ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 114 บุญคุณ
มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ?!
อวี้ถังหูผึ่งทันที นางอยากจะฟังต่อ น่าเสียดายที่ลานเรือนกับห้องน้ำชาห่างกันเพียงแค่สองจั้งเท่านั้น ต่อให้นางพยายามเดินให้ช้าอย่างไร ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวก็เดินถึงแล้ว นางจึงเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาเพื่อแอบฟังว่าพวกนางคุยอะไรกันต่อ
น่าเสียดายที่พวกนางคุยกันเสียงเบาไป ระยะกั้นกลางก็มิใช่ใกล้ๆ นางจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
อวี้ถังผิดหวังอย่างรุนแรง ตอนที่ตกแต่งโถงพิธีจึงใจลอยไปเรื่อย จนมือเกือบปัดถาดผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะยาวร่วงตก นางรวบรวมสติใหม่อีกครั้ง แล้วทุ่มความสนใจไปที่งานมงคลของอวี้หย่วน
พิธีรับตัวเจ้าสาวเป็นไปอย่างราบรื่น
เจ้าสาวลงจากเกี้ยว ไหว้ฟ้าดิน ส่งตัวเข้าห้องหอ อวี้ถังคล้องแขนคนสกุลเฉินตามไปดูเจ้าสาวด้วย
คุณหนูเซียงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดง บนศีรษะเต็มไปด้วยสร้อยไข่มุก แต่งตัวอย่างงดงามเฉิดฉาย เหล่าสตรีที่มาร่วมงานต่างเอ่ยชมไม่ขาดปาก คิดกันว่าสกุลอวี้หาคู่ครองได้ไม่เลวเลยทีเดียว
อวี้ถังในฐานะญาติผู้น้องของเจ้าบ่าว ย่อมต้องแสดงความใส่ใจต่อพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาให้มากหน่อย
นางกระซิบถามคนสกุลเซียงว่า “พี่สะใภ้ท้องหิวหรือไม่?” ทั้งเอ่ยต่อเพราะคิดช่วยอวี้หย่วนเอาใจคนสกุลเซียง “ตอนที่ท่านพี่ไปรับท่านก็กำชับข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้ข้าดูแลพี่สะใภ้เป็นอย่างดี ข้าแอบหยิบขนมเอาไว้นิดหน่อย หรือถ้าพี่สะใภ้อยากไปห้องน้ำก็บอกข้าได้ ข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว”
เจ้าสาวไม่อาจออกจากห้องหอได้ หากว่าสกุลฝ่ายชายไม่เตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า จะท้องหิวหรือกระหายก็ไม่มีแม้กระทั่งน้ำให้ดื่มด้วยซ้ำ
คนสกุลเซียงรู้แต่ต้นว่าแม้อวี้ถังเป็นญาติผู้น้องของอวี้หย่วน แต่สกุลอวี้สองบ้านมีเพียงพวกเขาสองพี่น้องเท่านั้น พวกเขาจึงเหมือนกับพี่น้องแท้ๆ จากมารดาท้องเดียวกัน และอวี้ถังก็เป็นน้องสามีเพียงคนเดียวของนาง นางย่อมประจบเอาใจให้มากหน่อย จึงรีบตอบไปว่า “แม่นมข้าก็ติดตามมาด้วยกัน นางมีทั้งถุงน้ำและของกิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเลย” พูดจบ นางก็ดึงถุงผ้าที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อออกมาแล้วยัดใส่มืออวี้ถัง กระซิบบอกนางด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นสิ่งที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เจ้า เมื่อครู่คนเยอะ ไม่สะดวกหยิบออกมา เจ้าก็นำไปซื้อดอกไม้ติดผมเถอะ”
พี่สะใภ้ช่างใจดีนัก อวี้ถังย่อมรับเอาไว้อย่างเปิดเผยยินดี
เพียงแต่ถุงผ้าที่อยู่ในมือช่างหนักอึ้ง อวี้ถังนึกสงสัยว่าที่เก็บอยู่ด้านในเป็นเงินก้อนหรือว่าเงินเม็ดแตง[1]กันแน่
แต่นับเป็นของขวัญพบว่าที่มีน้ำหนักพอดูเลย
อวี้ถังรู้สึกตื้นตัน กล่าวขอบคุณคนสกุลเซียงด้วยรอยยิ้มร่า จากนั้นก็คอยดูแลคนสกุลเซียงอยู่ข้างกายตลอด กระทั่งอวี้หย่วนคารวะสุราจากด้านนอกเรียบร้อยจนกลับเข้าห้อง นางถึงได้จากไป
วันที่สองคือวันรับญาติ คนสกุลเซียงเตรียมของขวัญเอาไว้ให้อวี้ถัง เป็นรองเท้าถุงเท้าปักคู่หนึ่งกับเสื้อคลุมตัวยาวสองชุดซึ่งถูกต้องตามธรรมเนียม ถุงเท้าทำจากผ้าชั้นดีแห่งซงเจียง รองเท้าก็ปักด้วยไข่มุกขนาดเท่าเมล็ดข้าว เสื้อคลุมตัวยาวทั้งสองชุด ชุดหนึ่งเป็นสีแดงสดเดินดิ้นทอง อีกชุดเป็นสีเหลืองเขียวจับคู่กัน งดงามแปลกตายิ่งนัก ตอนคนสกุลเฉินมาเห็นยังหลุดกิริยาของผู้อาวุโสแล้วอุทานออกมาว่า “ช่างสูงค่าเหลือเกิน”
อาจเพราะพออกพอใจในงานแต่งนี้ คนสกุลเซียงจึงยิ้มกว้าง ความยินดีแผ่ซ่านไปทั่วดวงตา
นางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “น้องสาวหน้าตาพริ้มเพรา ควรแต่งตัวให้สะสวยถึงจะถูก ท่านน้าพูดเช่นนี้ กลับทำให้ข้าละอายใจแล้ว”
คนสกุลเฉินคิดว่างานมงคลของอวี้ถังยังไม่กำหนดเป็นเรื่องเป็นราว เสื้อคลุมสองตัวนั้นนับว่างดงามไม่สามัญ นางเห็นแล้วก็ถูกใจยิ่งนัก จึงไม่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม บอกให้อวี้ถังกล่าวขอบคุณคนสกุลเซียงอีกครั้ง
อวี้ถังเข้าไปคล้องแขนคนสกุลเซียงอย่างสนิทสนม เรียกนางเสียงหวานว่า “พี่สะใภ้” ทำเอาคนสกุลเซียงที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเด็กผู้ชายสกุลเว่ยยิ้มรับหน้าบาน หากมิกลัวผิดธรรมเนียม นางคงถอดกำไลหยกที่เพิ่งสวมใส่แขนมอบให้อวี้ถังไปแล้ว
อวี้ถังตั้งใจแน่วแน่ที่จะสานสัมพันธ์กับคนสกุลเซียง…เมื่อวานตอนที่กลับเรือน นางเปิดถุงผ้าที่คนสกุลเซียงมอบให้ออกดู เห็นว่าด้านในล้วนเป็นเงินเม็ดแตงทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าคนสกุลเฉินให้ความสำคัญกับนางมากเพียงใด
วันที่สามหลังแต่งงานต้องกลับไปเยือนสกุลเก่า คนสกุลเซียงกับอวี้หย่วนเดินทางไปที่เรือนสกุลเว่ยด้วยกัน
พวกเขาต้องกลับไปเยือนสกุลเก่าถึงสองรอบ
รอบแรกคือเรือนสกุลเว่ย รอบสองอีกเก้าวันให้หลังต้องไปเรือนสกุลเซียง
โชคดีที่การกลับไปเยือนสกุลเก่าทั้งสองครั้งล้วนราบรื่นตลอดทาง
หลังจากจบงานแต่งสองสามีภรรยาก็เริ่มตรวจนับคลังเงินน้อยๆ ของตน เจ้าสาววุ่นวายกับการทำความรู้จักญาติพี่น้องของฝ่ายชายและเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
ช่วงนี้อวี้ถังให้คนไปตามสืบเรื่องงานมงคลของหลี่ตวน พบว่าประตูใหญ่ของสกุลหลี่ปิดแน่น ปฏิเสธการรับแขกโดยสิ้นเชิง
ได้ยินว่าฮูหยินหลี่ล้มป่วย ไปหาหมอรักษาตัวที่เมืองหังโจว หลี่ตวนก็ติดตามไปเพื่อดูแลนางด้วย
ชาวเมืองพากันซุบซิบ บอกว่าหลี่ตวนกตัญญูนัก กระทั่งตำราวิชาก็ไม่เล่าเรียนแล้ว ตามไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาถึงหังโจว ไม่รู้จะทำให้การสอบในปีหน้าต้องล่าช้าไปหรือไม่?
ทั้งยังซุบซิบต่อว่าฮูหยินหลี่ป่วยเป็นโรคอะไร ร้ายแรงหรือไม่ พลางทอดถอนใจบอกหากฮูหยินหลี่ไม่อาจพ้นเคราะห์ไปได้ จากอายุของใต้เท้าหลี่ คงต้องรับภรรยาใหม่เป็นแน่ ถึงเวลานั้นคุณชายทั้งสองของสกุลหลี่คงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขแล้ว
อวี้ถังได้ฟังก็เบะปาก แอบเสียดายเล็กน้อยที่ไม่มีข่าวที่นางสนใจอยากรู้
เวลานี้เหล่าสกุลเผิง สกุลเถาต่างก็แยกย้ายกลับจวนไปหมดแล้ว เผยเยี่ยนคะเนว่าสกุลอวี้คงสะสางธุระได้พอตัว จึงนัดอวี้เหวินไปดื่มชาที่จวนของตน
อวี้เหวินรู้ทันทีว่าต้องคุยเรื่องการประมูลเป็นแน่
เขาเห็นว่าคนสกุลเซียงฉลาดเฉลียวมีความสามารถ จึงถามอวี้หย่วนว่า “พาคนสกุลเซียงไปด้วยดีหรือไม่?”
อวี้หย่วนรีบตอบทันที “ให้นางอยู่ที่เรือนเถอะขอรับ! เรื่องแผนที่ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี!”
เหมือนกับคนสกุลหวังผู้เป็นมารดาและท่านน้าสกุลเฉินที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง ไม่อาจเพราะคนสกุลเซียงแต่งให้เขาแล้ว สามารถจัดการเรื่องราวได้ดี แล้วจะปฏิบัติต่อนางต่างออกไปจากผู้อื่นได้
ในเมื่อหลานชายไม่ว่ากระไร อวี้เหวินย่อมไม่อยาก่อเรื่องอีก
เขาประคองของขวัญที่เตรียมเอาไว้ให้เผยเยี่ยนใส่มืออวี้หย่วน “เจ้าถือดีๆ ล่ะ ระวังทำแตก!”
นี่เป็นแจกันหรู่เหยาทรงคอยาวสีท้องฟ้าคู่หนึ่ง
เขาฝากให้นายท่านอู่หาซื้อมาให้
นายท่านอู่ทุ่มเทความคิดกว้านหาของให้สกุลเขา แจกันสองใบนี้ต้องจ่ายเงินไปถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง นี่เพราะเห็นแก่หน้านายท่านอู่ ตอนนั้นนายท่านอู่ยังกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีเงินมากมายปานนี้ ยังเอ่ยอ้อมค้อมว่า “ยังมีประการังอีกคู่หนึ่ง สีแดง สูงสามฉื่อ จะมอบให้คนหรือเก็บเป็นไว้เป็นสินเดิมของบุตรสาวเจ้าก็ไม่น่าเกลียด ราคาแค่หนึ่งพันสองร้อยตำลึงเท่านั้น”
อวี้เหวินเลือกแจกันคู่นั้นอย่างไม่ลังเล
ตั๋วเงินที่ได้จากประมูลขายแผนที่ยังไม่ทันกอดให้หายร้อน อวี้เหวินก็จ่ายมันออกไปให้นายท่านอู่ถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึงแล้ว
นายท่ายอู่ถือเงินพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ บอกกับอวี้เหวินว่า “ข้าอยู่เรือนติดเจ้ามาตั้งนมนาน ไม่คิดว่าเจ้าจะเก็บซ่อนได้มิดชิดเพียงนี้ เงินทองในเรือนนับว่าแน่นหนาจริงๆ”
อวี้เหวินพลันหน้าแดงทันที เอ่ยว่า “นี่ต้องมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ย่อมต้องแสดงความจริงใจมากหน่อย”
นายท่านอู่ไม่ถามเรื่องผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้า ได้ยินแล้วก็ไม่ซักไซ้ต่อ เพียงรับเงินแล้วจากไป
อวี้หย่วนประคองแจกันสองใบวางลงกล่องผ้าไหมอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินทางพร้อมกับอวี้เหวินและอวี้ถังไปยังจวนสกุลเผย
เผยเยี่ยนอยู่ที่ห้องหนังสือซึ่งพวกเขาเคยพบกันครั้งแรก
วันนี้ท้องฟ้าสดใส พวกเขานั่งสนทนากันใต้ต้นการบูรในลานกว้างหน้าห้องหนังสือ
“ตอนงานประมูลเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น” เผยเยี่ยนอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมสีหม่น ผมดำขลับถูกมวยด้วยปิ่นไม้ไผ่ง่ายๆ ดูอารมณ์ดีไม่เลว เขานั่งปล่อยตัวตามสบายบนเก้าอี้ไท่ซือ “เดิมพวกนั้นวางแผนเอาไว้แล้ว แผนที่ผืนนั้นกลัวแต่ว่าไม่อาจประมูลได้ในราคาสูง ใครจะคิดว่าสกุลเถา สกุลเซิ่งและสกุลอิ้นจะร่วมมือกัน ส่วนสกุลอู่ สกุลซ่งและสกุลเผิงก็รวมเป็นอีกกลุ่ม ช่วยกันประมูลแผนที่ผืนนั้นไป สกุลลี่นั้นก็เหมือนคำเล่าลือที่ได้ยินมา พวกเขาไม่คิดสอดมือมายุ่งเรื่องนี้ แม้จะผิดจากแผนที่วางไว้แต่แรก แต่อย่างน้อยก็ไม่เกิดความอลหม่าน นับว่าสำเร็จลงด้วยดี”
อวี้เหวินไม่คิดปกปิดความซาบซึ้งของตนเลยสักนิด “ใช่แค่สำเร็จด้วยดีที่ไหนกัน เช่นนี้นับว่าประเสริฐอย่างมิอาจหาใดเปรียบแล้ว ทั้งไม่มีสกุลใดสกุลหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาเป็นเป้าโจมตี ทั้งไม่มีใครเหยียบย่ำทำลายคุณค่าของมัน หากว่าไม่ได้นายท่านสาม เรื่องนี้จะราบรื่นได้หรือ พูดขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก!”
เผยเยี่ยนตอบกลับด้วยวาจาเกรงใจไปหลายคำ
อวี้ถังคล้ายมีเรื่องจะพูดแต่ก็ชะงักไป
เผยเยี่ยนเห็นแล้วก็หัวเราะ “คุณหนูอวี้ต้องการพูดสิ่งใดก็กล่าวออกมาตรงๆ เถอะ หากข้ารู้ย่อมจะบอกอย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้นแน่”
คล้ายว่าจะอารมณ์เบิกบานไม่น้อยเลย
อวี้ถังจึงไม่เกรงอกเกรงใจอีก “สกุลเผิงกับสกุลซ่ง…”
ถ้านางจำไม่ผิด สกุลซ่งกับสกุลเผยเป็นญาติกันนี่นา
เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่แยแสว่า “อำนาจในแผ่นดินบางครั้งแตกแยกบางครั้งรวมกลุ่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติมิตร เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสกุลซ่ง เขาต้องการร่วมมือกับใคร เป็นการตัดสินใจของเขาเอง ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาย่อมแบกรับผลที่ตามมา พวกเราเป็นเพียงผู้ยืนดูอยู่ข้างๆ ทำได้แค่ตักเตือนเท่านั้น ไม่อาจบังคับให้เขาทำสิ่งใดได้”
ฟังจากน้ำเสียง กลับไม่คล้ายว่าไยดีต่อสกุลอู่ สกุลซ่งและสกุลเผิงเท่าไรนัก
อวี้ถังคิดถึงชาติก่อน ตอนที่เมืองซูโจวมีสกุลเจียงผงาดขึ้นมา
เห็นชัดว่าต่อให้ไม่มีงานประมูลในครั้งนี้ อีกไม่กี่ปีสกุลซ่งก็คงค่อยๆ เสื่อมความเจริญลงทุกวันอยู่ดี
บางทีนี่อาจเป็นความสามารถและกำลังของแต่ละคนกระมัง
นางแค่กลัวว่าหากสกุลเผิงกับสกุลซ่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลหลี่ย่อมไปพัวพันกับสกุลเผิง แล้วเผยเยี่ยนก็ต้องไปยืนข้างสกุลเผิงทางนั้น ตอนนี้ได้ฟังคำตอบของเขา ใจที่ลอยเคว้งถึงค่อยสงบลงได้
ภายหลังเผยเยี่ยนก็ถามถึงต้นซาจี๋ “เป็นอย่างไร? พวกมันไม่กี่ต้นปลูกรอดแล้วหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนพูดเอาไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่รอให้อวี้ถังส่งคนไปขุดต้นไม้ที่สกุลเผย หูซิ่งก็พาคนนำต้นไม้มาส่งถึงสกุลอวี้แล้ว อวี้เหวินไหว้วานท่านปู่ห้าให้ปลูกมันไว้แถบตีนเขา หลายวันนี้อวี้ถังก็ยังไม่มีเวลาแวะไปดู
“ข้าคิดว่าสองวันนี้จะไปดูมันเสียหน่อย” อวี้ถังตอบ “ท่านพ่อยกเรื่องที่นาให้ข้าจัดการเช่นกัน ข้าได้ยินมาจากท่านป้าที่เรือน บอกว่าหลายวันนี้กำลังแตกยอดอ่อนพอดี จะได้ถือโอกาสไปดูด้วยเลย”
พวกเขาปลูกข้าวนาน้ำ พอหว่านเมล็ดสักหลายวันถึงจะรู้ว่ามันปลูกขึ้นหรือไม่ หลังจากที่มันงอกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรออีกหลายเดือนถึงจะรู้ว่ามันให้ผลผลิตมากน้อยเพียงใด
อวี้ป๋อยกธุระเรื่องสวนป่าให้อวี้หย่วนดูแล อวี้เหวินครุ่นคิดว่าอวี้หย่วนก็สามารถช่วยเหลืออวี้ถังได้ จึงยกที่นาหนึ่งร้อยหมู่ให้อวี้ถังดูแลจัดการ
อวี้ถังอีกสองสามวันก็วางแผนจะไปที่บ้านเก่าพร้อมกับอวี้หย่วน ทั้งถือโอกาสไปดูต้นซาจี๋ที่ย้ายไปปลูกทางโน้นด้วย
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “หากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจ ก็ส่งคนมาถามหูซิ่งได้ ถ้าเกิดเขาไม่ว่าง ก็จะสั่งให้คนเบื้องล่างที่รู้ความไปช่วยเหลือเจ้าเอง”
อวี้ถังกล่าวขอบคุณเขาซ้ำไปซ้ำมา
เผยเยี่ยนพูดถึงเรื่องสกุลเผิงขึ้นมาว่า “พวกเขาน่าจะรู้แล้วว่าแผนที่สองผืนนั้นเหมือนกัน คงไม่มีทางปล่อยสกุลหลี่ไว้แน่ สกุลหลี่ทางนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะโบ้ยความผิดมาให้สกุลเจ้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าทางนั้นมีคนมากน้อยเท่าไรที่รู้เรื่องแผนที่ แต่ควรจะตอบกลับไปให้เหมือนกัน หากว่ามีคนมาถาม ก็ต้องกัดฟันตอบไปอย่างเดียวว่าไม่รู้เรื่อง สิ่งของที่เหลืออยู่ของหลู่ซิ่น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนคืนให้สกุลหลู่ไปแล้ว พวกเขาหากว่าไม่เชื่อ สามารถเชิญคนสกุลหลู่มาสอบถามได้”
หัวใจของอวี้ถังเริ่มบีบรัดกันแน่น
อวี้เหวินกล่าวอย่างกังวลว่า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว สกุลเรามีแค่พวกข้าสามคนที่รู้เรื่อง ไม่มีทางพูดเรื่อยเปื่อยออกไปแน่ ท่านวางใจได้เลย”
เผยเยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็พอใจกับความระมัดระวังของอวี้เหวิน เขาเอ่ยต่อว่า “หากว่าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ส่งคนมาแจ้งต่อข้า” ทั้งเสริมว่า “ข้าช่วยพวกเจ้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ใช่กับปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนาน หากกำจัดความเคลือบแคลงสงสัยของคนพวกนั้นได้อย่างเงียบเชียบย่อมจะดีที่สุด”
อวี้เหวินพยักหน้ารัวเร็ว
อาหมิงพลันวิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณชายบ้านรองสกุลกู้แห่งเมืองหังโจวให้คนมาส่งเทียบเชิญขอรับ บอกว่าพรุ่งนี้จะขอเข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน”
คุณชายใหญ่บ้านรองสกุลกู้ กู้ฉ่าง?
อวี้ถังตกตะลึงเป็นที่สุด
————————————————————-
[1]เงินเม็ดแตง เป็นคำเรียกเงินย่อยของสมัยโบราณ มีลักษณะเหมือนเม็ดฟักทอง นิยมใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในช่วงแรก ในประวัติศาสตร์จีน ‘เงินเม็ดแตง’ มักเป็นรางวัลที่ฮ่องเต้พระราชทานให้