ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 189 ความคิด
อวี้ถังนึกถึงเรื่องที่นายหญิงใหญ่ไหว้วานให้นายหญิงเสิ่นส่งจดหมาย นึกถึงการพบเจอของกู้ซีและนายหญิงใหญ่ในห้องอุ่น…หรือตั้งแต่แรกเป้าหมายของกู้ซีก็คือบ้านใหญ่ของสกุลเผย?
ช่วงเวลานี้กระทั่งนางก็ยังเริ่มสงสัยในการคาดเดาของตัวเองขึ้นมา
คุณหนูสี่กลับเอ่ยอย่างลังเล “เป็นไปไม่ได้กระมัง! ยามที่อยู่ในเรือน พี่กู้ก็ไม่ได้พบเจอกับป้าสะใภ้ใหญ่แต่อย่างใด ป้าสะใภ้ใหญ่จะเจรจางานหมั้นกับสกุลกู้ได้อย่างไร? ไม่ใช่กล่าวว่าสกุลหยางถูกใจพี่กู้หรอกรึ? จะว่าไปแล้วสกุลพี่กู้และสกุลพวกเราก็นับว่าคู่ควรเหมาะสมเช่นกัน ป้าสะใภ้ใหญ่คงกลัวว่าพอญาติผู้พี่ถอดชุดไว้ทุกข์แล้วจะหาสกุลที่เหมาะสมไม่ได้ ดังนั้นจึงรีบร้อนเช่นนี้ อีกอย่าง ผู้ที่สกุลหยางและป้าสะใภ้ใหญ่รู้จัก ส่วนมากก็เป็นคนเมืองหลวง อยู่ห่างไกลกัน ก็ไม่รู้ว่าคนของอีกฝ่ายมีนิสัยหน้าตาเป็นอย่างไร ญาติผู้พี่ยังต้องพักอยู่ในหลินอันระยะหนึ่ง หากอีกฝ่ายมีคุณสมบัติบกพร่องขึ้นมา นั่นก็เป็นปัญหาแล้ว ข้ากลับรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็รู้ไส้รู้พุงกัน ภายหลังหากพวกเราจัดงานชุมนุมบทกวีก็ไม่ขาดคนแล้ว!”
นางพูดจบ ก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบาน ยังใช้ผ้าเช็ดหน้าป้องปากไว้
พวกคุณหนูรองต่างก็หัวเราะขึ้นมา มีเพียงคุณหนูสามที่ก้มหน้าก้มตา รั้งริมฝีปาก ระบายยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน
อวี้ถังยังคิดว่านางรู้สึกไม่สบายตรงไหน จึงส่งผ้าเย็นที่เก็บไว้ในกล่องไม้ให้นางเช็ดหน้าผาก อย่างไรก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
คุณหนูสามรับผ้ามา ลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วกับอวี้ถัง “พี่อวี้ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ”
อวี้ถังตั้งใจฟังนางอย่างจริงจัง
คุณหนูสามเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินว่า มีคนอยากเป็นแม่สื่อทาบทามคนให้ญาติผู้พี่ ป้าสะใภ้ใหญ่กลับปฏิเสธทันที ยามนี้สกุลหยางและป้าสะใภ้ใหญ่กลับเป็นฝ่ายเจรจาแต่งงานกับสกุลกู้ เจ้าว่า เป็นเพราะทางสกุลหยางเกิดเรื่องอะไรหรือไม่?”
อวี้ถังเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “เรื่องเช่นนี้ แม้จะสืบความได้ก็ไม่อาจถามอย่างโจ่งแจ้ง งานแต่งของคุณชายใหญ่และคุณหนูกู้นั้นเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนแล้ว…” แม้ว่าเผยถงจะมีความรู้สึกกับญาติผู้น้องของเขาจริงๆ แต่เมื่อเป็นคำสั่งของบิดามารดา ความรู้สึกพวกนี้ก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น
คุณณหนูสามอายุยังน้อย ย่อมคิดว่าความรักของคนทั้งคู่เป็นเรื่องที่สวยงาม ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรจึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
ดีที่อารามดับทุกข์อยู่ไม่ไกลจากเบื้องหน้า พวกนางลงจากรถม้า เปลี่ยนเป็นนั่งเกี้ยว ก็เดินทางมาถึงอารามดับทุกข์แล้ว
ก่อนอวี้ถังจะเห็นหูซิ่ง พ่อบ้านสามของสกุลเผย
เขากำลังยืนคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าอาวาสอารามดับทุกข์ที่หน้าประตูวัด
เมื่อเห็นสตรีของสกุลเผยมาถึง เขาก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยืนนิ่งอยู่หน้าเกี้ยวท่านแม่เฒ่าอี้ เอ่ยอย่างนอบน้อม “ท่านแม่เฒ่าของพวกเราไม่อาจมาได้ กลัวว่าท่านมีอะไรขาดตกบกพร่องทำเรื่องไม่สะดวก จึงตั้งใจส่งข้าเข้ามารับใช้ขอรับ ท่านมีเรื่องอะไร ก็ให้สาวใช้ข้างกายมารายงานข้าได้ วันนี้ข้าจะตามท่านตลอดทั้งวัน คอยรับฟังคำสั่งของท่านขอรับ”
ท่านแม่เฒ่าอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็รบกวนพ่อบ้านสามแล้ว”
“ไอหยา ฟังคำพูดนี้ของท่านสิ ข้ารับไม่ไหวหรอกขอรับ” หูซิ่งเอ่ยอย่างพินอบพิเทา ตามรับใช้ท่านแม่เฒ่าอี้เข้าไปในประตูวัด
ท่านแม่เฒ่าอี้ชี้ไปยังถนนดินโคลนสายหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า “ข้าว่า เรื่องขายธูปหอมอย่าเพิ่งพูดถึงเลย แต่เส้นทางนี้ต้องซ่อมแซมให้ดีเสียหน่อย ทุกครั้งที่เข้ามาเสียแรงไปมากมายขนาดนี้ จะไม่ซื้อธูปหอมอีกได้อย่างไร!”
หูซิ่งรีบละล่ำละลักเอ่ย “ข้ากลับไปจะรายงานกับนายท่านสามขอรับ”
เจ้าอาวาสอารามดับทุกข์เผยใบหน้าดีใจอย่างยิ่ง
ท่านแม่เฒ่าอี้พยักหน้าอย่างพอใจ
ด้านอวี้ถังและพวกคุณหนูสกุลเผยกลับกระซิบพูดคุยอยู่เบื้องหลังพวกนาง
“ได้ยินว่าคนของสกุลหยางยังไม่ไปไหน” คุณหนูสามยังคงดึงอวี้ถัง “ป้าสะใภ้ใหญ่และอาสามคงจะอยู่ต้อนรับคนของสกุลหยาง วันนี้จึงไม่อาจมาด้วย”
อวี้ถังก็คิดว่าคงจะเป็นอย่างนั้น
“เวลานั้นข้าได้ยินว่าสกุลหยางมาเป็นแม่สื่อ ก็โมโหทันที” คุณหนูสามเอ่ยต่อด้วยเสียงเบา “งานแต่งของสกุลหยางเองยังไม่ทันเป็นรูปเป็นร่าง กลับสอดมือมายุ่งเรื่องสกุลเผยของพวกเรา…ยังดีที่ภายหลังไม่ใช่อย่างนั้น มิเช่นนั้นก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร”
คุณหนูรองที่เดินกับคุณหนูสี่อยู่เบื้องหน้าพวกนางกลับหันศีรษะมาทันที เอ่ยแค่นเสียง “นี่มีอะไรให้ลำบากใจกัน? ไม่ใช่ว่างานแต่งยังไม่ถูกกำหนดออกมาหรอกรึ? กล่าวว่าทั้งสองคนชะตาไม่สมพงศ์กันก็เพียงพอแล้ว”
อวี้ถังหัวเราะเจื่อนๆ
คุณหนูห้าเอ่ยว่า “พี่รอง เจ้าพูดเช่นนี้ไม่ถูก ภายหลังยิ่งไม่อาจพูดจาอะไรกันไม่เข้าหูก็กลับสกุลมารดา จะถูกคนสกุลสามีดูแคลนเอาได้ เจ้าควรจัดการคนของสกุลหยาง สั่งสอนพวกเขาดีๆ เสียหน่อย ให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกต้อง”
คำพูดเจื้อยแจ้วของนาง รวมกับใบหน้าบึ้งตึงเล็กๆ ท่าทีราวกับเด็กน้อยที่แสร้งเป็นผู้ใหญ่ กระทั่งสาวใช้ที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายพวกนางยังอดไม่ได้ พากันก้มหน้าหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
คุณหนูห้ายังทำท่าราวกับไม่รู้อะไร เอ่ยว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน? หรือข้าพูดผิดตรงไหน? ยามที่ป้าสะใภ้และลุงของข้าทะเลาะกัน ท่านยายของข้าก็สอนป้าสะใภ้ข้าเช่นนี้”
อวี้ถังอดไม่ไหวจริงๆ ดึงมือของคุณหนูห้าเอ่ยว่า “เจ้าพูดมีเหตุผลอย่างยิ่ง พวกเรารีบตามไปเถิด ไม่รู้ว่าท่านแม่เฒ่าอี้และเจ้าอาวาสคุยอะไรกันไปบ้างแล้ว? ในอารามดับทุกข์ทำเครื่องหอมได้หรือไม่? ใช่สิ คุณหนูสาม เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของเจ้า ของที่ทำเครื่องหอมเอามาแล้วใช่หรือไม่? อีกเดี๋ยวเป็นเจ้าหรือคุณหนูรองที่ต้องสอนคนในอารามทำเครื่องหอม?”
คุณหนูสามได้ฟังก็เข้าใจความนัย เอ่ยทันที “ข้าและพี่รองสอนร่วมกัน แบบนี้จะเร็วหน่อย ของที่จะทำเครื่องหอมมอบให้ผู้ดูแลแล้ว คงจะพกมาทั้งหมดกระมัง?”
อวี้ถังเรียกซวงเถา “เจ้าไปถามดูว่าของได้จัดเตรียมครบถ้วนแล้วหรือยัง?”
ซวงเถารับคำสั่งก่อนจากไป
ทุกคนจึงเปลี่ยนประเด็นมาที่เรื่องสอนทำเครื่องหอมให้คนในอารามดับทุกข์แทน
อวี้ถังถอนหายใจอย่างโล่งอก
คุณหนูสามส่งยิ้มให้อวี้ถัง
อวี้ถังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ก็ยิ้มขึ้นมาเช่นกัน
อารามดับทุกข์เก็บกวาดวิหารใหญ่ที่ไม่ได้ใช้งานแห่งหนึ่งเพื่อเป็นสถานที่ทำเครื่องหอม คนในวัดที่สามารถมาได้ล้วนมาหมดแล้ว ฝั่งหนึ่งเป็นแม่ชี อีกฝั่งเป็นอุบาสิกา คุณหนูรองสอนพวกแม่ชีทำเครื่องหอม ส่วนคุณหนูสามก็สอนพวกอุบาสิกา
ชั่วขณะนั้นพรสวรรค์ของทุกคนก็เป็นที่ประจักษ์ออกมา
นอกจากอุบาสิกาสกุลหลี่ คนอื่นล้วนเงอะงะกันหมด บางคนกลัวว่าจะสิ้นเปลืองวัสดุอุปกรณ์ บางคนกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี สอนอยู่ค่อนวัน มีเพียงอุบาสิกาสกุลหลี่เพียงคนเดียวที่สามารถทำตามขั้นตอนทั้งหมดได้ทัน
นี่แตกต่างจากที่ทุกคนคาดการณ์ไว้อย่างสิ้นเชิง
คุณหนูรองและคุณหนูสามสอนอยู่ค่อนวัน ก็เริ่มอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมา ท่านแม่เฒ่าและนายหญิงรองก็ขมวดคิ้วแน่นเช่นกัน
อวี้ถังเห็นว่าเช่นนี้คงไม่ดีแล้ว แต่นางนึกถึงชาติก่อนยามที่ตัวเองเพิ่งเข้าสกุลหลี่ ในใจมีแต่ความหวาดกลัว ทำให้นางโง่งมงุ่มง่ามกว่าปกติ จึงมีความเข้าอกเข้าใจอยู่บ้าง แต่ความรู้สึกของคุณหนูรองและคุณหนูสาม นางก็สามารถเข้าใจได้เช่นกัน ทั้งสองคนล้วนเป็นคนฉลาดหลักแหลม หญิงรับใช้ข้างกายก็ถูกคัดสรรมาอย่างดี แค่ส่งสายตาพูดประโยคเดียวก็สามารถสั่งการคนอื่นให้ทำตามประสงค์ที่พวกนางต้องการได้แล้ว มาพบเจอคนที่เงอะงะขลาดกลัวในอารามดับทุกข์เช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่พวกนางจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
ต้องคิดวิธีพลิกเปลี่ยนสถานการณ์เสียหน่อย
นางจ้องมองมือของพวกอุบาสิกา คิดคล้อยตาม คล้ายกับเมื่อโชคมา สมองก็ปราดเปรื่อง พลันปรากฏความคิดหนึ่งออกมา
อวี้ถังทอดสายตาไปรอบๆ เห็นหญิงรับใช้สกุลจินที่อยู่ข้างกายนายหญิงรองมาหลายปี นางครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เรียก ‘จินต้าเหนียง’ เอ่ยออกไปว่า “ข้าเห็นว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้วันนี้พวกเราจะมอบหมายเรื่องให้กับที่นี่แล้วคาดว่าก็คงไม่มีอะไรก้าวหน้า ข้ากลับมีความคิดหนึ่ง เพียงไม่รู้ว่าเหมาะสมหรือไม่ อย่างไรขอจินต้าเหนียงช่วยข้าคิดเสียหน่อย”
แม้ว่าจินต้าเหนียงจะเป็นคนสนิทของนายหญิงรอง แต่ก็รู้เห็นท่าทีที่ท่านแม่เฒ่าเผยและนายหญิงรองมีต่ออวี้ถังอยู่บ้าง นางเหลือบมองนายหญิงรองที่พูดคุยเป็นเพื่อนแม่เฒ่าอี้และเจ้าอาวาสไปที ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่อย่างนั้นให้ข้าพาท่านไปทางนายหญิงรองดีหรือไม่เจ้าคะ? ข้าเป็นเพียงหญิงรับใช้คนหนึ่ง คุณหนูอวี้ให้เกียรติเรียกข้าว่าต้าเหนียงก็เพียงพอแล้ว ข้าไหนเลยจะตัดสินได้ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม!”
อวี้ถังรู้ว่าตัวเองพบคนที่ใช้งานได้อีกคนแล้ว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่าพวกข้า ข้าพูดให้ท่านฟังก่อน หากท่านคิดว่าเหมาะสม พวกเราค่อยไปพูดต่อหน้านายหญิงรอง หากคิดว่าไม่เหมาะสม ท่านก็ช่วยข้าปิดไว้ ข้าจะได้ไม่พลั้งพูดอะไรผิด อับอายขายหน้าต่อท่านแม่เฒ่าอี้”
ป้าจินรีบเอ่ยว่า ‘มิกล้า’ อยู่หลายครั้ง กระนั้นกลับตั้งหูรอฟังคำพูดของอวี้ถัง
“ข้าเห็นว่าขั้นตอนการทำเครื่องหอมก็มีไม่มาก” อวี้ถังเอ่ยอย่างใจเย็น “พวกนางจำข้างหลังได้กลับลืมข้างหน้า ข้าว่าคงเป็นเพราะตื่นเต้นเกินไป หากเป็นยามปกติ อาจจะค่อยๆ สอนได้ แต่คุณหนูรองและคุณหนูสามต้องเริ่มเข้าเรียนอีกครั้งแล้ว ไม่แน่ว่าจะสามารถเข้ามาสอนพวกนางได้ทุกวัน มิสู้แบ่งขั้นตอนการทำเครื่องหอมออกเป็นหลายส่วน ให้พวกนางแต่ละคนเรียนเพียงส่วนเล็กๆ เช่นนั้นก็จะจำได้ง่ายกว่าแล้ว”
ป้าจินตาเป็นประกาย ดึงอวี้ถังไปหานายหญิงรองทันที “นี่เป็นความคิดที่ดี! คุณหนูอวี้บอกกล่าวกับนายหญิงรองเถิดเจ้าค่ะ ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดแน่”
อวี้ถังค่อยโล่งอก ก่อนจะอธิบายต่อหน้านายหญิงรองและท่านแม่เฒ่าอี้อีกครั้ง
ท่านแม่เฒ่าอี้และนายหญิงรองต่างก็รู้สึกว่าดีไม่น้อย เรียกคุณหนูรองและคุณหนูสามเข้ามา เล่าวิธีของอวี้ถังให้พวกนางฟังหนึ่งครั้ง ทั้งสองต่างตาสว่างวาบ หมุนกายออกไปจัดแจงคนทันที สอนพวกนางเพียงคนละขั้นตอนเล็กๆ เท่านั้น
ท่านแม่เฒ่าอี้ส่งยิ้มชื่นใจให้อวี้ถัง เอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ก็ไม่รู้ว่าปกติกินดื่มอะไรถึงได้ฉลาดกว่าคนอื่นเขา ความคิดเช่นนี้กลับคิดออกมาได้อย่างรวดเร็ว”
อวี้ถังยิ้มอย่างถ่อมตัว “ความคิดแค่แล่นวาบเข้ามาในสมองเท่านั้นเจ้าค่ะ ก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี ยามนี้จึงได้มาขอให้ท่านทั้งสองช่วยออกความเห็น”
นายหญิงรองก็รู้สึกชื่นชมเช่นกัน “ความคิดดียิ่ง หากอารามดับทุกข์สามารถทำธูปหอมออกมา ก็นับว่าเป็นความดีความชอบของเจ้าแล้ว”
อวี้ถังเอ่ยถ่อมตัวอีกไม่กี่ประโยค
การทำเครื่องหอมรวดเร็วขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งไม่นานก็ทำธูปชุดแรกออกมาได้
คุณหนูสามเอ่ย “นี่เรียกว่าธูปแปดสมบัติ ภายในมีกลิ่นหอมแปดชนิด เปรียบเสมือนแปดสัญลักษณ์มงคลของศาสนาพุทธ[1] คนทั่วไปได้กลิ่นล้วนต้องชื่นชอบ”
ป้าจินลองจุดดอกหนึ่ง
กลิ่นของธูปหอมลอยอย่างยาวนาน ในนั้นยังแฝงกลิ่นจันทน์หอมอย่างเลือนราง
กลิ่นจันทน์หอมเป็นกลิ่นหอมที่สูงค่าอย่างยิ่ง
เจ้าอาวาสของอารามดับทุกข์อดถามไม่ได้ “ยังเพิ่มจันทน์หอมไปด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่” คุณหนูสามเผยยิ้มอย่างภูมิใจ “ไม่อย่างนั้นจะพูดว่าเจอจากตำรับโบราณได้อย่างไร? ดมแล้วเหมือนกลิ่นของจันทน์หอม ในความเป็นจริงคือการผสมหลายกลิ่น ภายหลังอารามพวกเจ้ามีตำรับนี้ ก็สามารถทำกลิ่นของจันทน์หอมออกมาได้แล้ว”
อวี้ถังได้ฟังก็ใจเต้นระรัวขึ้นมา รวมกับประสบการณ์ชาติก่อนของนาง ก็รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องดีแต่อย่างใด
นางพินิจสีหน้าของผู้คนโดยรอบ
เป็นดังที่คาด มีบางคนกำลังฟังอย่างตั้งใจ ทั้งในกลุ่มคนที่ตั้งใจฟังพวกนั้น ล้วนเป็นคนที่แววตาเปี่ยมพลัง แต่งตัวสะอาดสะอ้าน มือไม้คล่องแคล่ว
ตำรับเครื่องหอมนี้มอบให้อารามดับทุกข์ ไม่แน่ว่าจะสามารถรักษาไว้ได้
———————–
[1]แปดสัญลักษณ์มงคลของศาสนาพุทธ ได้แก่ ธรรมจักร หอยสังข์ ร่มวิเศษ เศวตฉัตร ดอกบัว แจกันวิเศษ ปลาทอง และเงื่อนไม่รู้จบ