ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 130 ขู่ขวัญ
ในสายตาของอวี้ถัง กู้ฉ่างช่วยเหลือกู้ซีเพราะผลประโยชน์หรือความสัมพันธ์ นับเป็นเรื่องที่แตกต่างกันอย่างมาก
ชาติก่อน กู้ฉ่างเป็นที่พึ่งพิงของกู้ซี
กู้ซีกล้าจัดการอวี้ถังเช่นนั้น ก็เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น กู้ฉ่างก็ยังคงยืนอยู่ข้างนาง!
เผยเยี่ยนปราดมองอวี้ถังแวบหนึ่ง “เจ้าไปฟ้องเรื่องกับสกุลกู้ ไม่ได้สืบสถานการณ์มาอย่างชัดเจนหรอกรึ? หากบ้านรองสกุลกู้ไม่มีกู้เจาหยาง เกรงว่าในการประชุมของสกุลคงจะไม่มีตำแหน่งของพวกเขาบ้านรองไปตั้งนานแล้ว”
ความนัยของวาจานี้คือ ในสกุลกู้ มีเพียงกู้ฉ่างที่มีอำนาจนี้
อวี้ถังย่อมรู้ดี ดังนั้นจึงได้ไปฟ้องเรื่องกับสกุลกู้
นางละล่ำละลักเอ่ย “ข้าทราบ ดังนั้นจึงคิดว่าคงเป็นคุณชายใหญ่กู้ออกหน้า สกุลกู้จึงสามารถถอนหมั้นกับสกุลหลี่ได้!”
เดิมทีอวี้ถังอยากอาศัยกู้ฉ่างในการจัดการหลี่ตวน
วันนี้สกุลกู้และสกุลหลี่ถอนหมั้น เป้าหมายนางไม่เพียงสำเร็จผล แต่ยังเกินกว่าที่นางคาดไปไกลมาก
นางยิ้มหวานดุจบุปผาแย้มบาน
ไม่มีสกุลกู้ ก็จัดการหลี่ตวนได้ง่ายขึ้นแล้ว
เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าอวี้ถังวางแผนอะไรในใจ เห็นนางยิ้มอย่างเริงร่า รู้สึกเป็นกังวลในใจ อดเอ่ยตักเตือนนางไม่ได้ “เจ้าก็อย่าได้คิดว่ากู้เจาหยางเป็นคนที่คบค้าสมาคมง่าย ช่วงเวลานี้กู้เจาหยางยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ แม้ว่าสกุลกู้จะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องงานแต่ง แต่ในใจของคุณหนูกู้คิดอย่างไร กลับไม่มีใครล่วงรู้ เจ้าเพียงแค่ฉวยโอกาสถูกจังหวะเท่านั้น ภายหลังหากยังทำเรื่องมุทะลุเช่นนี้อีก เกรงว่าจะไม่ได้จบง่ายดายขนาดนั้นแล้ว”
อวี้ถังพยักหน้าหงึกๆ รู้ว่าเรื่องนี้สำเร็จได้ นอกจากโอกาสประจวบเหมาะแล้ว ก็เป็นเพราะประสบการณ์ในชาติก่อนของนาง ไม่อาจนำมาโอ้อวดได้
เช่นนั้นนางควรจะเฝ้าระวังกู้ซีเสียหน่อยดีหรือไม่?
จากความเข้าใจที่นางมีต่อกู้ซี คนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
แววตาของอวี้ถังปรากฏความลังเลวาบผ่านขึ้นมา
เผยเยี่ยนเห็นก็อึดอัดใจ คิดว่าอวี้ถังไม่เชื่อคำพูดของเขา พยักหน้าส่งให้เขาอย่างขอไปทีเท่านั้น จึงเอ่ยต่อ “ขอแค่หลี่ตวนมีความสามารถหรือแผนการอยู่เล็กน้อย กู้เจาหยางก็คงไม่อาจออกหน้าช่วยน้องสาวถอนหมั้นหรอก หากเจ้าไม่เชื่อก็รอดูเถิด ต่อไปเขาย่อมหาสกุลที่สามารถช่วยเหลือเขา มาแต่งกับน้องสาวตนเองแน่”
อวี้ถังเชื่ออย่างนั้น
นางเอ่ยว่า “ในเมื่อการเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์เป็นเรื่องดี ก็ย่อมคาดหวังให้สามารถเพิ่มลายดอกลงบนผ้าแพร! คุณชายใหญ่กู้จะหาสกุลที่มีความสามารถช่วยเหลือเขาแต่งกับน้องสาวก็เป็นเรื่องปกติ อีกอย่าง ใครก็อยากให้สามีและน้องเขยของตัวเองเป็นคนโดดเด่นทั้งนั้น แต่เมื่อเป็นสามีภรรยา ความรู้สึกชอบพอของทั้งสองคนย่อมสำคัญกว่า กลัวเพียงว่างานแต่งของคุณหนูกู้จะไม่ได้เกิดขึ้นง่ายดายขนาดนั้น”
เผยเยี่ยนแค่นเสียงในลำคอ
บิดาของเขาก็ใส่ใจเรื่องความรู้สึกชอบพอ จึงให้พี่ใหญ่ของเขาแต่งกับคนสกุลหยาง
ผลเป็นอย่างไรล่ะ?
เขาอดเอ่ยอย่างเยือกเย็นไม่ได้ “ทั้งสองคนรู้สึกชอบพอกันแล้วอย่างไร? เช่นนั้นยังจะต้องพิถีพิถันเรื่องเหมาะสมคู่ควรไปทำไม? จะเห็นได้ว่า ความรู้ การอบรมบ่มนิสัย ความสามารถและสายตามองโลกของคนต่างหากที่สำคัญที่สุด ข้ากลับไม่เคยเห็นสามีภรรยาคู่ไหนที่รักใคร่ให้เกียรติกันทั้งชีวิตเพราะต่างมีความรู้สึกชอบพอให้กัน”
คำพูดนี้ทำให้อวี้ถังรู้สึกระคายหู
แม้นางจะกระจ่างใจดีว่าอารมณ์ของเผยเยี่ยนเอาแน่เอานอนไม่ได้ หากอยากประจบประแจง ก็ต้องปล่อยไปตามน้ำ แต่เมื่อนางคิดแล้วคิดอีก อดทนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว “รักใคร่ให้เกียรติย่อมเป็นเรื่องดี แต่สองสามีภรรยาใช้ชีวิตร่วมกัน พูดคุยรู้ใจกันคงสำคัญกว่ากระมัง? หากการเลือกสามีภรรยา จะให้ความสนใจแต่เรื่องวงศ์สกุลและความสามารถ เช่นนั้นยังต้องพบปะดูตัวกันไปทำไม? ก็เลือกจากใครมีความสามารถ สกุลใครสูงส่งร่ำรวยไปเลยไม่ดีกว่ารึ!”
แม่หนูคนนี้ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าต่อปากต่อคำกับเขา!
เผยเยี่ยนหงุดหงิดในใจ ใบหน้าดำคล้ำขึ้นมา “นี่เจ้ากำลังบอกข้าว่าควรเลือกคู่แบบไหนอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังแผ่นหลังเย็นวาบ หวนสติคืนมา แต่จะให้นางยอมรับว่าตัวเองผิดก็คงไม่อาจทำได้
นางรีบใช้สมอง เอ่ยประจบประแจง “ไม่ใช่ ไม่ใช่ นี่พวกเราก็แค่พูดคุยกันไม่ใช่รึ? พูดคุยก็เป็นเช่นนี้ มีอะไรก็คุยกันไป? อยากพูดอันใดก็พูดไม่ใช่รึ?”
นี่คือจะไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดสินะ!
ทั้งยังใช้คำตอบซื่อบื้อเช่นนี้หลบหลีกคำถามของเขา
เผยเยี่ยนโมโหจนอยากหัวเราะ เมื่อเงยหน้ากลับพบอวี้ถังเผยยิ้มอย่างประจบประแจง
จู่ๆ เขาก็พูดไม่ออกเสียอย่างนั้น
คุณหนูอวี้ก็เป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีความคิดความอ่าน เขาคงไม่ได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปกระมัง
ทั้งก็เหมือนดั่งที่คุณหนูอวี้กล่าว การพูดคุย ก็เพียงพูดจาโต้ตอบตามใจนึกเท่านั้น หากเรื่องแค่นี้ยังต้องตัดสินถูกผิด แพ้ชนะออกมา แล้วใครยังจะกล้าคุยเล่นกันอีก!
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติเขาก็ไม่ใช่คนเช่นนั้น
แม้จะในยามที่เป็นซู่จี๋ซื่อ ทุกคนถกเถียงเรื่องการเมืองกัน มีคนไม่เห็นด้วย มีคนโต้แย้ง ก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ปกติเขาก็มักเผยยิ้มจบเรื่องจบราวไป ไฉนมาอยู่กับคุณหนูอวี้ที่นี่ เขากลับเป็นเช่นนี้เสียล่ะ?
เผยเยี่ยนคิดทบทวนตัวเอง
อวี้ถังเห็นเผยเยี่ยนไม่เอ่ยอะไร ใบหน้าก็ไม่เผยท่าทียินดีหรือโมโห ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ระหว่างทั้งสองพลันเงียบสงัด บรรยากาศกระอักกระอ่วนขึ้นมาอยู่บ้าง
อวี้ถังทำได้เพียงหาเรื่องมาพูด นึกถึงอีกหนึ่งจุดประสงค์ที่ตัวเองมา เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายท่านสาม นายท่านหลี่คนนั้นรับตำแหน่งที่สำนักทงเจิ้ง ไม่ใช่ว่าคนในสกุลมารดานายหญิงใหญ่ของท่านก็อยู่ในสำนักนั้นหรอกรึ? เช่นนั้นสำนักทงเจิ้งทำอะไร? เป็นสำนักที่เก่งกาจมากใช่หรือไม่?”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แฝงความระมัดระวัง คล้ายกับปีศาจตัวน้อยที่กำลังหยั่งเชิงอย่างรอบคอบ
เผยเยี่ยนได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
หรือเพราะเมื่อครู่เขาย้อนมองตัวเองจึงได้ผ่อนปรนให้คุณหนูอวี้มากขึ้นไปอีก?
เขาขบคิดอยู่ในใจ เอ่ยรับว่า ‘อืม’ แผ่วเบา พลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าคุณหนูอวี้ก็รู้เกี่ยวกับเรื่องสกุลของเขาไม่น้อยเช่นกัน เขาพลันสงสัยว่าอวี้ถังทราบเรื่องราวสกุลพวกเขามากน้อยแค่ไหน จึงจงใจละทิ้งคำถาม ‘สำนักทงเจิ้งทำอะไร’ ไปตรงๆ กลับเอ่ยว่า “เจ้ารู้ว่าสกุลมารดาของนายหญิงใหญ่มีพี่น้องทำงานในสำนักทงเจิ้งอย่างนั้นรึ?”
จากน้ำเสียงของเผยเยี่ยนทำให้อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกำลังสอดแนมเรื่องส่วนตัวของสกุลเผยอยู่
แท้จริงแล้ว ยามที่หาเรื่องมาพูดก็ไม่ควรจะเอ่ยหัวข้ออ่อนไหวเช่นนี้
นางรู้สึกเสียใจภายหลังไม่น้อย ละล่ำละลักเอ่ย “ก็ไม่ใช่รึ! ยามที่ท่านผู้เฒ่าล่วงลับ สกุลพวกเราก็มาเคารพศพท่านผู้เฒ่าเช่นกัน ข้าได้ยินมาจากแขกที่มาร่วมงาน” พูดถึงตรงนี้ นางก็อดมองเผยเยี่ยนอย่างกังวลไม่ได้
ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนให้ความคุ้มครองช่วยเหลือสกุลพวกนางไม่น้อย ทั้งเผยเยี่ยนก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับบ้านใหญ่ นางกลัวว่าหลังจากหลี่อี้ไปอยู่ในสำนักทงเจิ้งจะเกาะแกะกับสกุลหยาง ไม่เป็นผลดีกับเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนมองอย่างทะลุปรุโปร่ง
นางได้ยินข่าวลือพวกนั้น จึงรู้ว่าเขาและบ้านใหญ่ขัดแย้งกันกระมัง!
แต่ว่า เมืองหลินอันในยามนี้ยังมีคนที่ไม่รู้ว่าเขาขัดแย้งกับบ้านใหญ่อยู่รึ?
เกรงว่าคงจะไม่มีกระมัง?
เด็กสาวผู้นี้กำลังกังวลว่าสกุลหลี่อาจจะสร้างปัญหาให้เขา
ยังนับว่ามีจิตใจที่ดี
ไม่เสียแรงที่เขาช่วยนางไว้หลายครั้งหลายคราว
เผยเยี่ยนแค่นยิ้มกับตัวเอง ใบหน้ากลับไม่เผยท่าทีอันใด ผงกศีรษะให้กับอวี้ถังทั้งสีหน้าไร้อารมณ์ กลับลอบชื่นใจไม่น้อย เอ่ยอธิบายอย่างละเอียด “ขุนนางระดับสูงสำนักทงเจิ้ง เจ้ากรมของหกกรม เจ้ากรมฝ่ายตรวจการ ขุนนางระดับสูงศาลต้าหลี่ถูกเรียกว่าต้าจิ่วชิง ขุนนางระดับสูงสำนักไท่ชาง ขุนนางระดับสูงสำนักไท่พู ขุนนางระดับสูงสำนักกวงลู่[1] ขุนนางระดับสูงสำนักจันซื่อฝู่[2]ขุนนางระดับสูงสำนักราชบัณฑิตหลวง ขุนนางระดับสูงสำนักหงหลู่[3]หัวหน้าสำนักกั๋วจื่อเจี้ยน ขุนนางระดับสูงสำนักพิทักษ์อาชา ขุนนางระดับสูงสำนักซั่งเป่า[4]ถูกเรียกว่าเสียวจิ่วชิง คนพวกนี้ล้วนมีคุณสมบัติเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ว่ากิจธุระของราชสำนักในการประชุมขุนนาง หากเจ้าอยากเข้าใจมากกว่านี้ ก็ไปถามนายท่านอวี้ได้ นายท่านอวี้ย่อมรู้เช่นกัน”
อวี้ถังลอบตกตะลึง
นางทราบอยู่ว่าต้าจิ่วชิงและเสียวจิ่วชิงยอดเยี่ยมเพียงใด แต่นางกลับไม่รู้ว่าหัวหน้าสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็จัดรวมอยู่ในเสียวจิ่วชิงเช่นกัน
เช่นนั้นสกุลหยางก็มีความสามารถมิใช่เล่น
ลูกชายเป็นต้าจิ่วชิง บิดาเป็นเสียวจิ่วชิง ยังมีลูกชายอีกคนอยู่ในสำนักไท่ฉาง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่สกุลเผยมีมีลุงน้ากี่คนกัน? ล้วนแต่เก่งกาจทั้งหมดหรือไม่
ไม่รู้ว่าเหตุใดเผยเยี่ยนจึงไม่ยอบรับเรื่องงานแต่งของสกุลมารดานายหญิงใหญ่? เป็นเพราะเมื่อก่อนก็ไม่ลงรอยกับนายท่านใหญ่อยู่แล้วหรือเพียงไม่อยากสานสัมพันธ์กับสกุลหยางเท่านั้น?
เช่นนั้นเจ้ากรมพิธีการและมหาบัณฑิตหอเหวินหยวนสกุลหลีที่ทำให้เผยเยี่ยนชื่นชมได้จะไม่ยิ่งเยี่ยมยอดกว่าหรอกรึ?
กระทั่งนางยังคิดว่าหลี่อี้เข้าสำนักทงเจิ้งไปอาจไม่เป็นผลดีกับเผยเยี่ยน เช่นนั้นเผยเยี่ยนก็คงจะตระหนักได้มากกว่านางเช่นกัน
เขาคงวางแผนรับมือตั้งนานแล้วกระมัง?
อวี้ถังพยักหน้า คิดว่าตัวเองไม่ควรเป็นห่วงเผยเยี่ยน แต่ก็ไม่อาจหยุดคิดได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทั้งนั้น หากเผยเยี่ยนเกิดปัญหาอะไรเพราะเรื่องนี้จริงๆ ล่ะ?
สมองนางแล่นอย่างว่องไว ใจล่องลอยอยู่บ้าง
หญิงสาวหลายคนมักฉลาดกับเรื่องอื่นๆ แต่เมื่อเป็นเรื่องของราชสำนักกลับสับสนมึนงง ต้องพูดกันค่อนวันจึงจะสามารถเข้าใจ
เผยเยี่ยนคิดว่าอวี้ถังก็อาจเป็นอย่างนั้นเช่นกัน เดิมทีก็ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกันแน่ ยามที่กำลังลังเลว่าจะอธิบายให้นางฟังอย่างละเอียดอีกครั้งดีหรือไม่ เผยชี ผู้รับใช้ติดตามของเขากลับก้าวฝีเท้าเร็วเข้ามาก่อน หลังจากคำนับเขาแล้ว ก็ค้อมศีรษะกล่าว “นายท่านสาม นายท่านหกกู้ของสกุลกู้แห่งหังโจวให้คนส่งเทียบเชิญมาขอรับ กล่าวว่าจะกลับเมืองหลวงแล้ว พรุ่งนี้จะมาบอกลาท่าน”
กู้ฉ่างกลับเมืองหลวง ยังต้องมาบอกลาเผยเยี่ยนด้วยตัวเอง? พวกเขาสนิทชิดเชื้อขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทั้งเผยเยี่ยนยังเคยพูดว่ากู้ฉ่างไม่ใช่คนดีอะไรอีก?
อวี้ถังมองไปทางเผยเยี่ยน ดวงตากลมโตนั้นเต็มไปด้วยความสงสัย
เผยเยี่ยนกลับขมวดคิ้ว
เขาได้พูดออกไปอย่างชัดเจนแล้ว เขาไม่อาจกลับมารับราชการ ทั้งไม่อาจเข้าร่วมแก่งแย่งผลประโยชน์แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายภายในนั้นอีก กู้ฉ่างกลับทำเหมือนไม่เข้าใจ เสิ่นซ่านเหยียนไม่อยากมาพบเขาเป็นเพื่อนกู้ฉ่างอีก กู้ฉ่างก็มาคนเดียว หลังจากกลับไหวอัน กู้ฉ่างก็เขียนจดหมาย ทั้งส่งของให้เขาหลายต่อหลายครั้ง ครั้งนี้ออกตรวจราชการเสร็จแล้วต้องกลับเมืองหลวง ยังจะมาบอกลาเขาด้วยตัวเองอีก
กู้ฉ่างกำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
เผยเยี่ยนถือเทียบเชิญอย่างนิ่งเงียบอยู่พักใหญ่
อวี้ถังก็ไม่อาจรบกวน จึงกลอกสายตามองไปทั่ว
นางพบว่าคนที่มาส่งจดหมายให้เผยเยี่ยนกับคนที่ยกเก้าอี้มาให้นางเป็นคนละคนกัน
ผู้ที่ยกเก้าอี้มาให้นางเป็นชายหนุ่มอายุประมาณสามสิบปี รูปร่างสมส่วน ผอมแห้งอยู่บ้าง ดูเงียบขรึม ว่าง่ายเชื่อฟัง พาให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ ‘ทำมากกว่าพูด’
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นชายวัยยี่สิบต้นๆ รูปร่างผอมสูง หน้าตามีสง่าราศี มองไม่เห็นความอ่อนน้อมถ่อมตัวเหมือนบ่าวทั่วไป กลับเผยความเปล่งประกายของเด็กหนุ่มออกมา
อวี้ถังลอบชื่นชมในใจ
พ่อบ้านใหญ่เผยก็เช่นกัน ไม่เหมือนกับบ่าวทั่วไป
ยังมีเจ้าเจิ้น คนขับรถของเผยเยี่ยนอีกคน
ก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนมีผู้ติดตามเช่นนี้ได้อย่างไร
อวี้ถังขบคิด เห็นเพียงเผยเยี่ยนส่งเทียบเชิญคืนไปให้ผู้รับใช้ติดตามที่อยู่เบื้องหน้า “ข้าไม่พบ!”
ตรงๆ เช่นนี้!
อวี้ถังและเผยชีพากันเบิกตาโต
เผยชีรู้สึกว่านับว่านายท่านสามของพวกเขาก็นิสัยแย่ลงเรื่อยๆ เขาเอ่ยโน้มน้าว “ไม่อย่างนั้น พูดไปว่าท่านไม่อยู่เรือนดีหรือไม่ขอรับ?”
อย่างไรก็ดีกว่าการปฏิเสธไปตรงๆ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร กู้ฉ่างก็ไม่ใช่คนที่ใครจะคิดล่วงเกินดูหมิ่นได้ง่ายๆ
ทั้งไม่มีความขัดแย้งอะไร ไฉนจะต้องผูกบัญชีแค้นกับกู้ฉ่างด้วยเล่า!
เผยเยี่ยนกลับเอ่ย “เจ้าก็พูดเช่นนั้นแหละ!”
เผยชีจึงถอนตัวกลับออกไปด้วยใบหน้าเจื่อน
———————–
[1]สำนักกวงลู่ คือหน่วยงานที่ดูแลพิธีเซ่นไหว้ และงานเลี้ยงในวังหลวง
[2]สำนักจันซื่อฝู่ คือหน่วยงานที่ดูแลจัดการกิจธุระต่างๆ ของวังบูรพา ที่พำนักของรัชทายาท
[3]สำนักหงหลู่ คือหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลระเบียบในการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง
[4]สำนักซั่งเป่า คือหน่วยงานที่ดูแลเรื่องตราประทับลัญจกรของฮ่องเต้