้าของเกอซีกลับแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน
ขณะที่สายเถาวัลย์พุ่งทะยานออกไปราวสายเงากลับปรากฏเสียงดัง ปัง ขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ครั้นเมื่อสามารถแล เห็นสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าได้อย่างชัดเจนเกอซีจึงสังเกตเห็น ว่าสายเถาวัลย์เล่านั้นถูกกั้นขวางด้วยขุมพลังที่แข็งแกร่งบางอย่าง
ใบหน้าของนางซีดเผือดเมื่อได้เห็นบุรุษชุดดําผู้เผยร่างออกจากสถานที่ไม่ไกลห่างกันนักน้ําเสียงเย็นชาของนางเอ่ยกล่าวออกไป “เจ้าติดตามข้ามาประดุจวิญญาณสัมภเวสี.ที่สุดเจ้าต้องการสิ่งใด ?”
ม่านหมอกในตําแหน่งที่เกอซียืนอยู่ไม่หนาแน่นดังก่อนห น้าเช่นนั้นที่สุด บุรุษชุดดําผู้นั้นจึงแลเห็นดวงหน้าของหนุ่มน้อยผู้ประฝีมือกับตนได้อย่างชัดเจน
แผงขนตายาวงอนงาม ผิวพรรณขาวผ่องนุ่มละเอียดริมฝีปากได้รูปสวยเรือนผมยาวงามดําขลับแนบสนิทไปกับพวงแก้มนั้นเปียกชื้นด้วยไอหมอกนัยน์ตาดําสนิทสุกใสเปล่งประกายเผยความบริสุทธิ์งดงาม คือหนุ่มน้อยผู้ครอบครองดวงหน้าที่สามารถตราตรึงประทับจิตวิญญาณทุกผู้คนได้อย่างง่ายดาย
เหนือความคาดหมายยิ่งนัก นี่คือหนุ่มน้อยผู้สร้างความตื่นตะลึงสยบผู้คนทั้งใต้หล้าได้ด้วยดวงหน้าอันงดงาม หนุ่มน้อยผู้นี้ดูจะเพิ่งมีวัยเพียง 15-16 ปี ยังไม่ย่างเข้าสู่วัย 20 ปีอันเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว
โดยที่แท้คือหนุ่มน้อยวัยละอ่อนนี้ล่ะหรือที่สามารถรับมือเขาได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งยังบีบบังคับให้เขาควักผืนธงออกต่อ
ความเย็นชาในแววตาของบุรุษชุดดําแปรเปลี่ยนเป็นความฉงนสนเท่ห์ เขายกแขนขึ้นกอดอกก่อนจะกล่าวคําอย่างวางท่า “ข้าจะให้เจ้ามีลมหายใจต่อไปนั้นย่อมได้ เพียงเจ้าต้องยอมมาเป็นคนของข้า เชื่อฟังถ้อยคําสั่งจากข้า หากเช่น นั้น ข้าสามารถรับปากเจ้าได้ว่า ตราบเท่าที่เจ้าสามารถช่วยข้าทําลายริ้วเมฆาอาคมแห่งนี้ได้ เบื้องหน้าต่อไปเจ้าย่อมได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลตลอดช่วงชีวิตอย่างที่เจ้าล้วนไม่ อาจจินตนาการได้”
เกอซีจ้องบุรุษเบื้องหน้าด้วยสีหน้าคล้ายจะกล่าว “เจ้ามันบ้า” ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ําเสียงเยาะหยัน “ต้องมี บางสิ่งผิดปกติกับสมองของเจ้าเป็นแน่อาจบางที่เจ้าถือ กําเนิดมาพร้อมอาการพิการทางสมอง ? เหตุผลใดกันที่ข้าต้องช่วยเจ้าทลายริ้วอาคมเมฆาแห่งนี้ ทั้งยังพล่ามเพ้อให้ข้าเป็นหนึ่งในผู้รับใช้คอยติดตามกระทําเชื่อฟังคํา เจ้า….อย่างเจ้าสมควรได้รับสิ่งเหล่านี้กระนั้นหรือ ?”
“เยี่ยม ! เยี่ยมมาก” ความร้ายกาจแสนอันตรายพลันฉายวบขึ้นในม่านตาของบุรุษผู้อยู่ในอาภรณ์สีดําตลอดเรือนกายอายสังหารเข้มข้นควบกลั่นรวมตัวแน่นในแววตา “เห็นที่ข้าคงต้องให้เจ้าได้รับบทเรียนแห่งการปราชัยอย่างสิ้นท่า เสียก่อนกระมัง เจ้าจึงจะยินยอมสยบให้แก่ข้า !”
**จบตอน หนีหายไร้ร่องรอยฟ้าฟ้า