หัตถ์เทวะธิดาพญายม - ตอนที่ 301 ศัตรูในท่ามกลางหนทางอันคับแคบ
หัตถ์เทวะธิดาพญายม ตอนที่ 301 ศัตรูในท่ามกลางหนทางอันคับแคบ
เกอซีฟังแล้วยังรู้สึกแปลกใจ ครั้นเพียงจะเอ่ยปากถามบุรุษผู้นั้นถึงหนทางการค้นหาใจกลางอาคม สายตาของนางพลันเหลือบไปเห็นบางสิ่งซึ่งอยู่ไกลห่างออกไป
แทบจะช่วงจังหวะเดียวกันนั้น น้ำเสียงแห่งความยินดีพลันเดินทางล่วงเลยผ่านมาจากม่านหมอกขาวหนา “พี่ใหญ่ ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่เอง ! ที่สุดพวกเราก็พบท่านแล้ว !”
เพียงได้ยิน ใบหน้าของเกอซีก็แปรเปลี่ยนโดยฉับพลัน ประกายแห่งจิตมุ่งสังหารปรากฏขึ้นในแววตา
นั่นคือน้ำเสียงของ…เฟิ่งเหลียนอิ่ง !
เพียงพริบตา เงาร่างของผู้คนนับสิบก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทีละคน
นอกไปเสียจากเฟิ่งเหลียนอิ่งผู้มีใบหน้าเอิบอิ่มไปด้วยความตื่นเต้นยินดีระคนประหลาดใจแล้ว ยังมี เนียจินเฉินผู้เดินเคียงกันมา รวมกระทั่งศิษย์น้อยใหญ่แห่งสํานักหลิวหลี บรรดาศิษย์ที่แวดล้อมเหล่านั้นล้วนมีพลังปราณระดับสูงสุดของขั้น 3 พลิกผันอเวจี ทว่าในหมู่คนพวกนั้นยังมียอดฝีมือระดับต้นของพลังปราณขั้นที่ 4 ปฐพีสะท้านสะเทือนอีกไม่กี่คนร่วมเดินทางมาด้วย
คนผู้นั้นคือองค์ชายสาม ฉางกวนรุ่ย กับทั้งอารักขาส่วนตัวผู้มีพลังฝีมือระดับปฐพีสะท้านสะเทือนผู้ซึ่งเกอซีเคยพบเจอที่ซุ้มประตูทางเข้าตําหนักราชันมัจจุราช
ใบหน้าของเกอซียามนี้แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง
ไม่คาดคิดเลยว่าแท้จริง บุรุษในอาภรณ์ดําสนิทผู้นั้น คือพี่ใหญ่ของเฟิ่งเหลียนอิ่ง ! ไม่แต่เพียงเท่านั้น ยามนี้ที่นางต้องปะทะกับศัตรูหน้าใหม่บนหนทางคับแคบในท่ามกลางหมอกขาวที่น่ากลัว กลับยังต้องมาเผชิญหน้ากับเฟิ่งเหลียนอิ่ง นางบัวขาวสารพัดพิษผู้นี้อย่างไม่คาดฝันอีก
แน่นอนว่าความสนใจทั้งหมดของเฟิ่งเหลียนอิ่งในยามนี้ถูกรวมไว้แต่เพียงบุรุษชุดดําเช่นนั้นจึงไม่ทันเห็นเกอซีแต่ประการใด
หากทว่าเพียงเมื่อนางหันบ่ายหน้ามา ดวงตาคู่งามกลับต้องเบิกกว้างอย่างเสียมิได้ เสียงร้องอุทานที่อัดแน่นไปด้วยความเกรียวกราดคับแค้นใจก้องดัง “นางแพศยา ? เหตุใดเจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ ?”
ฝ่ามือที่เกี่ยวรัดเถาวัลย์ม่วงอเวจีรั้งแน่นเข้า หยาดเหงื่อเย็นเริ่มผุดชุ่มในฝามือ
ทว่าภายนอก ใบหน้าของเกอซียังคงไร้อารมณ์ความรู้สึกน้ำเสียงเยาะหยันถูกขับออกไป “คําว่าแพศยานั้นเขาไว้ใช้เรียกผู้ใดกัน ?”
“แน่นอนคําว่าแพศยานั้นใช้เรียก” เพิ่ฟิ่งเหลียนอิ่งหลุดปากไปก็เพิ่งนึกได้ว่าตนหลุดปากอะไรออกไป เช่นนั้นนางจึงยิ่งหัวเสีย เสียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังกรอดเมื่อนางชักกระบี่เหินเวหาจ้วงแทงใส่เกอซี
เสียดายยิ่งที่เฟิ่งเหลียนอิ่งกลับหลงลืมไปว่าภายใต้หมอกขาวแห่งนี้นางไม่อาจขับใช้พลังปราณใด กระบี่เหินเวหาตวัดฟันออกไปได้ไม่ต่างใดกับกระบี่ยาวธรรมดาทั่วไป ยังอีกทั้งยามนี้ นางกลับกลายเป็นคนไร้ค่าที่ไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งแค่เพียงหักคอไก่
เฟิ่งเหลียนอิ่งจึงไสกระบี่อย่างงก ๆ เงิน ๆ ตรงเข้าไปก่อนจะถูกเกอซียั้งปลายกระบี่พร้อมยกฝาเท้าขึ้นถีบอัดท้องน้อยของเฟิ่งเหลียนอิ่งอย่างเต็มแรง
เฟิ่งเหลียนอิ่งกรีดร้องลั่น ร่างปลิดปลิวประดุจว่าวที่สายป่านขาดหลุดลอยก่อนจะตกลงกระแทกใส่พื้นอย่างหนัก
นางยกมือขึ้นกุมท้องส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวดใบหน้าซีดขาวราวซากศพ
ครั้นเมื่อเนียจินเฉินเห็นสตรีในดวงใจได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนั้น ภายในใจของเขาก็เจ็บปวด ชายหนุ่มรีบเข้ามาช่วยประคองนางให้ลุกนั่งก่อนจะช่วยป้อนโอสถใส่ปาก
“น้องหญิงเหลียนอิง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ?”
เฟิ่งเหลียนอิ่งกําหมัดแน่นกระทั่งปลายเล็บแทรกลึกผ่านเนื้อผิว น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวแทบเสียสติของนางสั่งคํา “สังหารมัน สังหารแพศยานั้นให้ข้า ! ข้าจะบดกระดูกมันให้ปนกระจายเป็นผงธุลี !”
“ได้ ได้ น้องหญิงเหลียนอิ่งวางใจเถิด ข้าจะต้องแก้แค้นให้เจ้าอย่างแน่นอน !”
พร้อมกันนั้น เนียจินเฉินรีบลุกขึ้นพร้อมหันไปตะเบ็งเสียงสั่งใส่บรรดาศิษย์สํานักหลิวหลีผู้ยืนเรียงอยู่ด้านหลัง
“สังหารเจ้าเด็กเหลือขอนั่น ฉีกร่างมันเป็นชิ้น ๆ ให้ข้า ! ผู้ใดสามารถจัดการสังหารมันได้ ข้าจะรายงานความดีความชอบแก่ท่านผู้นําตระกูล ทั้งจะให้คนผู้นั้นได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ความเป็นศิษย์สํานักชั้นใน !”
สิ้นสุดคํากล่าวนั้น แผ่นกลมบางสีเขียวชิ้นหนึ่งพลันปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือชายหนุ่ม
แต่แรก แผ่นกลมชิ้นนี้ดูไม่ผิดแปลกจากแผ่นกลมธรรมดาโดยทั่วไป ทว่าเมื่อเนียจินเฉินกัดปลายลิ้นให้หยาดโลหิตหยดลงบนแผ่นสีเขียวชิ้นนั้น ประกายแสงพร่างพรายนัยน์ตาเลือนลางด้วยแสงสีเขียวกระจ่างพลันโพลงขึ้น
อาวุธซึ่งแต่เดิมย่อมไร้สิ้นพลังทางจิตวิญญาณใด ยามนี้กลับสูบกลืนขุมพลังภายใต้ม่านหมอกขาวอย่างรวดเร็วฉับไว ทั้งยังเริ่มปลดปล่อยอายพลังเข้มข้นอย่างรุนแรงออกมา
หนุ่มน้อยวัยอ่อนผู้งดงามสง่าทว่ากลับแลดูอรชรอ่อนบางยืนตระหง่านท่ามกลางม่านหมอกขาวแต่เพียงลําพัง ในมือที่เกาะเกี่ยวเถาวัลย์สายสีม่วงสั่นกระตุกเล็กน้อย หากทว่ามุมปากของหนุ่มน้อยกลับขยักโค้งด้วยอาการเย้ยหยันอย่างดื้อดึง
***จบตอน ศัตรูในท่ามกลางหนทางอันคับแคบ***