ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 197 อุดช่องโหว่
รวดเร็วปานนั้น!
อวี้ถังตื่นตะลึง แต่หลังความตื่นตะลึงก็เป็นความดีใจ รู้สึกว่าตนโชคดีมากที่เลือกเถ้าแก่น้อยถงให้มาช่วยเหลือ
นางเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ใหญ่ถง
เถ้าแก่ใหญ่ถงโบกมือเชิงบอกปัด แล้วให้คนไปเรียกเถ้าแก่น้อยถงเข้ามา ทั้งสามนั่งหารือเรื่องนี้กันในห้องรับแขกเล็กๆ ซึ่งอยู่โถงในด้านหลังของโรงจำนำ
ตามความเห็นของเถ้าแก่ใหญ่ถง ควรใช้เงินก้อนใหญ่จ้างช่างฝีมือด้านนอกมาช่วยทำธูปกำยานขดขนาดเท่าถังไม้ล้างเท้ากับธูปก้านยาวขนาดใหญ่เท่าแขนเด็กออกมาให้ได้ก่อน เพื่อใช้สำหรับพิธีบรรยายธรรม จากนั้นค่อยสอนพระอาจารย์และอุบาสิกาในอารามดับทุกข์ว่าจะทำธูปประเภทนี้อย่างไร ทั้งคุณหนูรองกับคุณหนูสามก็เคยสอนวิธีทำธูปหอมไปแล้ว ธูปหอมที่ทำออกมาส่วนใหญ่ให้ส่งไปขายที่ร้านค้าเทียนหอมของสกุลเผย ส่วนน้อยเก็บไว้ที่อาราม เผื่อขายให้คนที่อยากได้ธูปหอม หรือจะมอบให้แขกที่มาจุดธูปสักการะที่อารามดับทุกข์ก็ย่อมได้
ข้อแรกนั้นอวี้ถังพอเข้าใจ เพราะนางก็คิดไว้แบบเดียวกัน แต่ข้อหลังนางไม่ค่อยจะกระจ่างนัก “อารามดับทุกข์ค่อนข้างจะเปลี่ยวร้างห่างไกล แทบจะไม่มีคนมากราบไหว้ หากมอบให้คนที่มาสักการะนับว่าใช้ได้อยู่ แต่จะขายให้คนที่อยากได้…”
เก้าในสิบคงไม่มีคนซื้อแน่!
ใบหน้าอ้วนกลมของเถ้าแก่ใหญ่ถงฉีกยิ้มจนเหมือนพระสังกัจจายน์ “คุณหนูอวี้ การค้าขายมิใช่เรื่องง่ายดายปานนั้น บางครั้งก็ทำเพื่อแสวงหากำไร บางคราก็ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียง บางทีกำไรที่หาได้สำคัญกว่า แต่บางเวลากลับเป็นชื่อเสียงที่ต้องมาอันดับแรก อย่างไรเมื่อพูดถึงอารามดับทุกข์ ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องทำบุญ ในเมื่อจะทำบุญ เช่นนั้นชื่อเสียงย่อมสำคัญมากกว่าหน่อย อีกอย่างตอนนี้อารามดับทุกข์ไม่เป็นที่รู้จักโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นการกระพือชื่อเสียงของอารามดับทุกข์คือสิ่งแรกที่ต้องทำ ก็เหมือนอย่างที่ท่านพูด อารามดับทุกข์เปลี่ยวร้างห่างไกล คนมาสักการะมีน้อย คนมาซื้อธูปหอมคงน้อยยิ่งกว่า แต่เจตนาแรกเริ่มของเรามิใช่การขายธูปหอมเสียหน่อย…ท่านลองคิดดู หากท่านเข้าไปไหว้พระด้านในแล้วได้รับแจกธูปหอม แต่คนที่ไม่เข้าไปกราบไหว้ หากอยากได้ธูปหอมของอารามดับทุกข์ต้องใช้เงินแลกซื้อ เป็นท่านจะเลือกเข้าไปสักการะด้านใน? หรือเลือกที่จะไม่ผ่านประตูเข้าไปซื้อเพียงธูปหอมแล้วก็กลับเล่า?”
อวี้ถังตื่นตะลึง ใบหน้าคล้ายกำลังคิดตาม
เถ้าแก่ใหญ่ถงเห็นเช่นนั้นก็ลอบพยักหน้าในใจ
มิน่าอวี้ซิ่วไฉถึงตัดใจให้บุตรสาวแต่งออกไปไม่ได้ เพราะฉลาดเฉลียวเช่นนี้เอง แค่ชี้แนะคำเดียวก็กระจ่างแจ้งแล้ว ผ่านไปสองสามปีไม่แน่นางอาจเป็นผู้ค้ำจุนสกุลอวี้ก็ได้!
พอเถ้าแก่ใหญ่ถงอารมณ์ดีขึ้นมา ก็เลยมีคำพูดมากกว่าปกติ “ดังนั้น ธูปที่จะมอบให้อารามดับทุกข์นั้นสำคัญมาก มันจะต้องมีกลิ่นหอม ทำให้เหล่าหญิงออกเรือนดมแล้วรู้สึกหอมสบาย อาไห่ไปช่วยทางนั้น หนึ่งต้องไปดมธูปหอมเหล่านั้นว่ามีกลิ่นอะไรบ้าง ข้าได้ยินว่ามีตำรับเครื่องหอมสูตรหนึ่งที่สามารถทำธูปหอมกลิ่นไม้จันทน์ เช่นนี้สามารถเอามาแจกวันตวนอูหรือช่วงวันไหว้พระจันทร์ได้ มาก่อนได้ก่อน แจกหมดจบเท่านั้น หรือจะทำกลิ่นที่ช่วยสงบใจ ผู้มาสักการะที่อายุเยอะจำนวนมากมักมีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ…”
พอเขาได้พูดเรื่องค้าขายขึ้นมาก็สาธยายจนน้ำไหลไฟดับ กระทั่งตอนที่เขารู้สึกตัวว่าสายตาที่อวี้ถังใช้มองตนมีแววตื่นตะลึง ถึงเพิ่งรู้ตัวว่าพูดมากเกินไป จึงชะงักคำทันที แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มแหยว่า “พวกนี้เป็นเรื่องที่ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อย ส่วนรายละเอียดว่าจะทำอย่างไรนั้น ยังต้องดูสถานการณ์จริงแล้วมาวิเคราะห์ให้ลึกกว่านี้ พวกเราปรึกษากันเสร็จค่อยว่ากันใหม่อีกทีเถอะขอรับ”
แค่การพูดจาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ ก็ทำให้อวี้ถังได้เปิดหูเปิดตาแล้ว
นางละล่ำละลักเอ่ยว่า “ท่านพูดต่อเถอะๆ ก่อนหน้าข้าไม่ได้คิดมากเช่นนี้ กลัวว่าตัวเองจะจำได้ไม่หมด ให้ข้าหาพู่กันสักด้ามมาจดได้หรือไม่?”
เถ้าแก่ใหญ่ถงชะงักไป จากนั้นก็ส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
อวี้ถังหน้าขึ้นสีแดงก่ำ รีบเอ่ยว่า “สมองข้า สมองข้าไม่ค่อยจะพอใช้ ท่านอย่าได้หัวเราะเยาะเลย”
“ดีแล้วๆ” เถ้าแก่ถงใหญ่ไม่คิดเช่นนั้น เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ข้าเองก็เคยสอนลูกศิษย์มาหลายคน ไม่กลัวว่าไม่รู้ กลัวแต่ไม่ตั้งใจ ท่าทางเช่นนี้ของท่านดีอยู่แล้ว การค้าของอารามดับทุกข์ต้องทำได้สำเร็จแน่”
ที่แท้ในสายตาของเถ้าแก่ใหญ่ถง เรื่องของอารามดับทุกข์ก็เป็นแค่อีกหนึ่งกิจการเท่านั้น
อวี้ถังยิ้มอย่างละอายใจ
เถ้าแก่น้อยถงเวลานี้เพิ่งจะมีโอกาสเปิดปากพูด เขาขอคำแนะนำจากอวี้ถังอย่างนอบน้อมว่า “ข้าขอดูตำรับเครื่องหอมได้หรือไม่? ข้าได้ยินมาว่าตำรับเครื่องหอมเหล่านี้ท่านได้มาจากคัมภีร์โบราณเล่มหนึ่ง ในเมื่อเป็นของเก่า ย่อมต้องเป็นตำรับเครื่องหอมของราชวงศ์ก่อนแน่ คนในราชวงศ์ก่อนใช้เครื่องหอมเพื่อชูความหรูหราฟุ้งเฟ้อ แต่คนราชวงค์นี้ใช้เพื่อความงดงามและสุภาพ ตำรับเครื่องหอมนี้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนสักหน่อย”
นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด
เครื่องหอมนี้เป็นตำรับที่กู้ซีคิดขึ้นเมื่อชาติก่อน ไม่เพียงตรงกับความชอบของคนในสมัยนั้น ทั้งยังเป็นที่นิยมในหมู่สตรีออกเรือนจำนวนมาก
เถ้าแก่น้อยถงไม่เคยเห็นธูปหอมที่ทำสำเร็จแล้ว เขาย่อมจะกังวลเป็นธรรมดา
อวี้ถังตอบกลับในทันทีว่า “พวกเราแค่อยากช่วยอารามดับทุกข์ให้มีรายได้เท่านั้น ไม่ถึงกับอาศัยธูปหอมพวกนี้หาเลี้ยงตัว ท่านอยากปรับปรุงอย่างไรก็ไม่เป็นปัญหาทั้งสิ้น”
ขอเพียงคนที่เถ้าแก่น้อยถงเชิญมามีความสามารถทำมันได้
สองเถ้าแก่น้อยใหญ่ต่างก็ปล่อยลมหายใจโล่งอก
อวี้ถังลอบเม้มปากหัวเราะ
นางอยู่ที่โรงจำนำเกือบหนึ่งชั่วยาม ทั้งสามคนคุยเรื่องแผนที่จะทำต่อจากนี้อย่างคร่าวๆ หากสนทนาต่อไปอีกก็จะลงลึกถึงรายละเอียดยิบย่อยแล้ว เถ้าแก่น้อยถงเพิ่งจะได้รับถ่ายทอดงาน อวี้ถังเองก็ยังไม่เคยไปดูที่อารามดับทุกข์มาก่อน ถามก็ไม่ค่อยรู้ ตอบก็ไม่ค่อยชัด พวกเขาจึงไม่ได้หารือกันต่อ แต่นัดกันไว้ว่ารอให้เถ้าแก่น้อยถงไปดูที่อารามดับทุกข์และหาช่างฝีมือทำธูปหอมให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาถกเถียงปัญหากันใหม่
อวี้ถังหยัดกายขึ้นเพื่อบอกลา
สองเถ้าแก่น้อยใหญ่ออกมาส่งนางที่ประตู
ด้วยเป็นฤดูใบไม้ผลิดอกไม้จึงโผล่หน้าอวดโฉม ต้นการบูรที่ลานด้านในของโรงจำนำแตกยอดกิ่งเขียว สดสวยชวนมอง ปลาจิ๋นหลี่แหวกว่ายอยู่ในสระใต้ร่มไม้ ร่าเริงมีชีวิตชีวาเป็นที่สุด
อวี้ถังชะงักฝีเท้าหยุด
นางพลันคิดถึงครั้งแรกตอนที่ตนเข้ามายังลานด้านในร้านแห่งนี้
เผยเยี่ยนอยู่ในอีกห้องหนึ่ง
นางมองเห็นด้านข้างของเขาตอนยืนอยู่ในลาน
เหตุการณ์เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
แต่ความจริงเวลาผ่านไปเกือบสองปีแล้ว
อวี้ถังกระตุกมุมปากยิ้ม แล้วหัวเราะเบาๆ
ตอนนั้นนางแค่รู้สึกว่าเผยเยี่ยนหล่อเหลาน่าเกรงขาม ทำให้คนที่ได้เห็นยากจะลืมเลือน แต่คิดไม่ถึงว่า วันหนึ่งนางจะได้กลายเป็นแขกรับเชิญของเผยเยี่ยน ได้มีเรื่องให้พัวพันกับเผยเยี่ยนไม่หยุดหย่อน
นางกลับมาที่เรือนสกุลอวี้ด้วยอารมณ์ที่แจ่มใส
—–
เผยเยี่ยนทางนั้น ชูชิงกลับมาจากอารามดับทุกข์แล้ว กำลังรายงานเรื่องซ่อมถนนให้เผยเยี่ยนฟัง “จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ มากสุดสิบวันก็จะเชื่อมถนนได้ แต่ถ้าจะปูด้วยแผ่นหินทั้งหมด เกรงว่าต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีขอรับ”
สิ่งสำคัญก็คือ ช่วงนี้แต่ละครัวเรือนต้องลงนาเพาะปลูกไม่ก็ปลูกหม่อนเพื่อเตรียมเลี้ยงไหม ไม่แน่ว่าจะมีชายฉกรรจ์มากพอมาช่วยซ่อมถนนได้
เขาถามอย่างสงสัยว่า “ต้องขอความช่วยเหลือจากข้าหลวงทังไหมขอรับ?”
ท่านข้าหลวงทังรับตำแหน่งใกล้ครบวาระเก้าปีแล้ว พยายามมองหาลู่ทางที่จะโยกย้ายไปยังเมืองที่ดีกว่าอยู่ตลอด แต่ครั้งก่อนหลังจากเรื่องสกุลหลี่แอบเลี้ยงผู้ลี้ภัยถูกเปิดโปง เขาทั้งไม่อาจล่วงเกินสกุลเผย และไม่ต้องการผิดใจต่อสกุลหลี่ซึ่งเป็นสกุลใหญ่หน้าใหม่ในสายตาเขา ผลของการเอาใจทั้งสองฝ่ายคือทั้งสองฝ่ายต่างไม่พอใจกับท่าทีของเขา ในช่วงเวลาสำคัญนี้เอง ทั้งสองสกุลจึงไม่มีใครยอมออกหน้าช่วยเหลือ
เขากำลังร้อนใจเรื่องนี้จนหัวหมุนไปหมด
แต่เผยเยี่ยนไม่ต้องการให้โอกาสท่านข้าหลวงทัง เขาเอ่ยว่า “รากฐานของเราเดิมอยู่ที่เมืองหลินอัน หากปล่อยให้พ่อเมืองอย่างข้าหลวงทังทำอะไรตามใจชอบ แล้วขุนนางที่มารับตำแหน่งต่อภายหลังจะคิดอย่างไร? ข้าคิดว่าเรื่องที่สกุลหลี่แอบเลี้ยงผู้ลี้ภัยไว้ต้องยกมาพูดซ้ำๆ เตะเขาให้ไปรับตำแหน่งที่เมืองรกร้างสักแห่งถึงจะถูก ให้ผู้มารับราชการที่เมืองหลินอันได้เบิกตาเห็นชัดๆ รู้ว่าเรื่องใดสมควรทำ เรื่องใดไม่สมควรทำ”
ชูชิงใคร่ครวญดูก็คิดว่ามีเหตุผล เขาพยักหน้าลงช้าๆ เตรียมจะคุยเรื่องจวนข้าหลวงกับเผยเยี่ยนต่อ…หลังจากข้าหลวงทังไปแล้ว ใครจะมานั่งเป็นพ่อเมืองเมืองหลินอัน หากว่าพวกเขามีเจตนา อาจมาพัวพันกับการแต่งตั้งและปลดออกของขุนนางเมืองหลินอันได้ แต่ใครจะคิดว่าเผยเยี่ยนกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไปถามถึงพิธีบรรยายธรรมวันสรงน้ำพระที่วัดเจาหมิง “กำหนดการของวันนั้นออกมาหรือยัง? เรื่องบริจาคจัดการไปถึงไหนแล้ว?”
เขาได้แต่ชะงักไป
ตอบตามจริง นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมาก อาศัยฐานะและตำแหน่งของเขาในจวนสกุลเผย ไม่จำเป็นต้องสนใจด้วยซ้ำ แต่ในฐานะที่ปรึกษา เขาไม่อาจตอบว่าไม่รู้เรื่องได้
เขารีบให้คนไปเรียกหูซิ่งเข้ามาทันที
หูซิ่งรีบตอบว่า “กำหนดการยังไม่สรุปแน่ชัดขอรับ ทว่าที่ฟังจากท่านแม่เฒ่า เริ่มบริจาคก่อน ค่อยบรรยายธรรม จากนั้นคนที่ต้องการทำบุญก็ให้บริจาคต่อได้ขอรับ คนที่บริจาคเงินในวันนั้นสามารถทิ้งชื่อเอาไว้ สลักบนแผ่นป้ายหิน ปักไว้ข้างต้นสนตื่นรู้หลังวัด ท่านเห็นว่าอย่างไรขอรับ?”
เดิมเรื่องแบบนี้ก็จัดการตามวิธีการเก่าอยู่แล้ว แม้หูซิ่งจะตอบว่าท่านแม่เฒ่ายังไม่ยืนยัน แต่พิธีการเหล่านี้ย่อมผ่านการพยักหน้าเห็นด้วยของท่านแม่เฒ่ามาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาคงให้เผยเยี่ยนเป็นคนตัดสินใจไปแล้ว ที่เขาพูดเช่นนี้ ก็แค่กลัวว่าเผยเยี่ยนอาจมีความเห็นต่างจากท่านแม่เฒ่า เขาถึงได้รายงานให้ทราบเพียงคร่าวๆ แน่นอนว่า หากเผยเยี่ยนต้องการปรับแก้ เขาก็ต้องเปลี่ยนแผนตามความเห็นของเผยเยี่ยนอยู่แล้ว
แต่เหตุการณ์เช่นนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก
เผยเยี่ยนเป็นผู้นำสกุล เขาเป็นคนที่ต้องดูแลกิจธุระใหญ่ๆ เรื่องค่าใช้จ่ายงานบุญ บริจาคเงินค่าธูปเทียนน้ำมันตะเกียงพวกนี้ เมื่อก่อนไม่จำเป็นต้องให้เขามาซักถามด้วยซ้ำ
หูซิ่งนึกว่าเขาคงฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามไปอย่างนั้น ตนก็ยืดอกอย่างมั่นใจว่าต้องได้รับคำชมจากเผยเยี่ยนแน่
เพราะหลังพิธีบรรยายธรรมจะเปิดรับบริจาคต่อ พวกคนที่บริจาคเงินหลังจากนี้มากกว่าครึ่งเป็นชาวบ้านที่ซาบซึ้งกับรสพระธรรมที่เพิ่งเทศน์จบ นับเป็นการกระทำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่นนี้แล้ว ข้าวของที่ได้รับบริจาคจะมีปริมาณมากกว่าพิธีแสวงบุญทั่วไป พิธีบรรยายธรรมที่มีสกุลเผยเป็นผู้สนับสนุนในครั้งนี้จะต้องสร้างชื่อไปทั่วดินแดน ส่งเสริมให้สกุลเผยรุ่งเรืองยิ่งใหญ่กว่าเดิมแน่
ไม่คิดว่าเผยเยี่ยนจะมองหน้าเขาทีหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้จัดการได้ไม่เลว ทว่า รอบนี้ที่เชิญพระชั้นสูงจากวัดเส้าหลินใต้มา จุดประสงค์หลักคือต้องการให้ทุกคนได้ฟังเทศนาธรรมจากอาจารย์ผู้มีชื่อเสียง เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงเจ้าบ้านนัก จบบรรยายธรรมก็เปิดรับบริจาคตามปกติ ส่วนการรับบริจาคก่อนการเทศนานั้น…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ให้ทางวัดจัดการถือเข้าไปพร้อมกับพระอาจารย์เลย มีพระผู้ดูแลเป็นคนอ่านรายนามผู้บริจาคก็จบเรื่อง ทำมากเกินก็เหมือนไม่ค่อยได้ทำนั่นแหละ เรื่องออกหน้าตอนพิธีบรรยายธรรมนี้ สกุลเผยมีส่วนร่วมน้อยเท่าไรก็ยิ่งดี”
หูซิ่งกับชูชิงรับคำอย่างกล้าๆ กลัวๆ ดวงตาเบิกกว้าง ไม่กล้ากะพริบตาเป็นพักใหญ่
เผยเยี่ยนหาได้สนใจว่าคนพวกนี้คิดอะไรอยู่
เมื่อสั่งงานเรียบร้อย หัวใจที่ขึงขังมาตลอดก็เริ่มผ่อนคลายลง
ทุกคนทำหน้าที่ร่วมกัน ทั้งเป็นการปรับเปลี่ยนเฉพาะหน้า คุณหนูอวี้คงไม่น่ามีโอกาสสร้างความวุ่นวายกระมัง?
เขาใคร่ครวญในใจ คิดว่าตนเองยังมีช่องโหว่ตรงไหนอีกบ้าง
หูซิ่งกับชูชิงโค้งตัวคารวะด้วยสีหน้าประหลาดไม่ต่างกัน แล้วเดินออกจากห้องหนังสือ
เผยเยี่ยนหันไปใช้ความคิดเรื่องของข้าหลวงทังแทน
หูซิ่งกลับคว้าตัวชูชิงเอาไว้ ก้มศีรษะขอคำชี้แนะจากเขาอย่างจริงจังว่า “นายท่านสามหมายความว่าอย่างไรหรือขอรับ? เป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าจัดงานเอิกเกริกอวดโอ้เกินไป? นายท่านจะมีโทสะหรือไม่ขอรับ?”
ผู้นำคนใหม่นี้ เป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย ทำให้พวกเขาไม่อาจเดาทางได้เลย
ชูชิงกำลังคิดถึงอวี้ถัง
เรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณหนูคนนั้นของสกุลอวี้กระมัง?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตอบคำถามของหูซิ่งด้วยใจที่ล่องลอย “คงไม่หรอก! แต่ได้ยินว่าวันนั้นคุณหนูกู้จะมาร่วมงานด้วย แม้นางจะเป็นสะใภ้ของหลานชายคนโต แต่ตำแหน่งผู้นำสกุลกลับตกอยู่ที่สายของนายท่านสามเสียนี่”
——————————————–