ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 150 แบบภาพวาด
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเข้าใกล้ความจริง
แต่น่าเสียดายที่รื่อเจ้าห่างจากที่นี่มาก ต่อให้นางเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ยากจะสืบหาความจริง อีกอย่างหากคำนวณเวลาดู เรื่องนี้ได้กลายเป็นคดีที่ตัดสินอย่างไม่เป็นธรรมไปแล้ว นางก็ไม่รู้ว่าตัวเองยังสามารถทำอะไรได้อีก
แต่นางมั่นใจแปดในสิบเชียวว่า ที่นาปลอดภาษีห้าสิบหมู่นั่น มีจุดประสงค์เพื่อฟอกเงินทุจริตซึ่งได้มาจากการเป็นข้าหลวงที่รื่อเจ้าให้กลายเป็นเงินสะอาดอีกที
นางแทบจะนั่งไม่ติดอยู่แล้ว
หลี่อี้รับตำแหน่งข้าหลวงที่รื่อเจ้าถึงเจ็ดแปดปี หากมีใจคิดคด ย่อมมิได้มีเพียงคดีที่ตัดสินผิดแน่ ที่แท้เขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร บัดนี้ได้รับราชการในเมืองหลวง อำนาจยิ่งเพิ่มกว่าเก่า ได้เกี่ยวพันกับคนและปัญหามากกว่าเดิม ใครจะรู้ว่าเขายังจะทำเรื่องไร้คุณธรรมอะไรออกมาได้อีก
จะว่าไปแล้ว สกุลนางก็นับเป็นผู้เสียหายเช่นกัน!
หากมิใช่หลี่อี้มีตำแหน่งเป็นขุนนาง สกุลหลี่จะใจกล้าถึงขนาดคิดฆ่าคนรึ?
อวี้ถังพลันชิงชังเคียดแค้นราวกับมีศัตรูคนเดียวกัน คิดว่าตอนที่ยังไม่รู้เรื่องก็ช่างเถอะ หากว่ารู้แล้วแต่กลับไม่คิดทำอะไรสักอย่างเพื่อทำลายสกุลหลี่ เช่นนี้จะคืนความเป็นธรรมให้เว่ยเสี่ยวซานที่ตายไปได้อย่างไร?
นางพลันกระเด้งตัวลุกจากเตียง ร้องเรียกให้อาเสาเข้าไปหา “เจ้าช่วยไปถามพ่อบ้านหูให้ข้าที ว่านายท่านสามมีเวลาว่างเมื่อใดบ้าง ข้ามีเรื่องอยากขอพบนายท่านสามสักหน่อย”
ในบรรดาคนที่อวี้ถังรู้จัก มีเพียงเผยเยี่ยนที่มีกำลังพอจะตามสืบได้ว่าหลี่อี้เคยทำเรื่องอะไรไว้บ้าง
นางต้องการความช่วยเหลือจากเผยเยี่ยน
อาเสารับคำสั่งแล้วจากไป ครึ่งชั่วยามถัดมาเขาก็กลับมาบอกนางว่า “สวนส้มของสกุลเผยที่จี๋อันสุกแล้ว นายท่านสามไปขายส้มที่จี๋อันขอรับ พรุ่งนี้ค่ำจึงจะกลับ ถามว่าเป็นเรื่องด่วนหรือไม่? ถ้าด่วน ขอให้ท่านเขียนจดหมายถึงนายท่านสาม ถ้าไม่ด่วน ก็รอนายท่านสามกลับมาแล้วค่อยนัดเวลาขอรับ”
ด่วน แต่ก็ไม่ด่วนถึงขั้นรอข้ามวันไม่ได้
ทว่า เผยเยี่ยนไปขายส้ม…คืออะไรน่ะ?
ส้มมีวางขายที่ตลาดในฤดูนี้ด้วยรึ?
เทียบกับเรื่องของหลี่อี้แล้ว อวี้ถังกลับอยากรู้เรื่องที่เผยเยี่ยนไปขายส้มมากกว่า
นางเอ่ยว่า “เจ้าไปบอกพ่อบ้านหูไว้สักคำ รอนายท่านสามกลับมาแล้วค่อยนัดเวลาใหม่”
อาเสาวิ่งตึงๆ ออกไปอีกรอบ
หม่าซิ่วเหนียงให้สี่เชวี่ยมาส่งข่าว เชิญนางไปกินอาหารกลางวันที่เรือน
อวี้ถังแจ้งต่อมารดาไว้ หยิบดอกไม้ผ้าที่ทำเองติดไปด้วยสองดอก แล้วไปที่เรือนสกุลจางกับซวงเถา
หม่าซิ่วเหนียงกำลังสั่งการหญิงรับใช้ในครัวให้ผัดหัวหมูอยู่ พอเห็นนางมาถึงแล้ว ก็เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนก่อนจะเดินออกมาจากห้องครัว
อวี้ถังเดินผ่านประตูชั้นสองก็ได้กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล รีบสาวเท้าเข้าไปทักทายทันที “ทำของอร่อยอะไรรึ? ข้ามาหาแบบนี้ คงไม่รบกวนเจ้ากระมัง?”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ!” หม่าซิ่วเหนียงเห็นนางฉีกยิ้มแฉ่ง ดวงหน้าน้อยเหมือนบุปผาหน้าร้อนที่สดใส งดงามจนทำให้คนตาพร่าลายไปหมด จึงอดจะหยิกแก้มเล็กๆ นั่นไม่ได้ “ในเมื่อเรียกเจ้ามา ย่อมไม่มีสิ่งใดไม่เหมาะสม พี่เขยเจ้าออกไปทำงาน กลางวันไม่กลับมากินข้าว ยัยตัวน้อยฉิงเอ๋อร์นั่นก็เอาแต่นอนทั้งวัน เหมือนกับลูกหมูเหลือเกิน เจ้าไม่ต้องสนใจนางหรอก”
สองคนสนทนากัน แล้วจูงมือกันเดินเข้าห้องไป
สี่เชวี่ยประคองขนมและน้ำชาเข้ามาให้
สองคนหนึ่งนั่งเก้าอี้ประธานหนึ่งนั่งเก้าอี้ที่ถัดลงมา ถามสารทุกข์สุกดิบสองสามคำ จากนั้นหม่าซิ่วเหนียงก็บอกว่าเชิญนางมาเพราะมีจุดประสงค์ “ที่จริงข้าควรไปพบเจ้าเอง แต่ฉิงเอ๋อร์ยังเล็ก ตั้งแต่คลอดออกมาก็ไม่เคยห่างข้าเลยสักครั้ง ข้าไม่วางใจทิ้งนางไว้ที่เรือนคนเดียว ถึงต้องเรียกเจ้ามาแบบนี้ ข้าอยากจะถามเจ้าหน่อย คราวก่อนที่บอกให้พี่เขยเจ้าช่วยวาดแบบภาพให้ร้านค้าของสกุลเจ้านั้น ยังต้องการคนช่วยอยู่หรือไม่?” พูดถึงตรงนี้ นางก็เริ่มหน้าแดง
อวี้ถังดีใจมาก รีบตอบว่า “ต้องการสิๆ ก็ยังขาดแบบภาพอยู่นี่แหละ หากว่าพี่เขยยอมช่วยก็ประเสริฐนัก ต้องถามว่าพี่สาวอยากให้ข้าขายหนึ่งชิ้นจ่ายหนึ่งชิ้นดี? หรือว่าอยากจะให้เหมาจ่ายทั้งหมดเพียงครั้งเดียว?”
หม่าซิ่วเหนียงไม่รู้ความแตกต่างระหว่างสองสิ่ง จึงไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
อวี้ถังชาติก่อนเพราะเรื่องของอวี้หย่วน จึงค่อนข้างใส่ใจเรื่องการค้าขาย เคยพูดคุยกับพวกเถ้าแก่ที่ร้านอยู่บ้าง รู้ว่ามีเพียงการพูดคุยภาษาพ่อค้าถึงจะทำมาค้าขายได้ยาวไกล หม่าซิ่วเหนียงไม่ถาม นางจึงเลือกเปิดปากก่อน “ขายหนึ่งชิ้นจ่ายหนึ่งชิ้น ก็คือพวกเราตกลงเรื่องส่วนแบ่งกันให้เรียบร้อยก่อน อย่างเช่นว่า แบบภาพวาดที่อยู่บนกล่องกระจกพับ กล่องกระจกพับราคาหนึ่งตำลึง ทุกชิ้นที่ขายออกไป ต้องแบ่งให้เจ้าสิบอีแปะ แต่ถ้าจ่ายเหมาครั้งเดียว ก็คือจ่ายค่าภาพตามราคาจริง แล้วพวกเราสามารถเอาภาพไปใช้ได้ตามใจ ตอนนี้สกุลข้าจ้างจิตรกรมาจากข้างนอก ภาพหนึ่งแผ่นขายประมาณหนึ่งตำลึง แต่ของพี่เขยไม่เหมือนกัน ภาพของพี่เขยวาดได้งดงาม หากยินดีจะขายให้สกุลข้า พวกเราต้องเสนอราคาเพิ่มเป็นสองเท่าแน่ พี่สาว เจ้าก็ดูว่าสะดวกแบบไหน สกุลข้านั้นสามารถทำได้ทั้งสิ้น”
หม่าซิ่วเหนียงหากมิใช่รอเอาเงินไปใช้จ่ายก็คงไม่ยุจางฮุ่ยวาดแบบภาพให้สกุลอวี้ ทั้งจางฮุ่ยยังตกลงกับหม่าซิ่วเหนียงว่าจะวาดให้เพียงยี่สิบภาพเท่านั้น อีกอย่างนางก็ไม่รู้ว่าแบบภาพที่จางฮุ่ยวาดจะทำเงินให้สกุลอวี้ได้มากน้อยเท่าไร?
ดวงหน้านางยิ่งแดงมากกว่าเก่า นางเอ่ยเสียงค่อยว่า “สถานการณ์ของเรือนข้าเจ้าก็รู้อยู่…”
อวี้ถังได้ยินก็เข้าใจทันที รีบบอกว่า “เช่นนี้ก็ได้ ขายทั้งหมดให้สกุลข้าก็แล้วกัน ที่ข้าพูดแบบนั้น เพราะจิตรกรบางคนก็ชอบให้ขายหนึ่งชิ้นจ่ายหนึ่งชิ้น พี่สาวไม่เคยสัมผัสเรื่องพวกนี้มาก่อน ข้าก็เลยอธิบายให้เจ้าเข้าใจเท่านั้นเอง เจ้าก็สงบใจแล้วให้พี่เขยวาดแบบภาพออกมาก็พอ ส่วนเรื่องอื่น ยกให้เป็นหน้าที่ข้า!”
เมื่อนางพูดแบบนี้ หม่าซิ่วเหนียงก็ยิ่งละอายใจ “พี่เขยเจ้า คิดจะวาดเพียงยี่สิบภาพเท่านั้น”
อวี้ถังคิดอยู่แล้วว่าจางซิ่วไฉคงไม่วาดรูปให้ไปตลอด นางจึงไม่ได้ผิดหวัง แต่กลับดีใจที่จางฮุ่ยสามารถวาดภาพให้นางได้มากกว่า “ยี่สิบก็ยี่สิบสิ อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้เลยสักภาพ พี่สาว เจ้าจะให้ข้ามารับภาพสักเมื่อไรดี?”
หม่าซิ่วเหนียงหลุดขำ “พี่เขยเจ้าเพิ่งจะถูกข้ากล่อมสำเร็จเอง คงไม่รวดเร็วถึงปานนั้น แต่สกุลเจ้าต้องการภาพวาดแบบไหนก็บอกกับข้าได้ ข้าจะไปเร่งพี่เขยเจ้าให้รีบวาดออกมา”
อวี้ถังตอบว่า “ภาพสิ่งของสวยงามในห้องหนังสือก็ได้”
สกุลนางไม่ขาดแคลนภาพวาดท่านเซียนเผิงจู่หรือเทพธิดาหมากู่เทือกๆ นั้นอยู่แล้ว อยากจะได้ของสวยงามที่ทำให้บัณฑิตชื่นชอบเสียมากกว่า
หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “เอาล่ะ! ข้ารู้แล้ว เจ้ากลับไปรอฟังข่าวอย่างสงบใจเถอะ”
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณหม่าซิ่วเหนียงไม่ขาดปาก
หม่าซิ่วเหนียงดึงมืออวี้ถังไว้ เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เป็นข้าที่ควรขอบคุณเจ้า”
ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่สองฝ่ายต่างได้ประโยชน์ อวี้ถังกลับทำเหมือนว่าสกุลอวี้ได้กำไรจากพวกนางอยู่ฝ่ายเดียว
หม่าซิ่วเหนียงพลันรู้สึกโชคดีมากที่ตนเองมีอวี้ถังเป็นสหาย นางกลับไม่รู้เลยว่า อวี้ถังดีใจเพียงใดที่ชาตินี้ไม่ได้คลาดแคล้วกับนาง และมีนางเป็นเพื่อนรัก
พอออกจากเรือนสกุลจาง อวี้ถังก็ไปร้านค้าสกุลอวี้ที่ถนนฉางซิ่งต่อ
จากที่ไกลๆ อวี้ถังเห็นซย่าผิงกุ้ยกับซย่าเหลียนสาวใช้คนสกุลเซียงยืนคุยกันอยู่หน้าร้าน ในมือของซย่าเหลียนถือข้าวกล่องไว้อยู่
นางเดาว่าซย่าเหลียนคงรับคำสั่งจากพี่สะใภ้ให้มาส่งอาหารกลางวันแก่ญาติผู้พี่
อวี้ถังเม้มปากยิ้มๆ
ในร้านพวกลูกศิษย์จะเป็นคนทำอาหาร แน่นอนว่าคงสู้ที่เรือนไม่ได้อยู่แล้ว พี่สะใภ้คงปวดใจที่ญาติผู้พี่ไม่ได้กินอาหารดีๆ กระมัง
แต่พอนางเดินเข้าไปใกล้ๆ จึงค้นพบว่า รอยยิ้มของซย่าผิงกุ้ยกับซย่าเหลียนนั้นออกจะเปล่งประกายมากเกินไปหน่อย
ในใจของอวี้ถังพลันเกิดความฉงนแวบผ่าน
พอเห็นนาง ซย่าผิงกุ้ยกับซย่าเหลียนต่างกระโดดหนีไปคนละทิศราวกับเป็นแมวที่โดนเหยียบหาง ซย่าผิงกุ้ยยังเอ่ยทักทายนางด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้นมากกว่าปกติถึงหนึ่งร้อยเท่า “คุณ คุณหนู ท่านมาที่นี่ ท่านมาหาเถ้าแก่หรือว่าเถ้าแก่น้อยขอรับ? เถ้าแก่ออกไปหาอาจารย์เซี่ยงยังไม่กลับ เถ้าแก่น้อยเฝ้าร้านอยู่ด้านใน ข้าพาท่านเข้าไปดีกว่า!” พูดจบก็หลุบตาลงต่ำ คล้ายแมลงวันไร้หัวที่พุ่งไปมาอย่างไม่รู้ทิศ
ซย่าเหลียนก็เปิดปากด้วยเสียงอึกๆ อักๆ “คุณหนู ข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ ข้าออกมาส่งอาหารให้เถ้าแก่น้อย นายหญิงน้อยยังรอข้าอยู่เจ้าค่ะ” จากนั้นนางก็เผ่นหายวับไป
นางน่ากลัวขนาดนั้นเชียว?
อวี้ถังงึมงำในใจ พลันเข้าใจอะไรๆ ขึ้นมาทันที
ซย่าผิงกุ้ยคงไม่ได้คิดกับซย่าเหลียน…
สีหน้านางไม่แสดงออก ทว่ามารร้ายในใจกำลังหัวเราะหึๆ อยู่
ชาติก่อน ตอนที่นางอยู่เรือนสกุลหลี่ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
สาวใช้ข้างกายนางกับเด็กรับใช้ชายชอบพอกัน ทว่า คนสกุลหลินไม่อนุญาตให้เกิดเรื่องเช่นนี้ภายใต้ชายคาบ้านนาง ดังนั้นจึงขายสาวรับใช้กับเด็กรับใช้ชายออกไป ทั้งบอกว่าเรื่องนี้ไม่อาจให้มีตัวอย่าง ไม่เช่นนี้นอกในจะสมคบคิด แอบลักเล็กขโมยน้อยกันได้
ทว่าซย่าผิงกุ้ยกับซย่าเหลียนออกจะเหมาะสมกัน ถึงเวลานั้นค่อยกระซิบบอกพี่สะใภ้นางสักหน่อย หากว่าสองคนรักใคร่ชอบพอกันจริงๆ มิสู้รีบส่งเสริมพวกเขาเสีย จะได้ไม่ต้องเกิดเรื่องน่าอายตามมาทีหลังให้ทุกคนกระดากกันเปล่าๆ
อวี้ถังเข้าไปที่ห้องบัญชีซึ่งอวี้หย่วนพักผ่อนอยู่ แล้วคุยเรื่องจางฮุ่ยกับเขา
อวี้หย่วนประหลาดใจมาก เอ่ยว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าท่านพ่อไปหาอาจารย์เซี่ยงทำไม? วันก่อนท่านพ่อเพิ่งไปรับงานมา มีคนสั่งทำหีบไม้ห้าสิบชิ้น แต่ผู้อื่นต้องการให้วาดลายคล้ายๆ สี่ฤดูสมปรารถนาแบบนั้น ท่านพ่อไปหาอาจารย์เซี่ยงเพื่อให้เขาวาดแบบภาพให้ เจ้ารู้จักอาจารย์เซี่ยงใช่ไหม แบบภาพผืนหนึ่งต้องจ่ายอย่างน้อยถึงห้าตำลึงเลย”
อวี้ถังได้ยินก็ร้อนใจ “เช่นนั้นท่านรีบไปแจ้งแก่ท่านลุงสักคำ ถ้าท่านลุงตกลงกับอาจารย์เซี่ยงไปแล้วก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีก อีกอย่าง ข้ารู้จักอาจารย์เซี่ยง เขาเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลินอัน หากว่าภาพวาดของอาจารย์เซี่ยงรูปละห้าตำลึง เช่นนั้นภาพวาดของคุณชายจางก็ต้องสี่ตำลึงเป็นอย่างต่ำ?”
จิตรกรที่นางรู้จักแต่ก่อนจ่ายเพียงแค่หนึ่งภาพสองตำลึงเท่านั้น ใครจะคิดว่าภาพของอาจารย์เซี่ยงจะแพงเพียงนี้
อวี้หย่วนรีบสั่งซย่าผิงกุ้ยรัวเร็ว บอกแค่ว่าที่เรือนมีแขกคนสำคัญ ให้อวี้ป๋อรีบกลับมาทันที รอจนซย่าผิงกุ้ยไปแล้ว ก็คุยเรื่องนี้กับอวี้ถังต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าบอกกับท่านพ่อไป แบบภาพที่มีในร้านค่อนข้างเก่า ท่านพ่อก็รู้อยู่ แต่ว่าเพราะเสียดายเงิน คิดว่าหากยังใช้ได้ก็ให้ถูไถไปก่อน ถ้าครั้งนี้มิใช่ผู้อื่นระบุว่าต้องการภาพสี่ฤดูสมปรารถนาแนวนั้น หากทำไม่ได้ก็คงเจรจาค้าขายไม่สำเร็จ ท่านพ่อลองคำนวณดู กำไรที่ได้จากการค้าครั้งนี้น่าจะพอจ่ายเงินค่าแบบภาพของอาจารย์เซี่ยงพอดี จึงกัดฟันไปตามหาเขา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ดึงเวลามาจนป่านนี้หรอก!”
อวี้ถังหัวเราะอย่างจนใจ
สองพี่น้องดื่มชาไปค่อนวัน อวี้ป๋อถึงวิ่งกระหืดกระหอบกลับมา
“ได้ยินว่าพวกเจ้าหาอาจารย์วาดแบบภาพที่ดีกว่าได้แล้ว?” เขาเข้าประตูมาก็ถามขึ้นทันที กระทั่งน้ำชาก็ไม่ดื่มสักอึก
“มิใช่อาจารย์วาดภาพหรอกเจ้าค่ะ” อวี้ถังเล่าเรื่องของจางฮุ่ยให้อวี้ป๋อฟัง
อวี้ป๋อเริ่มลังเล “ภาพวาดของคุณชายจางย่อมสวยอยู่แล้ว แต่จะขายได้หรือไม่ก็สุดรู้”
ราคาสี่ตำลึงยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย
อวี้ถังหัวเราะ “ในเมื่อการค้าครั้งนี้ได้กำไรมากพอจะจ่ายเงินให้อาจารย์เซี่ยง แล้วทุกคนก็เอาแค่พูดว่าแบบภาพของร้านเราไม่มีความแปลกใหม่ ข้าคิดว่าให้คุณชายจางรับงานวาดตามแบบที่ลูกค้าต้องการออกมาสักหลายรูปก่อน หากว่าลูกค้าพอใจ ก็ขอให้คุณชายจางลงมือวาดให้ ท่านยังได้กำไรอีกนิดหน่อยด้วยนะเจ้าคะ!”
อวี้ป๋อคิดว่าสกุลตนไม่ได้ขาดทุนอะไร จึงตกปากรับคำ