ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) - ตอนที่ 204 เพิ่มหลาน
ท่านแม่เฒ่าเผยเข้าใจความหมายของเฉินต้าเหนียงดี นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอยู่บ้าง แต่ฐานะของอวี้ถัง…ไม่เพียงอยู่คนละรุ่น อายุยังน้อยเกินไปอยู่บ้าง นางคิดว่าลูกชายคงไม่ถึงกับมีความคิดเช่นนี้ ถึงแม้ว่าลูกชายจะมีความคิดเช่นนี้ นางก็ไม่อยากยุ่งเช่นกัน
ลูกชายคนที่สามของสกุลพวกเขา หากดื้อรั้นขึ้นมาไม่ว่าใครก็เอาไม่อยู่
สามีจากไปแล้ว นางไม่อยากระหองระแหงกับพวกลูกชายอีก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว แม้ผมขาวก็จะไม่ร้างลาจากนางกลับหายไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ นางจึงตระหนักได้ว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ยามที่ยังอ่อนเยาว์ เรื่องไม่สลักสำคัญที่ปล่อยได้ก็ควรปล่อยไป
ท่านแม่เฒ่าเผยเอ่ยกับเฉินต้าเหนียงอย่างแฝงความนัย “สยากวงอายุน้อยที่สุด เป็นลูกหลงของพวกเรา ยามที่ให้กำเนิดเขา พี่ชายทั้งสองก็เติบใหญ่หมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าล้วนเป็นคนที่เรียนตำราเก่งทั้งนั้น พวกเราก็ไม่ได้ตั้งความหวังกับเขาเหมือนพี่ชายทั้งสองขนาดนั้น คำโบราณกล่าวได้ดี ตามใจหลานไม่ตามใจลูก แต่สยากวง ตั้งแต่เล็กก็เติบโตบนบ่าของพ่อเขา เป็นเด็กคนแรกที่ท่านผู้เฒ่าดูแลด้วยตัวเองจนเติบใหญ่ กระทั่งหลานคนโตอย่างเผยถง ก็ไม่เคยได้รับการเอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน”
“เจ้าอย่ามองว่าสยากวงมักจะต่อต้านท่านผู้เฒ่า ในความเป็นจริงเขาเป็นคนที่สนิทกับท่านผู้เฒ่ามากที่สุด ส่วนท่านผู้เฒ่าก็เอ็นดูเขาเป็นที่สุด ท่านผู้เฒ่าจากไป กระทั่งข้าที่ยังมีชีวิตอยู่ค่อยๆ สบายใจขึ้นมาเพราะมีลูกหลานปรนนิบัติกตัญญู แต่สยากวง ถึงยามนี้ก็ยังกักเก็บไว้ในใจ! เจ้าอย่าคิดว่าพวกเจ้าปิดข้าแล้วข้าจะไม่รู้ ไม่กี่วันก่อน สาวใช้ที่ชื่อจื่ออะไรนั่นในเรือนสยากวง พรมน้ำหอมบนตัวเล็กน้อย เขาก็เรียกนายหน้าขายทาสมาทันที...ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่คนที่อารมณ์ร้อนเช่นนี้ แต่เจ้าดูสองปีนี้…”
“ในใจเขาเจ็บปวด กลับไม่พูดออกมา ข้านั้นรู้ดี หากเรื่องนี้ทำให้เขามีความสุขได้ ก็ปล่อยเขาไปเถิด”
เฉินต้าเหนียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็ค่อยกระจ่างใจตาม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ถูกเจ้าค่ะ นายท่านของพวกเราเป็นคนมีความคิด สิ่งที่พวกเราคิดได้ เขาก็ย่อมคิดได้เช่นกัน พูดถึงคุณหนูอวี้ผู้นี้ ก็เป็นคนที่น่ารักน่าเอ็นดู นอกจากจะพูดเก่งแล้ว นิสัยยังสุภาพอ่อนโยน รู้จักความเหมาะสม”
ท่านแม่เฒ่าไม่ปริปากเอ่ยอันใด ถามเรื่องวันสรงน้ำพระขึ้นมา “ที่พักของพระชั้นสูงจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง? ให้หูซิ่งจับตาดูหน่อย เขาก็เป็นคนเก่าแก่แล้ว บางกฎเกณฑ์ก็ไม่จำเป็นให้ข้าต้องพูด”
เฉินต้าเหนียงรีบละล่ำละลักเอ่ย “ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ นอกจากหูซิ่ง นายท่านสามยังส่งผู้ดูแลอีกสองคนเข้ามาช่วยเหลือ ไม่ว่าเรื่องอะไรย่อมจัดการอย่างเหมาะสมทั้งนั้น”
ทั้งสองคนนั่งพูดคุยกันภายใต้แสงไฟริบหรี่
—
ทางร้านค้าเครื่องลงรักสกุลอวี้ในเมืองหลินอัน กลับไม่ได้นอนทั้งคืน
จากความต้องการของเผยเยี่ยน อวี้หย่วนจึงคอยนำซย่าผิงกุ้ยให้เร่งทำกล่องไม้ ทั้งสองคนตาแดงก่ำไปหมด โดยเฉพาะซย่าผิงกุ้ย เพราะต้องถือมีดแกะสลักเป็นเวลานาน มือจึงเริ่มสั่นขึ้นมา
อวี้หย่วนเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น เกลี้ยกล่อมว่า “เจ้าอย่าได้เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็ก หากไม่ไหวก็พักผ่อนเสียก่อน”
ซย่าผิงกุ้ยยิ้มเจื่อน เอ่ยว่า “สีใหม่จะมาถึงเมื่อใดขอรับ?”
อย่างไรอวี้หย่วนก็เป็นลูกเจ้าของร้าน สิ่งที่สนใจย่อมเป็นยอดจำหน่ายในร้าน ซย่าผิงกุ้ยเป็นช่างฝีมือย่อมใส่ใจเรื่องงานฝีมือมากที่สุด คำพูดของเผยเยี่ยนคล้ายกับฟ้าร้องที่ดังก้องหูเขา จู่ๆ เบื้องหน้าก็ส่องสว่าง เรื่องที่เมื่อก่อนคิดไม่ตก ยามนี้กลับมองอย่างทะลุปรุโปร่ง เผยเยี่ยนไม่เข้าใจเครื่องลงรัก กลับรู้จักเห็นคุณค่า ทั้งยังประเมินคุณค่าไว้สูง เขาคิดว่าโอกาสที่จะพบเจอ ทั้งได้ฟังคำแนะนำเช่นนี้เป็นเรื่องยาก
เขาอยากคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้
หากซย่าผิงกุ้ยไม่มีความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ก็คงคล้อยตามไปกับอวี้ป๋อแล้ว
อวี้หย่วนเห็นซย่าผิงกุ้ยก็รู้ว่าตัวเองคงเกลี้ยกล่อมเขาไม่ได้ จึงไม่โน้มน้าวอะไรต่อ “พรุ่งนี้เช้าน่าจะมาแล้ว จากประสบการณ์ปีที่ผ่านมา คงจะทันเวลาอยู่”
หน้าฝนของเจียงหนานอยู่ถัดจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง
ซย่าผิงกุ้ยพยักหน้า ก่อนจะพุ่งสายตามาจดจ่อที่กล่องไม้เครื่องลงรักบนโต๊ะ “ท่านคิดว่าครั้งนี้ข้าแกะสลักกลีบดอกบัวเป็นอย่างไร? ลายเส้นเฉียบคม เหลี่ยมมุมเด่นชัดเหมือนที่นายท่านสามต้องการหรือไม่?”
อวี้หย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าจะเหมือนหรือไม่ เจ้าก็ไปงีบเสียหน่อยเถิด รอสีใหม่มาถึง ข้าจะเรียกเจ้าอีกครั้ง…ครั้งนี้ร้านค้าของพวกเราจะหาเงินก้อนใหญ่อย่างที่นายท่านสามพูดได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่เจ้าแล้ว เจ้าอย่าได้ทำพังในยามที่สำคัญเชียว” จากนั้นก็ยังเตือนซ้ำแล้วซ้ำอีก “แม้จะไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็คิดเผื่อพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องในร้านบ้างเถิด!”
ซย่าผิงกุ้ยลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีศิษย์ตัวเล็กคนหนึ่งวิ่งตึกตักเข้ามา
“อาจารย์ อาจารย์” เขาไม่ทันได้สังเกตรอบห้องให้ดีก็ตะโกนโวยวายไปทั่วก่อน “เถ้าแก่น้อยล่ะ? นายหญิงน้อยคลอดคุณชายน้อยแล้วขอรับ นายหญิงใหญ่ให้เถ้าแก่น้อยรีบกลับไป!”
“หา!” ไม่เพียงอวี้หย่วนและซย่าผิงกุ้ย คนในร้านต่างก็เงยหน้าขึ้นมามองอวี้หย่วน
ศิษย์ตัวเล็กที่ปฏิกิริยาว่องไวผุดลุกยืนตะโกนว่า “ดีใจกับเถ้าแก่น้อยด้วย”
ก่อนคนอื่นจะดึงสติกลับมา ทยอยกล่าวอวยพรให้อวี้หย่วน
อวี้หย่วนยิ้มจนดวงตากลายเป็นขีดเดียว ไม่สนใจจะพูดคุยเรื่องกล่องไม้เครื่องลงรักกับซย่าผิงกุ้ยอีก รีบเร่งออกไปข้างนอกทันที วิ่งไปพลาง ตะโกนบอกไปพลาง “ผิงกุ้ย ที่นี่ก็ฝากให้เจ้าแล้วกัน ข้าจะกลับไปดูที่เรือนก่อน สักพักใหญ่ถึงจะกลับมา มิสู้เจ้าไปหลับสักงีบก่อน!”
ไม่รอให้ซย่าผิงกุ้ยได้ตอบ เขาก็วิ่งไปแทบไม่เห็นเงาแล้ว
กลับมาที่เรือน คนสกุลหวังก็หอบผ้าอ้อมไว้ในอกแล้ว กำลังพูดคุยกับคนสกุลเฉินอย่างดีใจ “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ต้องหาสะใภ้ที่ร่างกายแข็งแรงหน่อย เจ้าดูสะใภ้ของหลานชายเจ้า เมื่อเย็นวานเริ่มมีอาการ วันนี้เช้าตรู่ก็คลอดเสียแล้ว ไม่เพียงน้ำหนักเด็กเกือบแปดจิน แต่พอนั่งขึ้นมาก็กินได้แล้ว เจ้าตัวน้อยของพวกเราผู้นี้ลืมตาก็มีของให้กินแล้ว ข้าเตรียมน้ำข้าวไว้ล้วนเสียเปล่า”
คนสกุลเฉินมองเด็กที่อยู่ในผ้าอ้อมอย่างยากที่จะได้พบ ปากก็ขานรับว่า “แน่สิ ปีนั้นข้ายังแทบไม่ไหว อาถังของพวกเราเกิดมาก็รับเคราะห์ไปด้วย หลานสะใภ้กินได้ก็ดีแล้ว ข้าพูดกับคนขายเนื้อทางตะวันออกของเมืองไว้แล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าจะเข้าไปเอาขาหมูเข้ามา”
เนื้อหาที่พูดคุยพาให้อวี้หย่วนใบหน้าแดงแทบเป็นหยดเลือด เขากลับยังคงฝืนใจเข้าไปทักทายผู้ใหญ่ทั้งสองคน
คนสกุลหวังมีหลานชายคนโตแล้ว ไม่ว่าอะไรก็รื่นหูรื่นตาทั้งนั้น ผงกศีรษะให้ลูกชาย เอ่ยว่า “รีบเข้าไปดูสะใภ้เจ้าเถิด นางสร้างประโยชน์ใหญ่หลวงให้สกุลพวกเรา ภายหลังเจ้าต้องดูแลนางให้ดี”
อวี้หย่วนขานรับระรัว มองไปรอบๆ พบว่านอกจากมารดาและคนสกุลเฉินแล้ว ก็มีแม่นมที่ขอให้มาดูแลลูกชายและคนข้างกายคนสกุลเซียงอีกสองคน จึงอดเอ่ยไม่ได้ “อาถังล่ะ? แจ้งนางแล้วหรือยัง?”
“แจ้งแล้วๆ” คนสกุลเฉินเอ่ยติดต่อกัน “ไปพร้อมกับคนที่ไปส่งข่าวให้เจ้า คำนวณเวลาดู นางก็คงทราบแล้วเช่นกัน”
อวี้หย่วนยิ้มรับว่า “เช่นนั้นก็ดี” ก่อนจะรับเด็กในผ้าอ้อมจากมือมารดามาดูหน้าดูตา รู้สึกว่าเด็กผู้นี้ตัวแดงแจ๋ ผิวยับย่นราวกับลูกลิง ก่อนจะส่งคืนสู่อ้อมอกมารดาอีกครั้ง เอ่ยว่า “ข้าจะไปดูแม่ของเด็ก” พลางเข้าไปในเรือนอย่างเร่งรีบ
คนสกุลหวังเห็นแล้วก็สั่นศีรษะ เอ่ยกับคนสกุลเฉินด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคงเห็นชัดเจนแล้ว นี่ก็คือมีสะใภ้แล้วลืมแม่”
คนสกุลเฉินแย้มยิ้ม “พี่สะใภ้ก็เหมือนกันมิใช่รึ เมื่อก่อนยามที่อวี้หย่วนกลับมาท่านก็เป็นห่วงเขาอย่างยิ่ง ไม่เพียงถามว่ากินอะไรดื่มอะไรหรือยัง ยังรินชาให้เขาเสียด้วยซ้ำ ย้อนดูท่านเมื่อครู่ อย่าพูดว่าน้ำชาอะไรเลย กระทั่งสายตายังแทบไม่มองเขา เอาแต่จ้องหลานชายคนโตของท่าน ท่านก็นับว่าหลับบนที่นอนไม้ไผ่ หัวเราะใส่คนที่นอนพื้น ใครก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าใดหรอก”
คนสกุลหวังถูกหยอกก็ไม่ได้อารมณ์เสียแต่อย่างใด หัวเราะเสียงดัง ก่อนจะพูดเรื่องหลานตัวเองกับคนสกุลเฉิน ส่วนอวี้หย่วนวางแผนจะทำอย่างไรกับภรรยาของตนเอง คนสกุลหวังนั้นถามจนคร้านจะถามแล้ว
ล่วงถึงยามบ่ายอวี้ถังจึงกลับเรือนตามมา
ยังมาพร้อมกับของอีกหนึ่งคันรถ
นอกจากจะมีของที่ท่านแม่เฒ่าส่งมา ยังมีของจากเผยเยี่ยนด้วย
เพราะอวี้ป๋อและอวี้เหวินต่างก็ได้รับจดหมายแล้ว ยามนี้คนทั้งหมดจึงนั่งล้อมรอบเด็กน้อย มองดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางพูดคุยกันไป แทบไม่มีคนตระหนักได้ว่ารถคันนี้มีของขวัญจากท่านแม่เฒ่า ทั้งยังมีในส่วนของเผยเยี่ยน
เมื่อของถูกยกออกมา ก็มอบให้คนสกุลหวังเลือกก่อน เป็นของที่บำรุงร่างกายให้คนสกุลเซียง จากนั้นเกี้ยวจึงค่อยนำของไปส่งที่เรือนอวี้ถัง
อวี้หย่วนพักอยู่ในเรือนเกือบค่อนวันแล้ว ต้องรีบกลับไปที่ร้าน ยังคงทันเอ่ยถามอวี้ถัง “เจ้ากลับมาเร็วขนาดนี้เชียว เรื่องธูปหอมเป็นอย่างไรบ้าง?”
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหาอะไร นายท่านสามส่งคนไปดูแล้ว วางใจได้กว่าพวกเราเสียอีก”
อวี้หย่วนตบไหล่อวี้ถังเบาๆ เป็นนัยว่าตัวเองรับรู้แล้ว ก่อนจะรีบเร่งออกจากประตูไป
อวี้ถังฉวยโอกาสอุ้มเด็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง คล้อยหลังก็เข้าไปพูดคุยในเรือนกับคนสกุลเซียง รอยามที่นางออกมา พวกผู้ใหญ่ก็กำลังปรึกษาเรื่องจัด ‘พิธีสรงสาม’ ให้กับเด็กน้อย
ยุ่งวุ่นวายอยู่เช่นนี้หลายวัน เด็กน้อยก็ผ่าน ‘พิธีสรงสาม’ แต่โดยดี ด้านอวี้หย่วนก็ทำกล่องไม้เสร็จแล้วเช่นกัน เขาชวนอวี้ถังเข้าไปจวนสกุลเผยด้วยกัน
อวี้ถังเห็นเขาหนวดเคราหร็อมแหร็ม ตั้งแต่หลานชายนางคลอดวันนั้น เขากลับมาดูเพียงครั้งเดียวก็พักอยู่ที่ร้านมาโดยตลอด นางอดเอ่ยไม่ได้ “มีความจำเป็นต้องรีบขนาดนี้เชียวรึ?”
“จะไม่รีบได้อย่างไร!” สีหน้าอวี้หย่วนเต็มไปด้วยความอ่อนล้า แต่แววตากลับเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น “ยามนี้ข้าเป็นพ่อคนแล้ว ยิ่งต้องหาเงินให้ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่พอกระทั่งค่าเรียนหนังสือให้ลูก ครั้งนี้จะยืมแรงนายท่านสามได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่กล่องไม้พวกนี้แล้ว”
อวี้ถังคิดว่าหากเปลี่ยนเป็นตัวเองคงจะรับไม่ได้
นางเอ่ยว่า “ท่านละเลยพี่สะใภ้เกินไปแล้ว”
ใครจะรู้ว่าอวี้หย่วนกลับเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “นี่ก็เป็นความต้องการของพี่สะใภ้เจ้า นางและข้าคิดเหมือนกัน ล้วนคาดหวังให้สามารถทำกล่องไม้ตามที่นายท่านสามต้องการออกมา”
อวี้ถังนวดขมับ ขบคิดแล้วก็ไม่แปลกใจที่คนแก่มักจะสอนลูกหลานว่า อย่าได้สอดมือยุ่งเรื่องในครอบครัวคนอื่น เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลไม่น้อย
นางยกกล่องไม้ที่อวี้หย่วนพกมาดู กล่องที่มีลวดลายแกะสลักเป็นภาพดอกบัวและดอกเหมยที่เผยเยี่ยนวาด กล่องที่ไม่มีลวดลายก็เป็นพื้นเรียบ กล่องที่มีลวดลายเป็นดั่งที่เผยเยี่ยนว่า แม้จะแกะสลักเพียงดอกไม้ ส่วนประกอบกลับเด่นชัดขึ้นมา พาให้เครื่องลงรักดูงดงามขึ้นมาหลายส่วน กล่องไม้ที่ไม่มีลวดลายนั้นสว่างวาวราวกับกระจก เผยความโบราณเรียบง่าย
อวี้ถังเอ่ยอย่างตกใจ “นี่ นี่ก็นับว่าสำเร็จแล้วอย่างนั้นรึ?”
“ไม่รู้เช่นกัน!” อวี้หย่วนแสร้งทำเป็นถ่อมตัว ความจริงกลับเอ่ยอย่างลำพอง “ต้องให้นายท่านสามดูถึงจะรู้”
“ข้าคิดว่าอาจจะสำเร็จก็ได้!” ความจริงอวี้ถังคิดว่ากล่องไม้ที่ไม่มีลวดลายนั้นควรวับวาวได้กว่านี้อีก ลวดลายดอกบัวและดอกเหมยก็มีจุดเล็กๆ ที่ทำให้คนไม่สบายตาอยู่บ้าง แต่นางเห็นญาติผู้พี่ลำบากตรากตรำเช่นนี้ ก็ไม่อาจพูดบั่นทอนเขาได้ “เช่นนั้นพวกเรานำไปให้นายท่านสามดูก่อน จากนั้นท่านก็สามารถกลับมานอนหลับดีๆ ที่เรือนสักงีบแล้ว”
ครั้งนี้อวี้หย่วนไม่ได้โต้แย้ง
สองพี่น้องหอบกล่องไม้ ขึ้นเกี้ยวไปยังจวนสกุลเผย
—————————-